ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - เศรษฐวุฒิ ธรรมวรานนท์

หน้า: [1]
1
หลาย ๆ คน สงสัยว่า Backlink คือ อะไร? ทำไมต้องมีการทำ Backlink ถึงส่งผลต่อการ ทำ SEO
-วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับ Backlinks กัน

Backlink คือ อะไร
Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นมีการลิงก์มาหาเรา ซึ่ง Google ใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า เว็บของเรามีการพูดถึง เชื่อถือมากแค่ไหน ยิ่งเว็บเรามีลิงก์คุณภาพมากเท่าไหร่ PageRank ก็จะค่าสูง (PageRank คือการจัดอันดับเพจ มีค่ามากสุดคือ 10) และมีโอกาสที่จะติดอันดับได้ง่ายขึ้น Backlinks มีหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Inbound Link หรือ Incoming Link โดยหลักการจัดอันดับคือ เวลาที่ Google หรือ Search Engine อื่น ๆ เห็นเว็บอื่นลิงก์มาที่เรา อ้างอิงมาถึงเรา แบบนี้เว็บไซต์ของเราต้องดูดีมีสาระ น่าเชื่อถือ และมีข้อมูลเหมาะกับผู้อ่าน แล้วยิ่งพอมีคนลิงก์มาเยอะ ๆ มันก็เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราและจะมีโอกาสติดหน้าแรกของ Google อีกด้วย

การทำ Backlink สำคัญกับ SEO อย่างไร
มีผลสำรวจระบุไว้ว่า เว็บไซต์กว่า 90% ไม่มี Traffic หรือคนเข้ามาจาก Google เลย และเหตุผลหลัก ๆ ก็มาจากการที่เว็บไซต์นั้นไม่มี Backlink มาทาง Google กล่าวว่า Backlink เป็นหนึ่งในสามปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดอันดับของ Google เลย และเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Ahrefs ก็ได้ทำการสำรวจไว้ว่ายิ่งเว็บไซต์มี Backlink มากเท่าไหร่ ผู้ชมหรือ Traffic ของเว็บไซต์นั้นก็จะมากขึ้นไปแบบเห็นได้ชัด

Backlink ที่ดีเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ทุกลิงก์ที่เราได้อิงมามันจะดีกับเว็บไซต์ของเราทั้งหมด โดยเว็บไซต์ทั้งหมดที่ลิงก์มาควรเกี่ยวข้องกับเว็บของเรา ถ้าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับไข่ไก่ เราก็คงอยากได้ Backlink จากเว็บไซต์เกี่ยวกับของสดอย่าง CP มากกว่าเว็บไซต์ขายน้ำผลไม้ปั่นเพราะว่ามันไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งความเกี่ยวข้องนี้รวมไปถึงบทความที่ลิงก์มา แล้วก็ตัวเว็บไซต์เองด้วย การมีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือมาอ้างอิงเราจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเรา โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในศัพท์เทคนิคเราเรียกว่า Domain Rating (DR) หรือ Domain Authority (DA) ที่สูง รวมไปถึงเว็บไซต์ที่มี Traffic เยอะ ๆ ด้วย เพราะว่าถ้าเว็บไซต์นั้นดูดี แล้วเค้าเชื่อมั่นในตัวเรา Google ก็มองว่าเว็บเราน่าเชื่อถือมากขึ้นไปด้วย และหลีกเลี่ยงเว็บไซต์สีเทา ๆ เช่นเว็บพนัน เพราะว่าเว็บที่คุณภาพไม่ดีลิงก์มาหาเราเยอะๆ เพราะเราก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ดีได้

ประเภทของ Backlink
Natural-Editorial: เป็น Backlink ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ซึ่งเกิดจากเนื้อหาในเว็บของเราดีและมีประโยชน์ แล้วจึงมีเว็บไซต์อื่นทำการอ้างอิงเนื้อหา เขียนถึงและทำลิงก์กลับมาให้
Manual Link Building: คือลิงก์ที่เราสร้างเอง เอาไปปล่อย เอาไปแปะตามที่ต่าง ๆ คำแนะนำสำหรับ Manual Link Building คือ ถ้าหากต้องการสร้าง Backlinks ด้วยการ “ซื้อ” แล้ว ควรทำเป็นลักษณะซื้อบทความ Editorial และมีลิงค์กลับมาที่เว็บของเรา ผ่านเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่พวก Spam เว็บไซต์ หรือถ้าต้องการสร้าง Backlinks เองแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุด ก็อาจจะเริ่มด้วย Owned Asset หรือช่องทางที่เรามีอยู่แล้วก่อน เช่น การทำ Video Content บน YouTube ที่มีลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ การสร้าง Social Channels ต่าง ๆ รวมถึงการสร้างเว็บ Blogs ขึ้นมาเอง เป็นต้น
Non-Editorial: เป็นพวกลิงก์ที่กลับมาจากคอมเมนต์ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้คนทั่วไปเข้าไปเขียนคอมเมนต์ได้
จากที่กล่าวมา Backlink นี่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้อย่างง่ายขึ้นและมี Traffic ในเว็บไซต์เรามากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เลยล่ะ ถ้าหากต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาฟรีได้ ที่นี่

2
หลาย ๆ คน สงสัยว่า Backlink คือ อะไร? ทำไมต้องมีการทำ Backlink ถึงส่งผลต่อการทำSEO  วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับ Backlinks กัน

Backlink คือ อะไร
Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นมีการลิงก์มาหาเรา ซึ่ง Google ใช้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า เว็บของเรามีการพูดถึง เชื่อถือมากแค่ไหน ยิ่งเว็บเรามีลิงก์คุณภาพมากเท่าไหร่ PageRank ก็จะค่าสูง (PageRank คือการจัดอันดับเพจ มีค่ามากสุดคือ 10) และมีโอกาสที่จะติดอันดับได้ง่ายขึ้น Backlinks มีหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น Inbound Link หรือ Incoming Link โดยหลักการจัดอันดับคือ เวลาที่ Google หรือ Search Engine อื่น ๆ เห็นเว็บอื่นลิงก์มาที่เรา อ้างอิงมาถึงเรา แบบนี้เว็บไซต์ของเราต้องดูดีมีสาระ น่าเชื่อถือ และมีข้อมูลเหมาะกับผู้อ่าน แล้วยิ่งพอมีคนลิงก์มาเยอะ ๆ มันก็เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บของเราและจะมีโอกาสติดหน้าแรกของ Google อีกด้วย

การทำ Backlink สำคัญกับ SEO อย่างไร
มีผลสำรวจระบุไว้ว่า เว็บไซต์กว่า 90% ไม่มี Traffic หรือคนเข้ามาจาก Google เลย และเหตุผลหลัก ๆ ก็มาจากการที่เว็บไซต์นั้นไม่มี Backlink มาทาง Google กล่าวว่า Backlink เป็นหนึ่งในสามปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการจัดอันดับของ Google เลย และเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Ahrefs ก็ได้ทำการสำรวจไว้ว่ายิ่งเว็บไซต์มี Backlink มากเท่าไหร่ ผู้ชมหรือ Traffic ของเว็บไซต์นั้นก็จะมากขึ้นไปแบบเห็นได้ชัด

Backlink ที่ดีเป็นอย่างไร
ไม่ใช่ทุกลิงก์ที่เราได้อิงมามันจะดีกับเว็บไซต์ของเราทั้งหมด โดยเว็บไซต์ทั้งหมดที่ลิงก์มาควรเกี่ยวข้องกับเว็บของเรา ถ้าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวกับไข่ไก่ เราก็คงอยากได้ Backlink จากเว็บไซต์เกี่ยวกับของสดอย่าง CP มากกว่าเว็บไซต์ขายน้ำผลไม้ปั่นเพราะว่ามันไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งความเกี่ยวข้องนี้รวมไปถึงบทความที่ลิงก์มา แล้วก็ตัวเว็บไซต์เองด้วย การมีเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือมาอ้างอิงเราจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเรา โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือในศัพท์เทคนิคเราเรียกว่า Domain Rating (DR) หรือ Domain Authority (DA) ที่สูง รวมไปถึงเว็บไซต์ที่มี Traffic เยอะ ๆ ด้วย เพราะว่าถ้าเว็บไซต์นั้นดูดี แล้วเค้าเชื่อมั่นในตัวเรา Google ก็มองว่าเว็บเราน่าเชื่อถือมากขึ้นไปด้วย และหลีกเลี่ยงเว็บไซต์สีเทา ๆ เช่นเว็บพนัน เพราะว่าเว็บที่คุณภาพไม่ดีลิงก์มาหาเราเยอะๆ เพราะเราก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นเว็บไซต์ที่ไม่ดีได้

ประเภทของ Backlink
Natural-Editorial: เป็น Backlink ที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ ซึ่งเกิดจากเนื้อหาในเว็บของเราดีและมีประโยชน์ แล้วจึงมีเว็บไซต์อื่นทำการอ้างอิงเนื้อหา เขียนถึงและทำลิงก์กลับมาให้
Manual Link Building: คือลิงก์ที่เราสร้างเอง เอาไปปล่อย เอาไปแปะตามที่ต่าง ๆ คำแนะนำสำหรับ Manual Link Building คือ ถ้าหากต้องการสร้าง Backlinks ด้วยการ “ซื้อ” แล้ว ควรทำเป็นลักษณะซื้อบทความ Editorial และมีลิงค์กลับมาที่เว็บของเรา ผ่านเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ไม่ใช่พวก Spam เว็บไซต์ หรือถ้าต้องการสร้าง Backlinks เองแล้ว วิธีที่ง่ายที่สุด ก็อาจจะเริ่มด้วย Owned Asset หรือช่องทางที่เรามีอยู่แล้วก่อน เช่น การทำ Video Content บน YouTube ที่มีลิงค์กลับมาที่เว็บไซต์ การสร้าง Social Channels ต่าง ๆ รวมถึงการสร้างเว็บ Blogs ขึ้นมาเอง เป็นต้น
Non-Editorial: เป็นพวกลิงก์ที่กลับมาจากคอมเมนต์ในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้คนทั่วไปเข้าไปเขียนคอมเมนต์ได้
จากที่กล่าวมา Backlink นี่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้อย่างง่ายขึ้นและมี Traffic ในเว็บไซต์เรามากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ เลยล่ะ ถ้าหากต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับการทำ SEO สามารถติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาฟรีได้ ที่นี่

3
เว็บไซต์เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์หรือการทำ การตลาดออนไลน์
ซึ่งในปัจจุบันเรามีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้เราสามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้อง Coding และ WordPress ก็เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่คนนิยมใช้ โดยหลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าทำไมใครหลายคนถึงเลือกใช้ WordPress แล้ววันนี้เราจะมาบอกว่า WordPress คือ อะไร มีข้อดีอะไรบ้าง

WordPress คือ อะไร
WordPress คือ โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้สร้างและจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ (Contents Management System หรือ CMS) โดยเขียนด้วยภาษา PHP  และ WordPress เป็นโปรแกรมโอเพนซอร์ส (Open-source Software) ที่ใครก็ได้สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ซึ่งการที่ WordPress ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนั้น เนื่องจากสามารถใช้งานง่ายและปรับแต่งได้ตามความต้องการ รวมถึงมีธีมและปลั๊กอินสำเร็จรูปทั้งแบบฟรีและพรีเมี่ยมให้เลือกใช้ เว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress เหมาะกับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บไซต์ส่วนตัว เว็บไซต์ธุรกิจ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์ข่าว เว็บไซต์สินค้า เป็นต้น

ทำไมเว็บไซต์ WordPress ถึงดีต่อการทำ SEO
มี SEO Plugins ให้เลือกหลากหลาย
เหตุผลสำคัญที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ WordPress เพราะ WordPress มี Plugins สำหรับทำ SEO อยู่หลายตัว เช่น Yoast SEO, Rank Math ทำให้การทำ SEO เป็นเรื่องง่ายมาก ๆ ไม่ต้องมีความรู้เรื่อง Coding ก็สามารถทำเว็บไซต์ของตัวเองให้ติดอันดับบน Google ได้
รองรับการใช้งานบนมือถือ
โดยการที่เว็บไซต์ของคุณรองรับการใช้งานหลาย Device นั้น จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้จากหลายช่องทาง
ใช้งานง่าย คนให้คำแนะนำเยอะ

โดย WordPress จะเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องรู้ระบบ Coding และตัว WordPress ยังมีผู้ใช้งานเยอะอีกด้วย นั่นทำให้มีผู้เชี่ยวชาญคอยแบ่งปันและให้คำแนะนำในการใช้งานอยู่ตลอด ตั้งแต่การใช้งานเบื้องต้นไปจนถึงขั้นสูง ซึ่งนี่เป็นข้อดีสำหรับมือใหม่ที่หัดทำเว็บไซต์ด้วย WordPress เลย
มี Themes และ Plugins ให้เลือกมากมาย
ถ้าเราอยากมีเว็บไซต์สวย ๆ เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างคนทำเว็บไซต์แพง ๆ เพราะ WordPress มี Theme ให้เราเลือกใช้ได้ฟรีอย่างมากมายและหลาย ๆ Theme มีความสวยงามไม่แพ้กับการจ้างทำเลยล่ะ ไม่ว่าคุณจะทำเว็บไซต์แนวไหน เป็นเว็บ E-Commerce หรือเว็บธุรกิจส่วนตัว คุณสามารถเลือก Theme ให้เข้ากับเว็บของคุณได้เลย เช่นเดียวกับ Plugins เพราะ WordPress มี Plugins ให้ใช้อย่างมากมายสำหรับคนที่ต้องการเสริมฟังก์ชันการใช้งานให้กับตัวเว็บไซต์
ทั้งฟรีและดี

เพราะ WordPress คือ Open Source ที่สามารถปรับแต่งได้ เพียงแต่ข้อเสียของสายฟรีคือชื่อโดเมนอาจจะไม่ค่อยสวยมาก แต่ก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อชื่อ Domain ที่ต้องการได้เช่นกัน โดยใครที่อยากลองใช้ WordPress สามารถเข้าไปลองใช้งานได้ ที่นี่
แต่อย่างไรก็ตามการดูแลเว็บไซต์และการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์อาจจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากจะต้องทำการติดตั้ง Plugins อย่างถูกต้องและ Plugins ในเว็บไซต์นั้นต้องมีการอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงการ Backup ข้อมูลในเว็บไซต์ที่ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยทุก ๆ เดือน เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย สำหรับใครที่ต้องการคำปรึกษาหรือต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณ สามารถติดต่อเรามาได้เลย

 

4
ในปัจจุบัน เมื่อทุกคนต้องการหาความรู้หรือข้อมูลต่าง ๆ ก็จะต้องกดเข้า Google เพื่อค้นหาข้อมูลที่อยากรู้ ซึ่ง Google ก็นับว่าเป็น Search Engine ประเภทหนึ่งที่ใครหลาย ๆ คนนิยมใช้ ดังนั้นโปรแกรมค้นหาจึงถือว่าเป็นประตูด่านแรกที่จะทำให้ผู้บริโภคที่มีความสนใจสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกับเราค้นเจอกับแบรนด์ของเรา และการที่ลูกค้าค้นเจอแบรนด์ของเรานั้นก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายให้กับแบรนด์นั่นเอง วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมารู้จัก ว่า Search Engine คือ อะไร มีความสำคัญกับธุรกิจอย่างไรบ้าง

Search Engine คือ อะไร

Search Engine คือ โปรแกรม หรือ เครื่องมือ สำหรับค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยจะแสดงผลลัพธ์เป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามที่ผู้คนค้นหา โดยข้อมูลที่นำมาแสดงจะมาจากฐานข้อมูลของโปรแกรมค้นหาในแต่ละเจ้า และมีการใช้อัลกอริธึมในการจัดอันดับในการนำผลลัพธ์มาแสดง โดยโปรแกรมค้นหาในโลกนี้มีมากมาย แต่ทุกเจ้าก็จะใช้หลักการคล้าย ๆ กัน และแสดงผลลัพธ์ที่เหมือน ๆ กัน

ประเภทของ Search Engine

ปัจจุบัน Search Engine ที่ทั่วโลกนิยมใช้งาน มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ดังนี้

Crawler Based
หลักการทำงานคือ ผู้ให้บริการ Search Engine จะส่ง Bot ไปยังเว็บไซต์ทั้งหลายบนอินเตอร์เน็ต จากนั้น Bot ก็สำรวจเว็บไซต์ เพื่อเก็บข้อมูลว่า เว็บนี้ทำอะไร มีอะไรบ้าง โดย Crawler Based เป็นประเภทของโปรแกรมค้นหา ซึ่ง Google Yahoo Bing Baidu รวมถึงเซิร์ชเอนจิน ยอดนิยมทั้งหลายก็เป็น Crawler Based ทั้งนั้น

Web Directory หรือ Blog Directory
Web Directory หรือ Blog Directory คือ เว็บไซต์ Search Engine ที่รวบรวมรายชื่อเว็บไซต์จำนวนมาก แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เมื่อผู้ชมเข้ามาที่ Web Directory ก็จะเข้าไปดูหมวดหมู่ที่ตัวเองสนใจ ซึ่งในหมวดหมู่นั้นจะมีรายชื่อเว็บไซต์จำนวนมาก โดยผู้ชมอยากดูอันไหนก็สามารถกดเข้าไปดูอันนั้นได้เลย ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Sanook เว็บไซต์สื่อต่าง ๆ เป็นต้น

ดังนั้น Search Engine เป็นสิ่งสำคัญในการมอบข้อมูลที่ถูกต้องให้กับผู้อ่านมาก ๆ ถ้าเกิดว่าเราทำเว็บไซต์ได้ถูกใจ Bot มากเท่าไหร่ ก็จะช่วยนำเสนอสินค้าหรือบทความให้กับผู้อ่านได้มากขึ้นเท่านั้น

3 ขั้นตอนการทำงานของ Search Engine
 การเก็บข้อมูลเว็บ (Crawling)
การที่ Search Engine จะหาผลการค้นหา ก็ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ที่อยู่ในฐานข้อมูล โดยใช้โปรแกรมที่เรียกว่า Web Crawlers ก็จะตรวจสอบ ค้นหา ตามลิงก์ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล URLs เนื้อหาเว็บไซต์ รูปภาพ และวิดีโอ เมื่อบอทเจอข้อมูล หรือหน้าเว็บไซต์ใหม่ ส่งข้อมูลกลับมาให้ฐานข้อมูล เพื่อจัดทำดัชนี  และคอยตรวจสอบไปเรื่อยๆ
ทำดัชนี (Indexing)
เมื่อบอทเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการทำดัชนี ซึ่งจะเป็นขั้นตอนที่ Search Engine จะตรวจสอบ จัดเก็บ และเรียบเรียงข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลหลัก เว็บไซต์ของเราจะต้องได้รับการจัดทำดัชนี เพื่อให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกนำไปแสดงบน Search Engine เพื่อที่เราจะได้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของการค้นหา เพื่อให้ผู้คนเห็นเว็บไซต์ของเรา
ค้นหาและจัดอันดับ (Retrieval & Ranking)
ก่อนที่โปรแกรมค้นหาจะนำข้อมูลมาแสดงให้กับเราคือ การจัดลำดับ โดยเลือกผลลัพธ์ที่ดีที่สุดมาให้กับเรา ซึ่งเกณฑ์ในการจัดอันดับนั้นไม่มีใครรู้ แต่คนทำเว็บไซต์ และการตลาดออนไลน์ก็ยังมีการศึกษาเพื่อหาแนวทางทำให้เว็บไซต์ของตัวเองขึ้นไปติดอันดับในหน้าแรกของ Search Engine ให้ได้ โดยการติดตามข่าวสารอัพเดต และศึกษาอัลกอริทึมของโปรแกรมค้นหา จนเป็นที่มาของการทำ Search Engine Optimization (SEO)
Search Engine ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างไร
คนแทบทุกคนจะใช้โปรแกรมค้นหาเพื่อสนองความต้องการ รวมไปถึงค้นหาสินค้า และบริการอื่น ๆ  โดยผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย และมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเทรนด์สมัยนี้ ถ้าอยากจะซื้อสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่าง การหาข้อมูล หารีวิวจากใน โปรแกรมค้นหาอย่าง Google เป็นสิ่งที่คนส่วนมากทำก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้า

เพื่อให้ตอบโจทย์กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เราควรใส่ใจช่องทางออนไลน์ของเรา ตั้งแต่การนำเสนอข้อมูล คุณลักษณะ ประโยชน์ ราคา ของสินค้าและบริการ ผ่านสื่อหรือช่องทางรูปเเบบต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งถ้าหากเราทำคอนเทนต์ ทำเว็บไซต์ได้ดี แบรนด์เองก็จะมีโอกาสที่คนจะเข้าถึงได้มาก และเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้ด้วย โดยการเพิ่ม Traffic ก็เปรียบเสมือนการสร้าง Awareness ให้กับแบรนด์นั่นเอง

ยกตัวอย่าง ถ้าหากเราทำธุรกิจขายลิฟต์บ้าน เราทำคอนเทนต์เกี่ยวกับข้อมูล วิธีการใช้ และนำเสนอข้อมูลได้ดี เวลาคนเสิร์ช Keyword คำว่าลิฟต์บ้าน เว็บไซต์ คอนเทนต์ของเราก็จะติดอันดับต้น ๆ ซึ่งผู้ใช้ Search Engine มักคลิกเข้าเว็บไซต์ที่อยู่บน ๆ หากมีคนเข้าเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก ก็เป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขาย นำไปสู่การเติบโตได้อย่างง่ายดายเลย โดยสิ่งสำคัญคือการให้เวลาสำหรับธุรกิจ เพราะแต่ละธุรกิจก็ใช้เวลาในการเติบโตไม่เท่ากัน การ ทำ SEO   ก็เช่นกัน ที่ต้องใช้เวลาเพื่อที่จะให้เห็นผล และการเจริญเติบโตธุรกิจ

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะรู้แล้วว่า Search Engine คือ อะไร และมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างไร หวังว่าข้อมูลที่เรานำมาแชร์ในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะ

5
เมื่อพูดถึง SEO หรือ Search Engine Optimisation คำที่มักจะได้ยินตามมานั่นก็คือคำว่า Keyword หรือ คีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นตัวการหลักในการที่จะช่วยให้คนค้นหาเว็บไซต์หรือบทความของเราเจอใน Search Engine วันนี้เราจึงจะพาทุกคนมารู้จักว่า คีย์เวิร์ด คืออะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

Keyword คืออะไร
Keyword (คีย์เวิร์ด) คือ คำที่คนใช้ค้นหาข้อมูลจาก Search Engine เช่น Google เพื่อบ่งบอกว่า สิ่งที่คนค้นหา เขาอยากได้อะไรจากการค้นหายกตัวอย่าง เช่น เราวางแผนอยากไปเที่ยวเกาะล้าน และต้องการรู้ว่ามีวิธีการไปเกาะล้านอย่างไรบ้างที่ไม่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว เพื่อเปรียบเทียบราคาในการการเดินทาง เราจึงเข้า Google และค้นหาข้อมูลด้วยคำว่า “เที่ยวเกาะล้าน ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว” คำว่า “เที่ยวเกาะล้าน ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว” ถือเป็นคีย์เวิร์ดในการค้นหานั่นเอง ซึ่งถ้าจะพูดง่าย ๆ คือ คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าผู้คนกำลังหาหรือสนใจในเรื่องอะไร

มารู้จักประเภทของคีย์เวิร์ดกัน
ประเภทของคีย์เวิร์ดจะแบ่งตามความเฉพาะเจาะจงของการค้นหา ซึ่งปริมาณการค้นหาหรือ Search Volume นั้นก็จะแปรผันตามความเฉพาะเจาะจงอีกด้วย โดยถ้าคีย์เวิร์ดมีความเฉพาะเจาะจงน้อยก็จะมี Search Volume มาก ในทางกลับกันถ้าคีย์เวิร์ดมีความเฉพาะเจาะจงมากก็จะมี Search Volume น้อย โดยประเภทของคีย์เวิร์ดแบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้

Seed Keyword (Short Tail)
คือคำที่เกี่ยวกับ “สินค้า” หรือ “เป้าหมาย” ของเว็บไซต์ เป็นคำกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น เสื้อ, รองเท้า, กางเกง, กระเป๋า โดยคีย์เวิร์ดประเภทนี้เป็นคำที่มีปริมาณค้นหาสูง เพราะไม่ว่าคนจะค้นข้อมูลใดเกี่ยวกับสินค้านั้น จะมีคีย์เวิร์ดนี้ประกอบอยู่ เช่นถ้าคนค้นหา “รองเท้าส้นสูง” คำว่า “รองเท้า” ก็เป็น Short Tail คีย์เวิร์ดที่ประกอบอยู่ในคำค้นหานั่นเอง
Niche Keyword (Mid-Tail)
เป็นคำที่ขยายความคีย์เวิร์ด Short Tail อีกเล็กน้อย สิ่งที่เห็นได้ชัดของคีย์เวิร์ด Niche คือ เป็นคำแบ่งกลุ่มหรือหมวดหมู่สินค้าและบทความ ให้แคบลงขึ้นอีก เช่น เสื้อกันหนาวผู้ชาย โดยคีย์เวิร์ด Niche เหมาะที่จะใช้เป็นคำกรองเพิ่มขึ้น เช่น สี, ขนาด, รุ่น

Long Tail Keyword
คือคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงลงมา มีรายละเอียดของสินค้าที่มากขึ้น จึงเป็นกลุ่มคำที่มียอด Search Volume ค่อนข้างต่ำ แต่ Competition point อาจจะไม่ได้ต่ำในบางครั้ง เพราะเป็นคำที่มีความ Specific ที่เฉพาะเจาะจง เป็นคำที่มีกลุ่มคนที่รู้ตัวว่าตัวเองต้องการอะไรเสิร์ชกัน เป็นคีย์เวิร์ดที่สามารถทำเงินได้ แต่ไม่เจาะจงที่สุด
Niche Longtail Keyword
เป็นคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจง ระบุชัด รุ่นอะไร เท่าไหร่ ตัวอย่างคือ เสื้อกันหนาว The North Face รุ่นดุดัน ไม่เกรงใจใคร สำหรับปีนเขา โดย Niche Longtail คือคีย์เวิร์ดที่คนค้นหาสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นคำที่ระบุถึงสินค้าชิ้นนั้น ถูกใช้โดยคนที่ต้องการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นจริง ๆ และเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน มีคุณค่าทางธุรกิจกว่าคำกว้าง ๆ ที่ปริมาณค้นหาเยอะ แต่ไม่เจาะจง
3 หลักการในการเลือกคีย์เวิร์ด
นอกจากประเภทของคีย์เวิร์ดแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้อ่านได้ถูกกลุ่มเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพ โดยหลักการในการเลือกคีย์เวิร์ดนั้นมีด้วยกัน 3 ข้อ ดังนี้

เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณค้นหาเกิน 1,000 คนต่อเดือน หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือมี Average Search Volume ต่อเดือนมากกว่า 1,000 สำหรับคีย์เวิร์ดแบบ Niche Longtail และเกิน 10,000 คนต่อเดือนสำหรับคีย์เวิร์ด Niche ซึ่ง Average Search Volume นั้นสามารถเช็กได้จาก SEO Tools ต่าง ๆ
เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่คนใช้ในการค้นหาและสื่อถึงสินค้าของ ซึ่งรวมไปถึงคำที่มักสะกดผิดด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้นคนมักจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ ตามความเคยชินหรือการออกเสียง โดยเฉพาะคำทับศัพท์ ตัวอย่างเช่น คำว่า แอปพลิเคชัน ที่คนมักจะคุ้นชินกับคำว่า แอพพลิเคชั่น มากกว่า เพราะสะกดตามการอ่านออกเสียง
เลือกคีย์เวิร์ดที่มี KD หรือ Keyword Difficulty ที่หมายถึงความยากง่ายในการแข่งขันคีย์เวิร์ด ซึ่งถ้าคีย์เวิร์ดมี KD สูงแปลว่ามีการแข่งขันสูง ทำให้มีโอกาสที่เราจะติดหน้าแรกของ Search Engine ยากนั่นเอง โดยค่า KD ที่เหมาะสมนั้นควรต่ำกว่า 5 (ใน Ahrefs)
จะเห็นได้ว่า โดยรวมแล้ว คีย์เวิร์ด คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำ SEO มาก ๆ เพราะคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถทำคอนเทนต์ได้ตอบโจทย์ลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการที่ลูกค้าจะหาเราเจอได้ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อ Traffic หรือจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ถือเป็นการสร้าง Awareness ให้กับแบรนด์อีกด้วย

6
เมื่อพูดถึง Search Engine ที่เป็นที่นิยมอย่าง Google หลายคนก็มักจะนึกถึงการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ให้บทความติดหน้าแรกหรืออันดับหนึ่งของ Search Engine ซึ่งการเขียนบทความให้ติดหน้าแรกและเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์นั้นต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักว่า บทความ SEO คือ อะไร และมีเทคนิค การเขียนบทความ SEO อย่างไรบ้าง

บทนำ
งานเขียนคือสิ่งสำคัญของการทำ SEO เว็บไซต์ ให้ขึ้นหน้าหนึ่งของ Google เพราะคอนเทนต์หรือบทความคือสิ่งที่ผู้คนมองหา เพราะบทความจะให้ข้อมูลหรือคำตอบที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ โดย บทความ SEO (SEO Content) คือ บทความที่ถูกปรับแต่งให้สอดคล้องกับ Search Engine Algorithm ทำให้ Search Engine เข้าใจว่า เนื้อหาของบทความที่เราทำนั้นเกี่ยวกับอะไร จึงส่งผลให้มีโอกาสติดอันดับดี ๆ หรือนำมาแสดงผลในผลการค้นหา

การเขียน บทความ SEO เริ่มต้นยังไง
Keyword เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง โดยทุก ๆ บทความต้องมี Keyword ที่เราต้องการเน้น โดยการเขียนบทความออนไลน์ เราควรตั้งต้นว่าเราเขียน บทความ เพื่อใคร แล้วเรื่องที่เราจะเขียน เขาจะค้นหาด้วย Keyword อะไร ซึ่งเราควรเขียนเนื้อเรื่องที่ตอบโจทย์การค้นหานั้น ๆ เช่น คนที่ปวดหัวไมเกรนจะค้นหาว่า “ปวดหัวไมเกรน วิธีแก้” ดังนั้นบทความเรื่องไมเกรนของเราจึงควรมีเรื่องวิธีแก้ปวดหัวไมเกรน ทั้งในตัวเนื้อหาและหัวข้อของบทความ

เทคนิคการเขียน บทความ SEO
เลือกหัวข้อที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
หัวข้อบทความควรเป็นหัวข้อที่กลุ่มเป้าหมายสนใจและค้นหาบ่อย ๆ เราสามารถหาข้อมูลและหัวข้อที่น่าสนใจได้จากเครื่องมือ Keyword Research ต่าง ๆ เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest, Ahrefs, Google Trend เป็นต้น
เขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และมีคุณภาพ
เนื้อหา บทความ ควรมีความถูกต้อง ครบถ้วน เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน
ใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม
ควรกระจายคีย์เวิร์ดให้ทั่วทั้งบทความอย่างเหมาะสม โดยหลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ มากเกินไป
ใส่ภาพประกอบและ Alt Text
ภาพประกอบสามารถช่วยดึงดูดความสนใจของผู้อ่านและทำให้ผู้อ่านไม่รู้สึกเบื่อเมื่อเวลาอ่านแล้วมีแต่ตัวหนังสือมากเกินไป รวมถึงการใส่ Alt text เพื่ออธิบายรูปภาพ ที่ช่วยให้ Google รู้ว่า รูปที่เราใส่คืออะไร เมื่อมีคนเสิร์ชรูปภาพใน Google รูปภาพของเราก็จะถูกนำมาแสดงเช่นกัน
กระตุ้นให้ผู้อ่านมีส่วนร่วม
คุณสามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับบทความได้ เช่น การตั้งคำถาม การขอให้แสดงความคิดเห็น เป็นต้น
แชร์บทความบนโซเชียลมีเดีย
การแชร์บทความบนโซเชียลมีเดียสามารถช่วยให้บทความของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและเพิ่มผู้เข้าชมจากโซเซียลมีเดียด้วย
โดยหลัก ๆ แล้วเราควรคิดในมุมผู้ใช้ คนที่สนใจบทความนี้ น่าจะสนใจอะไร หรือต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไร ซึ่งนอกจากเราหา Keyword ในมุมของเราแล้ว เราต้องลองคิดเพิ่มว่าในมุมของคนที่จะเสิร์ชเข้ามา จริง ๆ แล้วเขาต้องการอะไร เช่น ถ้าเราจะเขียนบทความเกี่ยวกับ ชานมไข่มุก ผู้คนก็จะค้นเกี่ยวกับ ชานมไข่มุกอร่อย ชานมไข่มุกใกล้ฉัน อีกทั้งเราสามารถเลือกใช้ Keyword ที่เราต้องการร่วมกับ Keyword อื่น ๆ ที่คิดว่าคนน่าจะเสิร์ชมาใช้ร่วมกันได้ ไม่จำเป็นต้องมุ่งโฟกัสแค่ Keyword คำเดียว ก็จะเพิ่มโอกาสที่คนจะเจอบทความของเรา โดยเรียก Keyword อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องว่า Related Keyword ซึ่งคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญของการเขียน บทความ SEO เลย เพราะว่ามันเป็นสิ่งสำคัญในการที่มอบข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนที่กำลังจะเข้ามาหาข้อมูลในเว็บไซต์เรา

นอกจากนี้อีกสิ่งที่ช่วยได้นั่นคือ SEO Plugins ที่เป็นตัวช่วยในการตรวจบทความที่เรากำลังจะลงว่า บทความของเรานั้นถูกต้องตามหลัก SEO หรือไม่ ถ้าหากยังไม่ถูกต้องจะต้องปรับตรงไหนบ้าง โดยเราจะต้องติดตั้ง Plugins ในหลังบ้านของ WordPress และเมื่อเราเขียนบทความ ก็จะสามารถตรวจสอบบทความก่อน Publish ได้ ซึ่ง SEO Plugins นั้นมีหลากหลายแบรนด์ แต่แบรนด์ที่เป็นที่นิยมใช้จะมีอยู่ 2 แบรนด์ นั่นคือ Yoast และ Rank Math ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม

หวังว่าบทความนี้จะช่วยในการเเขียนบทความไม่มากก็น้อย ถ้าหากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาทางด้าน SEO ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย!

7
จุดประสงค์ของหลาย ๆ คนเวลาทำ Website ก็คงอยากให้คนเข้ามาเยี่ยมชม Website เราเยอะ ๆ โดยวิธีการนั้นก็คือการทำ SEO แต่หลาย ๆ คนก็ยังสงสัยว่า แล้ว SEO คือ  อะไร? จริง ๆ แล้ว มันสำคัญต่อธุรกิจของเราหรือเปล่า? อย่างไร ? โดยในบทความจะพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจกับ SEO กัน
 
SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการปรับแต่ง Website ให้สอดคล้องกับการทำงานของระบบ Search Engine อาทิ Google, Yahoo, Baidu, Bing และอื่น ๆ ส่งผลให้ Search Engine เข้าใจว่า Website เราเกี่ยวข้องกับอะไร ทำอะไร และให้ข้อมูลเป็นประโยชน์แก่ Users อย่างไร ? โดยส่วนมาก 99.99% ของคนไทยจะใช้ Search Engine ของ Google โดยถ้าทำ SEO แล้วเราต้องโฟกัสไปที่อัลกอริธึมการค้นหาของ Google

Why Google ทำไมต้องเป็น Google?

โดย Google ถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมค้นหาที่ทรงอิทธิพลด้วยจำนวนการค้นหาโดย Google ที่มีมากถึงกว่า 5.6 พันล้านครั้งต่อวัน ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Google จึงเป็นหนึ่งตัวหลักของธุรกิจของหลาย ๆ คน

Google Search Algorithm คืออะไร

Google Search Algorithm หมายถึงกระบวนของ Google ใช้ในการจัดอันดับเนื้อหาโดยพิจารณาจากปัจจัยหลาย ๆ ข้อ เช่น Keyword การใช้งานของ Users และ Backlink โดยในความเป็นจริงแล้ว อัลกอริธึมของ Google มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยทาง Google บอกว่ามีการ Update อัลกอริทึมโดยเฉลี่ยหกครั้งต่อวัน และมากถึง 2,000 ครั้งต่อปีเลยทีเดียว

Search Engine Optimization

สาเหตุที่ต้องทำ SEO
จุดประสงค์ของการทำ SEO คือ ทำให้ Website ปรากฏใน Rank ต้น ๆ ของผลการค้นหาโดยมีอีกชื่อคือ SERPs (Search Engine Result Pages) ส่งผลให้ Volume ที่เป็น Organic Traffic Website เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินค่า Ads หรือค่าโฆษณานั่นก็แปลว่า ธุรกิจของคุณมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย

SEO ต้องลงทุนและใช้เวลา

การทำ Search Engine Optimization เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าการเปลี่ยนแปลง Algorithm ของ Google อาจทำให้อันดับเว็บไซต์เปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นการหมั่นตรวจสอบอันดับของเว็บไซต์อยู่เสมอและปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริธึมของ SEO เป็นสิ่งที่ใช้เวลาและต้องใช้ความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นมีมหาศาล

แล้ว SEO ช่วยอะไรกับธุรกิจเรา

สร้าง Brand Awareness และเพิ่มยอดขายทั้ง Product และ Service
ช่วยเพิ่มจำนวน Website Traffic
ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย Visitor Targeting โดยนำ Keyword เป็นตัวนำและคัดกรองลูกค้า
ช่วยเพิ่มความสำเร็จให้ตรงตามยอด เพราะ Target ที่ค้นหามีความสนใจหรือความต้องการอยู่แล้ว (Quality Traffic)
ช่วยประหยัดงบ Marketing และ Ads โฆษณา เพราะต้นทุนต่ำกว่าการทำการตลาดกลยุทธ์อื่น ๆ มาก แถมยังเป็นการลงทุนระยะยาวอีกด้วย
ช่วยสร้างความ Authority ให้กับ Brand และช่วยให้ดูมีความเชี่ยวชาญมากขึ้น
สรุปคือ การทำ SEO คือ หนึ่งในวิธีทางการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างยั่งยืนแม้จะใช้เวลา แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนคือลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ของเราและสามารถเพิ่มยอดขายเพื่อทำให้ธุรกิจของเราเติบโตขึ้น

สามารถอ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ Link
https://www.augmentdigital.io/th/seo-101/what-is-seo-and-how-is-it-important-2/

 

หน้า: [1]