ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - โทนี่ วู๊ดดี้

หน้า: 1 ... 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12
401
True Online ต่อยอดความเร็ว แรง อินเทอร์เน็ตระดับ 10 Gbps เน็ตบ้าน รายเดือน ที่เปิดให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรมาอย่างยาวนาน ด้วยการจัดให้ลูกค้าบุคคล ได้สัมผัสประสบการณ์เน็ต 2 Gbps ด้วย “True Gigatex Fiber 2 Gbps” ที่ปล่อยสัญญาณ WiFi แรงสุดในเมืองไทย มาพร้อม True Gigatex Fiber Router PROWiFi 6 ให้อัปสปีดเน็ต ไหลลื่น เร็วและแรงสะใจขึ้นถึง 3 เท่า True Gigatex Mesh PROWiFi 6 อุปกรณ์เสริมกระจายสัญญาณ ให้ครอบคลุมทั่วบ้าน และกล่อง ทรูไอดีทีวี รวมความบันเทิงระดับโลก ครบรส

True Gigatex Fiber 2 Gbps มาพร้อม 3 อุปกรณ์คือ
1. True Gigatex Fiber Router PRO WiFi 6 Router อัจฉริยะ เล่นเน็ต WiFi เร็วแรงขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า
2. True Gigatex Mesh PRO WiFi 6 รุ่น Tri Band อุปกรณ์เสริมกระจายสัญญาณ WiFi ให้แรงครอบคลุมทั่วบ้าน ใช้งาน WiFi 6 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
3. กล่อง ทรูไอดีทีวี ที่มีแพ็กเกจทรู ไอดี พลัส และทรูวิชั่นส์ นาว ชมทรูพรีเมียร์ลีก สดครบทุกแมตช์ตลอดฤดูกาล 2021-2022

พร้อมซิมทรูมูฟ เอช เล่นเน็ตเต็มสปีด 15 GB โทรฟรี 60 นาที พิเศษยิ่งขึ้น สำหรับคุณลูกค้าทรูแบล็ค การ์ด รับเพิ่ม True Gigatex Mesh PRO WiFi 6 อีกหนึ่งตัว และสิทธิ์อัปเกรดความบันเทิงจากแพ็กเกจทรูวิชั่นส์ นาว สแตนดาร์ด เป็น แพ็กเกจทรูวิชั่นส์ นาว พรีเมียม ชมคอนเทนต์พิเศษจุใจ อัดแน่นครบรสทุกความบันเทิง รวม 43 ช่อง กว่า 3,800 รายการ อีกด้วย

ทรูออนไลน์ ยังคงครองความเป็นผู้นำเน็ตบ้านไฟเบอร์ อันดับ 1 ของเมืองไทย ที่ได้รับรางวัลคุณภาพระดับโลกจาก nPerf พร้อมยกระดับประสบการณ์ชีวิตดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กร ที่ได้เปิดให้บริการระดับ 10 Gbps จนเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้ แพ็กเกจ True Gigatex Fiber 2 Gbps พร้อมให้บริการในพื้นที่ครอบคลุมถึง 24 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา อยุธยา สระบุรี นครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา และนครศรีธรรมราช สมัครวันนี้ ถึง 31 มีนาคม 2565 ติดตั้งฟรี และดูแลโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทรูช็อปทุกสาขา เน็ตบ้าน รายเดือน

แคมเปญพิเศษเฉพาะคุณลูกค้าติดตั้งใหม่ และย้ายค่ายเท่านั้น ติดเน็ตบ้านทรู เริ่มต้น 399/เดือน ติดตั้งเน็ตบ้านทรูไฟเบอร์ ไวไฟทรู สมัครกับพนักงานทรูโดยตรง สมัครตอนนี้รับส่วนลด 50% ติดตั้งไวไฟทรู บริการรวดเร็วตามงานทุกเคส เน็ตบ้านทรู 399 บาท ย้ายค่ายมาทรูลดสูง 50% นาน 24 เดือน ให้คุณเล่นเน็ตไม่มีพัก ความบันเทิงระดับโลก โปรเน็ตบ้านสุดคุ้ม แถมกล่องทรูไอดีทีวี พร้อมชมพรีเมียลีกฟรี เน็ตบ้านทรู เน็ตบ้านอันดับ 1 ทรูไฟเบอร์


ประโยชน์ที่ลูกค้าควรได้รับ
- บริการอินเทอร์เน็ต เน็ตบ้าน รายเดือน True Gigatex ที่สามารถให้ความเร็วสูงถึง 1 Gbps พร้อมสัญญาณ Wi-Fi ความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz ที่มีระบบ Brand steering ที่ช่วยค้นหาสัญญาณที่ดีที่สุด
- บริการ TrueID TV ที่ให้บริการ Content ที่หลากหลาย เพื่อให้ได้เลือกชม ทั้ง ช่องฟรี TV, หนังคุณภาพระดับพรีเมี่ยม, ซีรี่ส์ดัง กีฬาทั้งใน และต่างประเทศ
- บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จาก True Move H โครงข่ายที่มีความครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ
- บริการ True iService ที่สามารถตรวจสอบค่าบริการ ชำระบริการ และสมัครบริการเสริมด้วยตนเองได้ง่ายๆ เพียงดาวน์โหลด True iService Application
- บริการ True Money เป็น application ทางการเงิน ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการ สามารถชำระค่าสินค้า และบริการต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เช่น ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าสินค้าในร้าน 7-11 เป็นต้น
- บริการ Call Center 1242 เบอร์เดียวที่สามารถตอบได้ครบทุกบริการในกลุ่มทรู โดยเป็นศูนย์กลาง การให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร ทั้ง ทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ ทรูวิชั่นส์ ทรูคอนเวอร์เจนซ์ และบริการอื่นๆ ในกลุ่มทรู ตลอด 24 ชั่วโมง

402
ทรูมูฟ เอช เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียน โทร. 9777 ช่วยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเดือดร้อนแบบครบวงจร

รายงานข่าวจากกลุ่มทรู เปิดเผยว่า จากกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้พี่น้องประชาชนคนไทยในขณะนี้ ทางทรูมูฟ เอช มีความห่วงใย และต้องการร่วมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน จึงเดินหน้าผนึกกำลังศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมยกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เป็นไปแบบครบวงจร โดยเปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียน โทร. 9777

สำหรับคุณลูกค้าทรูมูฟ เอช ให้ติดต่อโทรฟรีแจ้งข้อมูลเบอร์โทรเข้าที่ต้องสงสัยและ SMS หลอกลวง รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตลอด 24 ช.ม. โดยจะมีทีมงานเชี่ยวชาญตรวจสอบ คัดกรองข้อมูลและแจ้งกลับเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าภายใน 72 ชั่วโมง พร้อมดำเนินการบล็อกเบอร์โทรและ SMS นั้นในระบบทันทีที่พบและยืนยันแน่ชัดว่าเป็นหมายเลขและ SMS จากกลุ่มคอลเซ็นเตอร์มิจฉาชีพจริง และส่งต่อข้อมูลหมายเลขดังกล่าวไปยังกสทช. และ ศปอส.ตร. เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการป้องกันและจัดการกับมิจฉาชีพตามกฎหมายได้ทันท่วงที และที่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู บริการช่วยเหลือทางออนไลน์ ตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังเปิดช่องทางรับเรื่องตรวจสอบหมายเลขต้องสงสัยผ่าน “มะลิ AI” บนแพลตฟอร์มทรูไอเซอร์วิส และต่อยอดความร่วมมือกับ “Whoscall” แอปพลิเคชันเช็คเบอร์แปลกแจ้งเตือนก่อนรับสาย เพื่อส่งต่อข้อมูลให้ดำเนินการขึ้นเตือน ภายใต้ภารกิจสร้างเกราะคุ้มกันภัยทางออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าคนสำคัญของทรูแน่ใจในทุกการสื่อสาร



บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรู ตระหนักถึงภัยอาชญากรรมออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นและมีกลโกงที่นับวันก็มีหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดความรำคาญและสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับผู้ที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยทรูมูฟ เอช อยากให้มีความปลอดภัยและมั่นใจในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น

นอกจากจะให้ความสำคัญในการดูแลปกป้องรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าแล้ว ยังเดินหน้ายกระดับการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ด้วยความตั้งใจแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จึงร่วมมือกับ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ ศูนย์ PCT และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

ถือเป็นการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ตั้งเป้าในการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปแบบครบวงจร อันจะนำไปสู่การกวาดล้างจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเปิดฮอตไลน์ 9777 ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรต้องสงสัยและ SMS มิจฉาชีพ สำหรับลูกค้าทรูมูฟ เอช โทรฟรี ตลอด 24 ช.ม. ที่รองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งจัดตั้งทีมงานพิเศษโดยเฉพาะ คอยตรวจสอบ คัดกรองข้อมูลอย่างแม่นยำ และแจ้งผลการตรวจสอบแก่ลูกค้าภายใน 72 ช.ม.

และในครั้งนี้ เป็นที่น่ายินดีสำหรับผู้บริโภคที่ ทรูมูฟ เอช ได้ริเริ่มเปิด Hotline 9777 รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทรมิจฉาชีพและ SMS หลอกลวง ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าทรูมูฟ เอช ในการแจ้งข้อมูลเบอร์ต้องสงสัยให้ตรวจสอบ ทั้งยังเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์ PCT เพื่อนำไปสู่การสืบค้นและจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยป้องปรามกลุ่มมิจฉาชีพและเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการโทรคมนาคมในวงกว้าง ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เพื่อร่วมกันกวาดล้างกลุ่มมิจฉาชีพให้ลดน้อยและหมดไปได้ในที่สุด

มีข้อสงสัยเรื่องไหนอยู่ หาคำตอบได้ที่นี่ คอลเซ็นเตอร์ ทรู

403
ทรูไอเซอร์วิส ล้ำไปอีกขั้น ส่งฟีเจอร์ใหม่ เอาใจไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล จัดการปัญหาเน็ตบ้านให้ได้ง่ายๆด้วยปลายนิ้ว สะดวก ครบ จบ ลงตัว เพียงแค่คลิกเมนู แก้ปัญหา WiFi บ้าน บนแอป True iService ระบบจะตรวจสอบ เช็คค่าสัญญาณ แนะนำแก้ไขเองได้ทันที

อีกขั้นที่เหนือกว่า....ทรู ย้ำ ผู้นำบริการ Self Service เพื่อให้ลูกค้าทรูได้ใช้ชีวิตอิสระได้เต็มที่ด้วยตัวเอง ส่งฟีเจอร์ใหม่ “แก้ปัญหา WiFi” ในแอปพลิเคชัน True iService    เมนูลัดสุดสมาร์ทช่วยให้คุณลูกค้าทรูออนไลน์ ตรวจสอบสัญญาณอินเทอร์เน็ตบ้าน พร้อมจัดการและแก้ไขได้สะดวกๆ ด้วยตัวเอง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ให้เชื่อมต่อโลกออนไลน์แบบไม่สะดุด ด้วยสัญญาณเน็ตบ้านที่เร็วแรงได้ใจตลอดเวลา สะดวกสบายไม่ต้องรอสายเพื่อขอคำแนะนำจากคอลเซ็นเตอร์ หรือเดินทางมาที่ ทรูช็อป ลูกค้าทรู โหลดเลย! ที่ App Store และ Play Store

เนื่องมาจากการใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันของลูกค้าที่ต้องการบริหารจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นความรวดเร็ว สะดวกสบาย ปลอดภัย  ทรู จึงรังสรรค์นวัตกรรมบริการที่จะตอบสนองการใช้ชีวิตยุคดิจิทัลของลูกค้าคนสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะการให้บริการตนเองแบบอัตโนมัติผ่านแอปพลิเคชัน  ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  มีลูกค้าใช้งาน แอป True iService เพิ่มขึ้นมากกว่า 70 % เทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา  โดย 3 ฟีเจอร์ที่มีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นในแอป คือ
1.ตรวจสอบยอดบิล และชำระค่าบริการ
2.บริการเปิดใช้งาน และลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์
3.ซื้อแพ็กเกจเสริมสำหรับโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตบ้าน
ขณะเดียวกันในส่วนฟีเจอร์ของการช่วยแก้ปัญหานั้น  ลูกค้าได้ปรับมาใช้บริการแชทเพื่อสอบถามและแก้ปัญหาเบื้องต้นเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งส่วนมากหากรู้ที่มาของปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง จึงเป็นที่มาของการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด เมนู  “แก้ปัญหา WiFi” บนแอปพลิเคชัน True iService   ที่จะอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทรูออนไลน์ ที่ประสบปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตบ้าน สามารถดำเนินการเช็คสัญญาณ และแก้ไขปัญหาที่เจอได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยคุณลูกค้าเพียงเลือก ไอคอน “แก้ปัญหา WiFi (Fix my WiFi)”   ระบบก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบค่าสัญญาณทันที ทั้งสถานะบริการ ทั้งเน็ตเวิร์กภายนอก ทั้งอุปกรณ์ Router หรือ Modem รวมไปถึงการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งจะมีคำแนะนำให้ลูกค้าสามารถทำรายการตามขั้นตอนได้ด้วยตนเอง  ซึ่งเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าฟีเจอร์ใหม่ที่เป็น NEO  หรือ Network  Excellence on  Hand นี้จะทำให้คุณลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า อีกทั้งยังประหยัดเวลา ไม่ต้องรอสายคอลเซ็นเตอร์ หรือเดินทางออกจากบ้าน มายังทรูช็อปเพื่อขอคำแนะนำ  และในกรณีที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม หรือนัดหมายช่างให้เข้ามาตรวจสอบที่บ้านด้วยตนเอง ก็สามารถเลือกวัน และเวลาที่สะดวกผ่านแอปพลิเคชัน True iService ได้เลยทันที

สนใจแพ็กเกจโปรเน็ตบ้านทรู TrueOnline เน็ตแรงคุ้มค่ากับราคาเบาๆ เริ่มต้น 399 บาท/เดือน พร้อมสิทธิพิเศษเพียบ! ผู้ที่สนใจบริการปรับสปีดเน็ตตามไลฟ์สไตล์ สามารถสมัครแพ็กเกจแนะนำ True Gigatex Flexi ความเร็ว 1000/500 Mbps ขึ้นไป เพื่อใช้งานบริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผ่านทุกช่องทางแล้ววันนี้ สมัครได้ที่นี่ WiFi บ้าน


404
ทรู หนีแข่งตลาดบรอดแบนด์ที่ความเร็วและราคา เน้นยกระดับสู่ไลฟ์สไตล์ในบ้านที่สมาร์ทขึ้น มีความเสถียร และ{|ความปลอดภัย เพิ่มประสบการณ์ใช้อุปกรณ์ IoT รับฟรีกล้อง CCTV เปิดแคมเปญ "True Gigatex PRO Life" เน็ตดี เร็วลื่น โปรสุดทุกเรื่อง ดึง "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรที่อยู่ในกระแส ตอกย้ำภาพไฟเบอร์ทรูเกาะทุกกระแสแม้อยู่ที่บ้าน

True Online ให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการแก่ลูกค้ามากกว่าซึ่งทรูเป็นอันดับหนึ่งในตลาดบรอดแบนด์ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 40% โดยไตรมาสแรกปี 2565 ทรูมีผู้ใช้บริการบรอดแบนด์เพิ่มสูงขึ้นกว่า 90,100 ราย ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้ารวมอยู่ที่ 4.7 ล้านราย โดย 50% คือลูกค้าที่ใช้งานความเร็ว 1 Gbps มีรายได้จากการให้บริการบรอดแบนด์อยู่ที่ 7,318 ล้านบาท ขณะที่ ARPU ปรับตัวลดลงจากปีก่อนซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งอุตสาหกรรม ขณะที่ภาพรวมของตลาดจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นราวปีละ 1 ล้านราย



ดังนั้น การแข่งขันเรื่องราคา และความเร็วจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่ทรูมีความต้องการเพิ่มไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานตามบ้านให้สมาร์ทมากยิ่งขึ้น นำเสนอสินค้าและบริการของทรูให้คุณลูกค้าใช้แบบครบวงจร ไม่ว่าอุปกรณ์เราท์เตอร์ที่รับส่งข้อมูลเสถียรมากขึ้น การใช้อุปกรณ์ช่วยกระจายสัญญาณจากปัญหาจุดอับของบ้านในห้องต่างๆ ให้ใช้งานอย่างทั่วถึงในทุก ๆ มุมของบ้าน การมอบความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ CCTV ผ่านการเชื่อมต่อแบบ IoT และใช้คลาวด์ในการเก็บข้อมูล รวมถึงการใช้คอนเทนต์ผ่านกล่อง ทรูไอดี เป็นต้น

เพราะเหตุนี้ ทรูจึงเปิดแคมเปญ "True Gigatex PRO Life" เน็ตดี เร็ว ลื่น โปรสุดทุกเรื่อง และเพื่อตอกย้ำความโปรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงได้เสริมทัพด้วยการดึงพรีเซ็นเตอร์ "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ผู้ประกาศข่าวและพิธีกรที่มีอิทธิพลต่อสังคม สามารถเข้าถึงชาวไทยได้ทุกเพศทุกวัย ตอกย้ำภาพเน็ตบ้านไฟเบอร์อันดับ 1 ที่ครบกว่า คุ้มกว่า แรงกว่าทุกกระแสในไทย

"True Gigatex PRO Life" โปรโมชั่นเน็ตบ้าน เริ่มเพียงแค่ 599 บาทต่อเดือน สำหรับคุณลูกค้าปัจจุบันรับฟรีกล้อง CCTV เมื่อสมัครบริการ CCTV Cloud เพียงเดือนละ 99 บาท และยังรับส่วนลดซื้ออุปกรณ์ IoT ประกอบด้วย 5 โปรโมชัน ได้แก่
1.“PRO” HomeTECH โปรสุดทุกเรื่องบ้านอัจฉริยะ เปลี่ยนบ้านคุณให้ล้ำกว่า โปรกว่าด้วย IoT Smart Home จาก True LivingTECH ที่จะช่วยเปลี่ยนบ้านคุณให้เป็นบ้านอัจฉริยะ ตอบสนองความเป็นผู้นำเรื่อง Smart Home เพื่อคนไทยสะดวกสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น กับแพกเกจเน็ตบ้านที่มาพร้อมกล้อง CCTV และบริการ CCTV Cloud ให้ดูภาพย้อนหลังได้แบบคมชัด พร้อมชูจุดเด่น 3 แกนหลัก ไม่ว่าจะเป็น Live Safe with PRO Secure เทคโนโลยีบ้านปลอดภัย Live Smart with PRO Convenience เทคโนโลยีบ้านอยู่สบาย และ Live Smile with PRO Health เทคโนโลยีบ้านสุขภาพดี โดยอุปกรณ์ต่างๆ สามารถตั้งค่าให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไม่จำกัดตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย ควบคุมหรือสั่งการได้ง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชันเพียงแอปเดียว

2.“PRO” Speed โปรสุดทุกเรื่องความเร็ว ที่ไม่ใช่แค่เรื่องสปีดและตัวเลข แต่เราคำนึงถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย ด้วยโมเด็ม 6 เสาที่ดีที่สุด Gigatex Router Pro WiFi6 รับประกันความเร็วแรงระดับ Gigabit พร้อมMesh Router PRO WiFi6 ตัวช่วยกระจายสัญญาณทั่วบ้าน เล่นเน็ตไร้สาย WiFi แรงขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า ทั้งนี้ ทรูออนไลน์ยังมีแพ็คเกจอินเตอร์เน็ตความเร็วให้เลือกสูงสุดถึง 2Gbps ให้คนไทยได้เลือกใช้ตามการใช้งาน และสมาชิกในครอบครัว

3.True Gigatex Flexi “PRO” โปรสุดทุกไลฟ์สไตล์ บริการที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนไทย กับบริการปรับความเร็วตามการใช้งานมีให้เลือก 3 รูปแบบ ทั้งโหมดการทำงานหรือเรียนออนไลน์ โหมดความบันเทิงดูหนังฟังเพลง และโหมดเล่นเกม เป็นบริการฟรีเพื่ออำนวยความสะดวกให้คุณลูกค้าปัจจุบันและคุณลูกค้าใหม่ที่ใช้แพกเกจความเร็วที่ 1,000/500 Mbps ขึ้นไป

4.“PRO” Content โปรสุดทุกเรื่องคอนเทนต์ กับกล่องทีวีอัจฉริยะ ทรูไอดีทีวี ที่มาพร้อมความบันเทิงระดับโปรของบ้านแห่งอนาคตที่สามารถเปลี่ยนทีวีธรรมดาให้เป็นสมาร์ททีวี รวมที่สุดของความบันเทิง ที่ทรู ที่เดียว ครบทุกไลฟ์สไตล์ และ 5.บริการ True Gigatex Tech “PRO” โปรสุดทุกเรื่องการให้บริการ ดูแลครบทุกด้านระดับโปร รวดเร็วทันใจ แก้ปัญหาฉับไวใน 24 ช.ม. พร้อมเทคโนโลยี AI อัจฉริยะ ด้วยระบบการทำงานที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์เชิงลึก เสริมประสิทธิภาพการดูแลคุณภาพเครือข่ายแบบ Proactive Maintenance ซึ่งเป็นการดูแลลูกค้าในเชิงรุก และพบกับชีวิตระดับโปรและแพกเกจสุดพิเศษเริ่มต้นเพียงแค่ 599 บาทได้แล้ววันนี้ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน รับฟรีกล้อง CCTV เมื่อสมัครบริการ CCTV Cloud เพียงเดือนละ 99 บาท และยังสามารถรับส่วนลดซื้ออุปกรณ์ IoT อัจฉริยะอีกด้วย

ติดเน็ตบ้านทรู ส่วนลดพิเศษ เพียง 599.-/เดือน ความเร็วสูงสุด 500/500 Mbps พิเศษ รับสิทธิ์เพิ่ม อุปกรณ์เสริม True Gigatex MESH WiFi เพิ่มเพียง 100.-/เดือน/จุด ขยายสัญญาณ Wifi เล่นเน็ตเร็วแรงเต็มสปีดทั้งบ้าน * พิเศษ ฟรีค่าติดตั้งเน็ตบ้าน 890.- เมื่อชื่อที่อยู่ตรงตามทะเบียนบ้าน สนใจเน็ตบ้านเร็วสุดแรงสุดคลิก True Online

405


true call center support รวมข้อสงสัย และวิธีการแก้ปัญหา ทั้งวิธีเช็กยอดค่าใช้จ่าย จ่ายบิลเองสะดวกๆ แก้ปัญหาสัญญาณมือถือและอุปกรณ์สื่อสาร วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น ทรูออนไลน์ อินเตอร์เน็ตบ้าน วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น กล่องทรูวิชั่นส์ ทรูไอดี

เช็กยอด จ่ายบิล สะดวกๆเพียงปลายนิ้ว แค่ใช้ ทรู ไอเซอร์วิส
เช็กยอดจ่ายบิลทรู หากท่านมียอดชำระหลายบริการอาจทำให้คุณสับสน ต้องจ่ายวันไหน หรือสงสัยว่าชำระค่าบริการไปแล้ว ทำไมยังมียอดเรียกเก็บ สามารถดูวิธีการเช็กยอด จ่ายบิลง่ายๆ ผ่าน ทรู ไอเซอร์วิส ใช้ได้ทั้งเบอร์เติมเงิน เบอร์รายเดือน รวมถึงบริการอื่นๆ ของทรู
1. เปิดแอปหรือเว็บ ทรู ไอเซอร์วิส
2. เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน ทรู ไอดี
กรณีที่ท่านลืมรหัสผ่าน ลองกรอกรหัสผ่านและตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่ได้จริง ๆ สามารถเลือกรับรหัสผ่านด้วยตนเองง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยโดยทำตามวิธีดังนี้ คลิก https://help.trueid.net/app/th-th
3. เลือกเมนู เช็กเน็ต/ค่าโทร ที่เมนูบริการทั้งหมดด้านบน หรือ เมนู บิล & ใช้งาน ที่แถบเมนูด้านล่าง
4. เลือกเบอร์ หรือ บริการทรู เพื่อเช็กยอดการใช้งานในแถบรอบบิลปัจจุบัน และดูรายละเอียดบิลในแถบรอบบิลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเช็กข้อมูลการโทร เน็ตคงเหลือ หรือค่าบริการส่วนเกิน เช็กยอดที่ต้องชำระ และกำหนดชำระ หรืออยากดูในรูปแบบบิลก็สามารถดูได้
5. เลือกเบอร์ หรือ บริการทรู ที่ต้องการจ่ายบิล แล้วกด จ่าย
6. เลือกช่องทางการจ่ายเงินแล้วกด ยืนยัน
เลือกช่องทางการจ่ายได้ทั้ง ทรูมันนี่ วอลเล็ท หรือบัตรเครดิต แต่หากจ่ายด้วย ทรูมันนี่ วอลเล็ท จะได้รับสิทธิพิเศษเป็น ทรูพอยท์ เพิ่ม
สงสัยเรื่องไหนอยู่ ก็สามารถหาคำตอบได้ที่นี่ true call center ติดต่อ True Call Center สอบถามด้านการใช้งาน โทร. 1242 สมัครบริการใหม่ โทร. 027008000



ทำไมเน็ตช้า ทั้งที่ใช้แพ็กเกจเน็ตไม่จำกัด
ปัญหาทำไมอินเตอร์เน็ตช้าทั้งที่ใช้แพ็กเกจเน็ตไม่จำกัด สาเหตุเกิดจากการติด F.U.P (Fair Usage Policy) F.U.P คือการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วสูงสุด ครบตามปริมาณของแพ็กเกจที่สมัครไว้ ผู้ให้บริการจึงปรับความเร็วลดลงตามโปรโมชั่น โดยที่คุณลูกค้าจะยังเล่นอินเตอร์เน็ตต่อไปได้ ไม่จำกัด แต่ถ้าต้องการเล่นเน็ตได้เต็มสปีด ก็สามารถซื้อแพ็กเกจเสริมเพิ่มเติมได้ ผ่าน ทรู ไอเซอร์วิส

1. เปิดแอปหรือเว็บ ทรู ไอเซอร์วิส
2. เข้าสู่ระบบด้วยทรูไอดี ในกรณีลืมรหัสผ่าน ลองกรอกรหัสผ่านและตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่ได้จริง ๆ สามารถเลือกรับรหัสผ่านด้วยตนเองง่ายๆ เพื่อความปลอดภัยโดยทำตามวิธีดังนี้
3. เลือกเมนู ซื้อแพ็กเสริม ที่เมนูบริการทั้งหมดด้านบน หรือ แถบเมนูด้านล่าง
4. เลือกเบอร์ และเลือกแพ็กเสริมที่ต้องการ
5.ดูรายละเอียดแพ็กเสริม แล้วกด ซื้อ
6. ระบบจะทำการซื้อแพ็กเสริมให้ทันที
สงสัยเรื่องใดอยู่ หาคำตอบได้ที่นี่ true call center บริการช่วยเหลือทางออนไลน์ ยินดีให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

406
สถานการณ์ณ เวลานี้ที่เราต้องทำงานหรือเรียนที่บ้านสั่งซื้อของออนไลน์ฤดูคอนเทนต์ต่างๆจะทำอะไรๆ ก็ใช้อินเตอร์เน็ตบ้านแบบนี้คุณลูกค้าอาจกังวลใจว่าหากเกิดปัญหาสัญญาณเน็ตบ้านต้องทำยังไง มะลิ AI ผู้ช่วยออนไลน์ของคุณ ๆมาแล้วพร้อมช่วยเหลือลูกค้าทรูแก้ไขปัญหาเน็ตบ้านช้าและติดตามบริการได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองบนแอป true iService

แอป true iService app ที่ลูกค้าทรูทุกคนควรโหลดไว้ทั้งนี้เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องดูบิล จ่ายบิลแล้ว คุณยังสามารถแจ้งปัญหาการใช้งานเน็ตบ้านได้ด้วย หลังจากที่ดาวน์โหลดและเปิดใช้งาน true iService แล้วเข้าสู่ระบบด้วย true ID ของคุณ ต่อจากนั้นเลือกเมนูสอบถามทรูแล้วเลือกไอคอนแจ้งปัญหาการใช้งาน แจ้งปัญหาการใช้งานเน็ตบ้านช้าเลือกทรูออนไลน์แล้วแชทถามหรือกดเลือกปัญหาที่ต้องการแจ้งมะลิ AI พร้อมให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาเบื้องต้นแล้วประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาดูแลคุณ

ซึ่งเมื่อคุณแจ้งปัญหาการใช้งานแล้วยังสามารถติดตามบริการได้บน true iService โดยเลือกที่เมนูสอบถามทรูแล้วเลือกติดตามสถานะการบริการสั่งซื้อ ต่อไปเลือกงานซ่อมเน็ตบ้านคุณลูกค้าก็สามารถติดตามการนัดหมายช่าง ตรวจเช็คเวลาและสถานที่นัดได้เลย มะลิและผู้เชี่ยวชาญพร้อมดูแลคุณลูกค้าทรูไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาเน็ตบ้านที่อาจเกิดขึ้นให้คุณลูกค้าใช้เน็ตได้เร็ว แรงอย่างไม่มีสะดุด

สัมผัสชีวิตอัจฉริยะที่เหนือกว่ากับมะลิ AI ผู้ช่วยออนไลน์ที่คอยดูแลคุณตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ควรลืมโหลด true iService app ดีๆ ที่พร้อมให้คุณลูกค้าดาวน์โหลดแล้ววันนี้ แล้วพบกับมะลิในทุกๆ ตอน เพราะมะลิยังมีอีกหลายคลิปดีๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตคุณลูกค้าง่ายดายขึ้น



วิธีแก้ไขปัญหาสัญญาณ Wireless อ่อน
1. เปลี่ยนตำแหน่งที่วาง Wireless Router หรือ ย้ายตำแหน่งที่ใช้งานคอมพิวเตอร์
2. เปลี่ยนเสา Wireless ให้กับ Router
3. ดัดแปลงทำ ที่ช่วยกระจายสัญญาณ
4. เพิ่มอุปกรณ์ที่เป็น Wireless Repeater
5. เปลี่ยน Wireless Router ที่มีกำลังส่งสูงขึ้น

3 วิธีแก้ปัญหาสัญญาณ WiFi ให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งาน
1. วาง Router หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อและกระจายสัญญาณ WiFi ในบริเวณใช้งานบ่อยที่สุด
2. ปรับเสาสัญญาณให้ตั้งตรงและวางให้ห่างจากมุมอับบริเวณ บริเวณที่มีสิ่งกีดขวางหรือกำแพงหนา
3. หาพื้นที่ใช้งานมากกว่า 50 ตารางเมตรหรือเป็นบ้าน 2 ชั้น ควรติดอุปกรณ์เสริมเพื่อขยายสัญญาณ WiFi จาก router ให้ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น
พบปัญหาการใช้งาน คลิก แจ้งปัญหาเน็ตบ้านช้า

ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้งานบรอดแบนด์ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของบ้านยิ่งขึ้น สามารถเลือกบริการเพิ่มเติมได้ เพิ่มความบันเทิงให้ทุกห้องภายในบ้านยิ่งขึ้นไปอีก จากแพกเกจ ‘True Gigatex Smart Plus’ ที่มาพร้อมกับกล่องทรูไอดี ทีวี แล้ว ลูกค้ายังสามารถเพิ่มกล่องทรูไอดี ทีวี ได้อีก ด้วยค่าบริการเพียงแค่ 50 บาทต่อเดือนต่อจุด ติดตั้งอุปกรณ์เสริม True Gigatex MESH WiFi โดยไม่ต้องเดินสาย LAN ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Band Steering เพิ่มพื้นที่กระจายสัญญาณไวไฟได้แรงทั่วบ้าน ในราคาเพียงเดือนละ 100 บาทต่อจุด โดยเลือกสมัครเพิ่มเติมได้ทุกแพกเกจ ติดต่อ True Call Center สอบถามด้านการใช้งาน โทร. 1242 สมัครบริการใหม่ โทร. 027008000

407


ท่านไหนที่มีความสนอกสนใจอยากติดตั้งหญ้าเทียม จำเป็นต้องรู้ว่าวิธีการติดตั้งบนพื้นดิน กับพื้นปูน - พื้นกระเบื้องมีความแตกต่างกัน เพื่อให้ผลงานออกมาน่าพึงพอใจมากที่สุด สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเองพร้อมสร้างผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอนำเอาข้อมูลดี ๆ มาให้เรียนรู้อย่างละเอียด ต่อไปนี้จะเป็นพื้นแบบไหนก็พร้อมปูหญ้าแบบไม่ต้องหวั่นใจแล้ว

การติดตั้งหญ้าเทียมพื้นดิน VS พื้นปูน / กระเบื้อง
1. การติดตั้งบนพื้นดิน
สำหรับการติดตั้งหญ้าประเภทนี้บนพื้นดินนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการลอกหญ้าเดิมออกจากพื้นให้หมดก่อน พร้อมกับปรับระดับและทำความสะอาดให้เรียบร้อย กรณีที่เป็นหญ้าลักษณะชิ้นสำเร็จรูปก็จะนำไปวางบนดินได้เลย สามารถปรับระดับภายในเวลารวดเร็ว เป็นการสร้างความแข็งแรง และให้แผ่นหญ้ายึดเกาะกับพื้น จากนั้นจึงตอกแผ่นหญ้ากับตะปูที่ขอบของหญ้าด้วย หรือใครอยากใช้กาวยางมาทาที่มุม และบริเวณขอบแทนก็ได้เช่นกัน ไม่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปมาระหว่างใช้งาน

2. การติดตั้งบนพื้นปูน หรือพื้นกระเบื้อง
พื้นทั้ง 2 ลักษณะนี้ไม่ว่าจะเป็นพื้นปูนและกระเบื้องนั้นจะมีลักษณะการติดตั้งที่คล้ายกัน ให้คุณ ๆเตรียมพื้นด้วยการปรับพื้นที่ให้เรียบ พร้อมทำความสะอาดจนพื้นแห้ง อย่าให้มีฝุ่น เศษขยะ หรือน้ำขัง จากนั้นก็นำหญ้าเทียมปูพื้นมาทากาวยางที่ด้านหลัง เน้นตรงขอบโดยรอบ และมุมทั้ง 4 จากนั้นจึงนำมาวางต่อกันให้แนบชิดสนิท อย่าให้หญ้าเกย หรือทับกันเด็ดขาด แผ่นหญ้าที่วางควรหันไปทิศทางเดียวกัน หลังจากนั้นก็รอกาวแห้งที่ 20 นาที เตรียมพร้อมใช้งานได้เลย

ทั้งนี้ทั้งนั้น อยากให้ทุกคนศึกษาหลักการเลือกซื้อเลือกหาเพิ่มเติมด้วย โดยเริ่มต้นต้องดูก่อนว่าพื้นที่ที่จะติดตั้งนั้นเป็นยังไง กรณีเลือกปูบนพื้นก็ควรใช้ลักษณะคล้ายพรม เพื่อการเหยียบที่นุ่ม ไม่เจ็บ แต่ถ้าเป็นการติดตั้งตรงกำแพงแนะนำเป็นหญ้าแผ่นที่มีโครงตะแกรงพลาสติกเพื่อความสวยงามดีกว่า

ทั้งนี้ ต้องดูสีของเส้นหญ้าซึ่งมีทั้งสีธรรมชาติ แบบมีหญ้าแห้งแทรก หรือกรณีนำมาใช้เป็นพื้นวางรองสินค้าควรเน้นสีเข้มเพื่อให้สินค้าโดดเด่น รวมไปถึงขนาดที่ต้องใช้ ควรวัดพื้นที่ก่อนเสมอจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากหญ้าเทียม ราคาแตกต่างกันออกไป

ด้วยความที่หญ้าเทียมนั้นมีคุณสมบัติที่น่าสนใจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามเสมือนได้หญ้าจริงแต่ไม่ต้องมาดูแลรักษาอะไรมากมาย ไม่ต้องรดน้ำ หรือคอยตัดหญ้าที่โตขึ้นมา ทนทานต่อสภาพอากาศทั้งแสงแดด และน้ำฝน รวมถึงความเปียกชื้น และสามารถใช้งานได้ทั้งภายใน - ภายนอกสถานที่ ที่สำคัญคือการติดตั้งที่ทำเองได้ง่าย ๆ รวดเร็ว หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทุก ๆ คนที่ต้องการติดตั้งทำได้ง่ายมากขึ้น

  ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0401  

408


การค้าขายผ่านออนไลน์ หรือธุรกิจใดก็ตามที่ต้องมีการขนส่ง แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญที่คนค้าขายต้องใส่ใจก็คือเรื่องของกล่องกระดาษที่นำมาห่อหุ้มสินค้า หรือสิ่งของส่งไปให้ถึงมือลูกค้าอย่างราบรื่น แล้วจะเลือกกล่องแพ็คของส่งอย่างไรให้สินค้าปลอดภัย? คำถามที่ต้องการคำตอบจากมืออาชีพเลยก็ว่าได้ จึงอยากนำเสนอข้อมูลดี ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์กัน

เคล็ดลับการเลือกกล่องกระดาษให้ใส่สินค้าได้ตอบโจทย์
1. เลือกให้เหมาะกับลักษณะสินค้าที่หลากหลาย
สิ่งแรกที่ใช้พิจารณาคือการใส่สินค้าลงกล่องได้ ซึ่งสินค้าหลายแบบมีลักษณะ รูปร่างที่แตกต่างกันออกไป หากต้องใส่สินค้าที่มีน้ำหนัก มีความกว้าง ยาว หรือหลาย ๆ ชิ้นการเลือกแบบกล่องหนา หรือลูกฟูกก็จะช่วยลดความเสี่ยงสินค้าเสียหายระหว่างการส่งได้เป็นอย่างดี หรือการใช้กล่องขนาดใหญ่เลยทีเดียวเพื่อบรรจุสินค้าที่มีหลายชิ้นก็จะช่วยประหยัดการใช้งานกล่อง และค่าส่งได้ด้วย เหตุเพราะการคิดค่าส่งนั้นจะพิจารณาจากน้ำหนัก หรือคำนวณจากขนาดของกล่อง

2. ขนาดกล่องที่ต้องใช้งานประจำ
แนะนำว่าให้ท่านเริ่มต้นจากการวัดขนาดสินค้าที่มีก่อน อาจใช้ไม้บรรทัด หรือตลับเมตรก็ได้ เอาทั้งความกว้าง ความยาว และความสูง เพื่อพิจารณาว่าเหมาะกับการใช้กล่องไปรษณีย์ขนาดแบบไหน ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีหลากหลายขนาดให้เลือก หากซื้อกล่องเล็กเกินไปก็ใส่สินค้าไม่ได้ หรือกล่องใหญ่เกินไปก็จะสิ้นเปลือง เพราะว่าตามที่ระบุไว้ในข้อแรกคือขนาดกล่องจะสอดคล้องกับราคาเสมอ ซึ่งขนาดที่เหมาะสมกับสินค้ายังช่วยให้เซฟค่าส่งได้ดีอีกด้วย

3. วัสดุที่ใช้ในการผลิตกล่อง
อยากบอกว่ากล่องไปรษณีย์ก็มีหลากหลายวัสดุที่นำมาผลิตด้วยเช่นกัน อย่างกระดาษที่ใช้มีทั้งความหนา หรือบางที่แตกต่าง ซึ่งการเลือกวัสดุคุณภาพดีมาใช้งาน สินค้าของคุณ ๆก็มีโอกาสที่จะปลอดภัยถึงมือลูกค้าราบรื่นสูง ด้วยไม่รู้ว่าระหว่างทางพนักงานขนส่งจะจัดการอย่างไร อาจมีการโยน กระแทก หรือมีวางทับซ้อนต่อกันได้ กินความสภาพอากาศบางครั้งแสงแดดส่อง ฝนตกฟ้าร้องส่งผลต่อกล่องได้โดยตรง แน่นอนว่ากล่องที่คุณภาพดีย่อมอุ่นใจ ด้วยความแข็งแรงทนทานที่มอบให้ จะอย่างไรก็ตามการเลือกขนาดกล่องหนาก็อาจมีค่าขนส่งที่เพิ่มเติม ควรคำนวณค่าส่งให้ดีก่อนแจ้งลูกค้าป้องกันการขาดทุน

ได้แนวทางการเลือกกล่องกระดาษแบบนี้แล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการซื้อใช้งานของคุณจะดีเยี่ยม ได้กล่องมีคุณภาพ ตามขนาดที่ต้องการ พร้อมส่งสินค้าโดยที่ไม่มีปัญหาชำรุดเสียหาย อย่างไรก็ตาม การใช้อุปกรณ์แพ็คกิ้งอื่น ๆ ช่วยด้วย ได้แก่ พลาสติกกันกระแทก บับเบิ้ลกันกระแทก หรือบับเบิ้ลหนารองกล่อง ฯลฯ ก็มีโอกาสที่สินค้าจะปลอดภัยสูงมากขึ้น

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP080401

409


ในคราวนี้จะขออาสาพาทุกคนมา
แนะนำกระดาษทิชชู่แบรนด์ต่าง ๆ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะด้วยปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีผู้ผลิตอยู่หลายเจ้ามาก และยังมีการแยกประเภทอีกเพียบ ทั้งกระดาษเช็ดมือ เช็ดหน้า ทิชชู่เปียก ฯลฯ ว่าแล้วก็ติดตามดูกันดีกว่า เพราะการเลือกยี่ห้อมีคุณภาพดีจะช่วยให้ทำความสะอาดอย่างสบายใจ

5 กระดาษทิชชู่ คุณภาพหนานุ่ม ราคาประหยัด
1. SCOTT PICK A SIZE
เป็นกระดาษอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้ตอบโจทย์ ไม่ว่าจะนำไปเช็ดมือ เช็ดโต๊ะ ใช้งานในครัว หรือสิ่งสกปรกต่าง ๆ ภาชนะ สิ่งของที่เลอะเทอะ สามารถเลือกขนาดแผ่นได้ ปลอดภัยต่อการใช้สัมผัสอาหาร และยังมีทีเด็ดในการซึมซับเหนือกว่าถึง 380 Kcal เนื่องมาจากเป็นแบบเพาเวอร์ แอบซอร์บนั่นเอง

2. CELLOX SOFT PACK
เป็นยี่ห้อที่หลายคนการันตีถึงความนุ่มสบายผิวหน้า ด้วยคุณภาพของวัสดุที่มีเยื่อกระดาษดี สกัดจาก Shea Butter ประกอบกับเทคโนโลยีที่ลดการสะสมของแบคทีเรียสูงถึง 99.9% อย่าง GermClearPlus ได้รับการอบเพื่อฆ่าเชื้อบนความร้อนสูง 250 องศาเซลเซียส การใช้งานจึงมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย ใช้แล้วไม่ผิดหวังจริง ๆ

3. KLEENEX FLORAL
เป็นอีกแบรนด์ของทิชชู่เช็ดหน้าที่คุณภาพหนานุ่ม และปลอดภัยจริง ๆ โดดเด่นด้วยความเป็นธรรมชาติ สัมผัสผิวหน้าแล้วรู้สึกเบาสบาย มีแตงกวาเป็นสารสกัดที่ยิ่งทำให้เกิดความเนียนนุ่มมากขึ้น เยื่อกระดาษเป็นแบบธรรมชาติบริสุทธิ์ 100% สาว ๆ ที่รักสวยรักงามทั้งหลายควรพกติดตัวไว้เลย ดีต่อหน้าและดีต่อใจ

4. SCOTT SKIN CARE
เป็นกระดาษชำระสก็อตที่มีเทคโนโลยีคลีนวีฟ เนื้อกระดาษคลื่นลอนช่วยดูดซับสิ่งสกปรกต่าง ๆ จากผิวออกไปได้หมดจด เป็นแบบบริสุทธิ์ที่ได้จากธรรมชาติ 100% เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะว่าย่อยสลายได้ง่าย รักษาสมดุล และปรับสภาพผิวด้วย pH Balance เพื่อผิวที่อ่อนนุ่ม ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง

5. WYPALL
ตบท้ายกันที่กระดาษอเนกประสงค์แบรนด์ WYPALL ที่จะอยู่ในรูปแบบ 20 แผ่นแบบบาง เหมาะสมกับการใช้เช็ดทำความสะอาด หรือจัดการกับสิ่งสกปรกแบบไม่ทิ้งคราบหลงเหลือ ที่สำคัญคือเอาไปใช้ซ้ำได้ด้วยเพียงซักด้วยน้ำสบู่แล้วขยี้ จากนั้นบิดเบา ๆ ก่อนนำไปตากให้แห้ง

อย่างที่บอกกระดาษทิชชู่มีให้ใช้งานปัจจุบันมีเยอะมาก ซึ่งนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่วางขายในท้องตลาด จริง ๆ ยังมีอีกหลายยี่ห้อเลยทีเดียว ทว่าก่อนซื้อจึงอยากให้พิจารณาจุดประสงค์ของตนเองเสมอ เพื่อให้การเลือกตอบโจทย์มากที่สุด ทั้งนี้ อย่ามองที่ราคาให้มองถึงคุณภาพโดยเฉพาะเยื่อกระดาษ หาแบรนด์ที่คุ้มค่าที่สุด ใช้เช็ดได้อย่างสบายใจ ปราศจากสิ่งสกปรกและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

410


หากท่านเป็นอีกคนที่มีรองเท้าเยอะมาก แต่ไม่รู้จะจัดเก็บให้เป็นระเบียบยังไง ก็อยากเสนอแนะให้เลือกซื้อเลือกหาไอเทมสุดฮิตอย่าง “กล่องรองเท้า” ยืนยันว่าช่วยจัดการความรกได้เป็นอย่างดี และถ้าอยากหากล่องที่มีคุณภาพจัดเต็ม แข็งแรง ทนทาน บทความนี้ไม่พลาดที่จะรวบรวมมาบอกต่อ ใครอยากทราบแล้วก็ไปติดตามกันเลยดีกว่า

5 กล่องรองเท้า คุณภาพจัดเต็ม ช่วยให้การเก็บเป็นระเบียบ
1. STACKO HP5-0040
เริ่มกันด้วยรุ่น STACKO HP5-0040 ที่มีไว้จัดเก็บรองเท้าได้อย่างดี ผลิตจากวัสดุพลาสติกที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน มีช่องระบายอากาศที่ช่วยลดกลิ่นได้ การออกแบบสวยงามทันสมัย สามารถวางซ้อนกันได้อย่างเป็นระเบียบมากขึ้น ท่านไหนที่พื้นที่ใช้สอยน้อยคือตอบโจทย์มาก ราคากล่องละไม่เกิน 200 บาท

2. BOX BOX 995R
ต่อมาเป็นกล่องรองเท้าใสมีหมุดเงิน รุ่น BOX BOX 995R ขนาด 25 x 33.3 x 16.5 ซม. สามารถใส่รองเท้าได้แบบสบาย ๆ น้ำหนักกล่องเบามาก เคลื่อนย้ายได้สะดวกขั้นสุด ท่านใดอยากได้หลายกล่องมาวางซ้อนก็ทำได้ไม่แตกหัก แข็งแรง ทนทาน ช่วยยืดอายุการใช้งานได้อย่างดี สามารถการป้องกันความชื้น ฝุ่นจากภายนอกด้วย ราคากล่องไม่ถึง 400 บาท

3.  STACKO MAGNETIC LOCK
อีกรุ่นที่ครองใจคนชอบเก็บรองเท้ามาอย่างยาวนาน ช่วยให้รองเท้าเป็นระเบียบมากขึ้น มีความแข็งแรง ทนทานด้วยวัสดุพลาสติกหนาคุณภาพสูง ที่สำคัญเป็นสีแบบใส เป็นเหตุให้มองเห็นรองเท้าที่เก็บไว้ภายในกล่องได้ดีมาก เลือกรองเท้าคู่โปรดถูกใจไม่ต้องเสียเวลาเปิดหลายกล่อง ขนาด 37 x 28 x 18.3 เซนติเมตร ราคากล่องไม่เกิน 200 บาท

4. กล่องแบบฝาหน้า STACKO
กล่องใส่รองเท้าแบบฝาหน้ารุ่น STACKO มีทั้งสีเทา สีขาว สีน้ำตาล และสีใส ทำจากวัสดุพลาสติกคุณภาพดีมาก ไม่แตกง่าย มีความแข็งแรงทนทาน ตัวฝาช่วยปิดป้องกันสิ่งสกปรก หรือฝุ่นลอยผ่าน และฝาหน้ามีความใสจึงยังคงมองเห็นรองเท้าภายในได้ชัดเจน สะดวกต่อการหยิบใช้งาน โดยมีขนาดที่ 28 x 35 x 17 เซนติเมตร ราคาไม่เกิน 200 บาท

5. กล่องลิ้นชัก STACKO
ตบท้ายกันที่รุ่นแบบมีลิ้นชัก สามารถวางซ้อนกันได้สูงสุด 6 ชั้น ช่วยเก็บรองเท้าให้เป็นระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ พลาสติกมีความแข็งแรงทนทานสูง ไม่แตกหัก หรือเปราะบางง่าย โดยที่ฝาหน้าจะเป็นแบบลิ้นชักสีใส ง่ายต่อการมองเห็น หยิบจับได้รองเท้าคู่ที่ถูกใจ มีขนาดกล่องที่ 33.2 x 25.8 x 18.3 ซม. ราคาไม่เกิน 200 บาท

รู้จักกล่องรองเท้ากันไปหลากหลาย จะเห็นว่ามีการเลือกใช้วัสดุที่มั่นใจได้ถึงความทนทานสูง สามารถเรียงต่อกันได้ไม่แตกหัก และรูปแบบใสจะช่วยให้มองเห็นรองเท้าที่จัดเก็บเพิ่มความสะดวกสบายเมื่อต้องใช้งาน สิ่งสำคัญเลยคือราคาไม่แพง อยากมีพื้นที่เก็บรองเท้าเป็นระเบียบอย่ารอช้าซื้อใช้งานกันเลย

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP1205

411


โต๊ะที่เห็นกันอยู่นี้มีทั้งแบบที่พับไม่ได้ และพับได้ แน่นอนว่าถ้าจะต้องเลือกจริง ๆ ก็อยากแนะนำเป็นโต๊ะพับได้มากกว่า กระนั้นบางท่านที่คิดซื้อใช้งานอาจยังลังเลใจอยู่ก็เป็นได้ เพื่อให้การตัดสินใจง่ายมากขึ้น จึงอยากเล่าถึงประโยชน์ของการเลือกโต๊ะประเภทนี้ว่าดีกว่าอย่างไร ซึ่งบางเรื่องท่านอาจไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำแต่รับรองว่าทำได้จริง

4 ประโยชน์ของการเลือกใช้งานโต๊ะพับได้
1. นำออกไปใช้งานได้สะดวก
การเลือกใช้โต๊ะที่พับได้นั้น แน่นอนว่าสามารถพับแล้วเคลื่อนย้ายออกไปใช้ได้ตามสถานที่ต่าง ๆ จะกลางแจ้ง หรือที่ร่ม ภายใน-ภายนอกอาคารไม่มีปัญหา ยกง่าย น้ำหนักเบา ไม่ต้องใช้แรงคนมากมายก็จัดวางได้แล้ว เมื่อยกไปถึงที่ก็กางออกใช้งานทันที

2. ประหยัดพื้นที่จัดเก็บมากขึ้น
ด้วยรูปแบบที่สามารถพับโต๊ะเก็บได้เลย ส่วนที่เป็นขาโต๊ะก็จะแนบไปกับท็อปบน ทำให้อยู่ในลักษณะของแผ่นสี่เหลี่ยม หรือถ้าเป็นโต๊ะทรงกลมขาที่พับแล้วก็จะนำมาเป็นฐานวางได้ด้วย ไม่เกะกะพื้นที่ใช้สอย เมื่อเลิกใช้งานก็พับแล้วเคลื่อนย้ายเก็บได้หลายตัวในคราวเดียว นอกจากโต๊ะแล้วเก้าอี้พับที่อาจใช้งานคู่กันก็ช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บด้วย

3. ใช้งานได้หลากหลายประเภท
อย่างที่ได้บอกไปว่าโต๊ะแบบพับได้นั้นมีหลายรูปทรง การจะเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับงานประเภทต่าง ๆ จึงทำได้อย่างสบายใจ ดังเช่น งานแต่ง งานบวช หรืองานมงคลที่ต้องใช้ความสวยงาม มีสไตล์นิดก็อาจเลือกเป็นโต๊ะกลมได้ ด้วยเหตุว่างานเหล่านี้มีการทานอาหารร่วมกัน เวลาเอื้อมมือไปตักก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องเหลี่ยมโต๊ะ หรือถ้าเป็นงานสัมมนา ประชุม ก็แนะนำเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าไปเลยดีกว่า ทั้งนี้เพราะโต๊ะเดียวนั่งได้หลายคน เป็นต้น จะเรียกว่าเป็นโต๊ะพับอเนกประสงค์ก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว

4. การดูแลรักษาทำได้ง่าย
สุดท้ายนี้คือเรื่องของการดูแลรักษาที่ไม่อาจละเลยกันไปได้ เนื่องจากเมื่อใช้งานแล้วก็ต้องมีการทำความสะอาด ซึ่งการเลือกใช้โต๊ะแบบพับได้ การทำความสะอาดหรือดูแลรักษาค่อนข้างง่าย โครงสร้างไม่มีอะไรซับซ้อน ทั้งนี้ จำเป็นต้องดูวัสดุของโต๊ะด้วย บางลักษณะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดได้เลย แต่ถ้าเป็นวัสดุประเภทไม้ก็ต้องบิดให้แห้งหมาด ๆ ก่อน
การเลือกซื้อโต๊ะพับนั้นจำเป็นต้องพิจารณาถึงลักษณะการใช้งานเสมอ เพื่อให้เกิดประโยชน์หลากหลายตอบโจทย์ความคุ้มค่าได้มากที่สุด รวมทั้งเรื่องราคาก็ควรอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม พยายามศึกษาวิธีดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ดี ไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อใหม่ หรือต้องซ่อมอยู่บ่อยครั้ง

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

412


เรียกได้ว่าเป็นอีกอุปกรณ์ทำอาหารที่แทบทุกบ้านมีใช้งานอย่าง “หม้อหุงข้าวชนิดไฟฟ้า” เนื่องจากช่วยให้การหุงข้าวกลายเป็นเรื่องง่าย ประหยัดเงิน ทว่าก่อนที่จะเลือกซื้อมาใช้งานได้นั้น การศึกษาถึงคุณสมบัติต่าง ๆ อย่างเข้าใจนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยไปได้ ซึ่งบทความนี้ก็ได้รวบรวมมาให้ศึกษาอย่างละเอียดอีกเช่นเคย ทุกมื้อของคุณ ๆจะอร่อยขึ้นกว่าเดิม

รู้คุณสมบัติหม้อหุงข้าวแบบไฟฟ้า เลือกซื้อตรงการใช้งาน
1. เรื่องแบรนด์คือสิ่งแรกที่ต้องพิจารณา
ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายี่ห้อของหม้อนั้นมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ซึ่งการที่จะแน่ใจถึงประสิทธิภาพใช้งาน และความทนทานแนะนำให้เลือกยี่ห้อยอดนิยมที่มีการโฆษณามาอย่างยาวนาน หรือเปิดให้บริการมามากกว่า 10 ปี อาจศึกษาจากรีวิวมาก่อนก็ได้ เหตุเพราะบางยี่ห้อเสียง่ายมาก เอาไปซ่อมก็ไม่คุ้มด้วย

2. ระบบต่าง ๆ ของตัวอุปกรณ์
ต่อมาเป็นคุณสมบัติด้านระบบใช้งาน ซึ่งหม้อหุ้งข้าวไฟฟ้านี้จะต้องเป็นระบบที่สามารถควบคุมได้ เพื่อให้เม็ดข้าวสุกสม่ำเสมอ ไม่แฉะ หรือแข็งเกินไป นอกจากนี้บางรุ่นยังเป็นระบบอุ่นแบบอัตโนมัติได้ด้วย โดยข้าวในหม้อจะถูกอุ่นอยู่ตลอด ทั้งนี้อย่าลืมเรื่องค่าไฟ รวมไปถึงระบบป้องกันไอน้ำหยุดลงข้าว และอื่น ๆ ตามรูปแบบการใช้งานของแต่ละบุคคล

3. ขนาดของหม้อที่จะใช้งาน
โดยทั่วไปแล้วก่อนจะเลือกซื้อต้องถามตัวเองก่อนว่าที่บ้านนั้นมีสมาชิกกี่คน แต่ละคนทานข้าวกันมากน้อยเท่าใด ซึ่งจะสอดคล้องกับการเลือกตามขนาดที่มี เพราะว่าหม้อหุงนั้นมีหลายขนาด อย่างถ้าอยู่คนเดียว แนะนำหม้อหุงข้าวเล็กความจุ 0.3 L หรือ 0.3 ลิตร ขนาด 0.6 ลิตรก็พอแล้ว ซึ่งจะได้ปริมาณข้าว 2 – 3 จานต่อการหุง 1 ครั้ง

4. เคลือบ – ไม่เคลือบสารกันข้าวติดหม้อ
ต้องทราบด้วยว่าหม้อข้าวที่กำลังจะซื้อนั้นเป็นแบบเคลือบ หรือไม่เคลือบสารกันข้าวติดหม้อ เพราะถ้าเคลือบข้าวก็จะไม่ติดหม้อ ล้างออกง่ายแต่การตักข้าวก็ต้องใช้ทัพพีพลาสติก หรือไม้เท่านั้น ป้องกันการเกิดรอย หรือสารเคลือบร่อนออกง่าย ๆ กรณีที่ไม่เคลือบสารก็ใช้ได้กับทุกทัพพี หรือแม้แต่ช้อนก็ตักได้สบายใจ หากกลัวข้าวติดหม้อก็แช่น้ำไว้ก่อนล้าง

นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องดูเรื่องของการรับประกันหลังการขายด้วย เพราะแต่ละแบรนด์ก็จะกำหนดเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป บางยี่ห้อรับประกันนาน 5 ปี บางยี่ห้อแค่ 1 ปีก็มี แนะนำว่าให้เปรียบเทียบการรับประกันนี้ดู หาความคุ้มค่ามากที่สุด โดยการเลือกหม้อระบบธรรมดา หากเกิดปัญหาก็จะเลือกซ่อมได้ง่ายมากกว่าแบบที่มีความยุ่งยาก ช่วยให้การใช้งานคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0810

413


ในช่วงที่สภาพอากาศมีมลพิษหลากหลาย ทั้งฝุ่น PM 2.5 ควันบุหรี่ สารก่อภูมิแพ้ หรือแม้แต่โควิด – 19 ซึ่งใครต่อใครจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก หนึ่งในตัวช่วยชั้นดีที่พร้อมสร้างความแน่ใจทุกครั้งที่หายใจคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก “เครื่องฟอกอากาศพกพา” ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาจนสามารถเลือกใช้งานได้หลากรูปแบบ หลากหลายแบรนด์

4 เครื่องฟอกอากาศพกพา พาอากาศสะอาด ดีต่อสุขภาพ
1. SABAIDEE CARE
เป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก ๆ เหตุเพราะสามารถปล่อยปะจุลบได้ถึง 6,500,000 ประจุต่อ 1 วินาที สามารถคลอบคลุมพื้นที่ได้ 100 ลบ.ซม. แบบ 360 องศา รอบทิศทาง ใช้งานง่ายยาวนานถึง 8 – 12 ชั่วโมง เพียงชาร์จพลังงานแค่ 1 ครั้ง ไม่ต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์ ช่วยดูดซับบรรดาฝุ่น PM 2.5, ละอองเกสรดอกไม้, สารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และแบคทีเรีย ในราคาไม่ถึง 1,500 บาท ด้วยซ้ำ

2. JYE DOUGHNUT
ใครที่มีงบน้อยก็อย่าเพิ่งเสียใจไป ก็เพราะว่า JYE DOUGHNUT เครื่องฟอกอากาศแบบพกพานี้ราคาไม่ถึง 1,000 บาท สามารถพกพาไปไหนได้สบายด้วยขนาดเล็กกะทัดรัด ที่สำคัญคือปล่อยประจุลบ 5 ล้านประจุ / ลบ.ซม. เลยทีเดียว ช่วยให้อากาศสดชื่นมากขึ้นจากการดักจับฝุ่นไปแล้ว ชาร์จพลังงาน 3 ชม. สามารถใช้ได้ยาว ๆ 3 วัน

3. PURI AIR SMARTLINK
เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ตอบโจทย์อีกรุ่น เพราะตัวกรองเป็นถึง HEPA เกรด H14 ที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนได้ ช่วยลดอัตราสิ่งสกปรกในอากาศ และสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ถึง 99.995% มีนวัตกรรม UV – C แบบใหม่ที่ไม่ผลิตโอโซน มั่นใจใช้แล้วปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต สัตว์เลี้ยง ฯลฯ พร้อมฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อโรคต่าง ๆ ได้ ลดการกระจายเชื้อโรค ทั้งยังจัดอยู่ในเครื่องฟอกอากาศห้อยคอที่นำติดตัวไปไหนมาไหนได้ตลอด ราคาเพียงแค่ 4,000 บาทต้น ๆ

4. LG AP551AWFA.ABAE
จบท้ายกันที่เครื่องฟอกแบบหน้ากาก LG AP551AWFA.ABAE ที่ช่วยฟอกอากาศได้หมดจด มีแผ่นกรองอากาศอย่าง HEPA H13 Class ใช้ซิลิโคนทางการแพทย์เป็นวัสดุในการทำช่วยให้ปลอดภัยไร้กังวล มีพัดลม Dual Fans ที่ช่วยพัดให้การหายใจสะดวกมากขึ้น ระบายอากาศได้เหมาะสมตามการหายใจเข้า – ออก พร้อมเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ให้สดชื่นได้ตลอดวัน โดยแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นาน 8 ชม. เวลาชาร์จใช้เพียง 2 ชั่วโมง เท่านั้น ราคาไม่เกิน 5,000 บาท

จะเห็นได้เลยว่าเครื่องฟอกอากาศชนิดพกพานั้นมีทั้งแบบวางตั้ง ห้อยคอ หรือหน้ากากพกติดตัวไปได้ทุกที่ ทุกเวลา จำนวนชั่วโมงการใช้งานด้วยพลังงานแบตเตอรี่ก็ยาวนาน เรียกได้ว่าใช้ตลอดวันเมื่อออกไปทำงาน หรือช่วงเข้านอนได้เลยไม่มีปัญหา พร้อมรับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นได้เต็มปอด

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0203

414


การเลือกใช้งานเก้าอี้สนามกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องมาจากสามารถใช้งานหลากหลายรูปแบบทั้งนั่งเล่น จัดวางเพื่อความสวยงามในสวน หรือพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ อย่างไรก็ดีคุณ ๆจำเป็นต้องเลือกชนิดของเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสถานที่วางตั้งด้วย นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยยืดอายุการใช้งานได้เป็นอย่างดี ว่าแต่เก้าอี้ชนิดไหนควรวางตั้งใช้งานสถานที่ใด? นี่คงเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบโดยเร็ว

ประเภทของเก้าอี้สนามกับการใช้งานสถานที่ต่าง ๆ
1. เก้าอี้ไม้
เป็นหนึ่งในประเภทเก้าอี้ที่หลาย ๆ ท่านให้ความสำคัญไม่น้อย เนื่องจากสามารถหาซื้อได้สะดวก เนื้อไม้มีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับประเภท และอายุไม้ที่นำมาใช้ทำ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อที่มีความแข็งแรงทนทานต่อทุกสภาพอากาศได้ก็จะสามารถนำไปวางตั้งอยู่ในสวนเพิ่มความสวยงาม ขอให้มีหลังคา หรือร่มเงา หรือคุณจะนำไปบริเวณหน้าบ้านใต้ชายคาก็จัดไป

2. ม้านั่งในสนาม
ม้านั่งสนามนับว่าเป็นอีกประเภทที่นิยมโดยเฉพาะใครต้องการนั่งเล่น นั่งใช้งานในสนามหญ้าแบบชิลล์ ๆ เป็นทั้งตัวม้านั่งเดี่ยว หรือมีเป็นเซ็ต นอกจากนี้ยังสามารถเลือกวัสดุที่ใช้ทำได้ด้วย เนื่องจากมีทั้งไม้สัก ไม้พลาสวูด หวาย ฯลฯ การนำไปใช้จึงต้องดูตามประเภทวัสดุที่ใช้ทำ แต่ส่วนใหญ่เป็นเนื้อไม้ที่แข็งแรง สามารถทนทานต่อทุกสภาพอากาศ จึงนำไปวางที่สนามหญ้าหน้าบ้านได้เลย

3. เก้าอี้บาร์
ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเก้าอี้บาร์เป็นที่นิยมในบ้านโมเดิร์น หรือที่มีความคลาสสิก มีบาร์ให้ได้ใช้งาน โดยที่จะมีวัสดุทำจากเหล็ก หรือไม้พลาสวูดเป็นส่วนใหญ่ การนำไปใช้แนะนำให้ตั้งภายในบ้าน หรือหน้าบ้านมีชายคา หรือตามคาเฟ่ที่มีบาร์ นอกจากความสวยงามยังช่วยยืดอายุใช้งานได้ดีด้วย

4. เก้าอี้ทำจากหวาย
จัดว่าใช้งานได้ทุกสถานที่ ด้วยตัวเก้าอี้หวายมีทั้งหวายแท้ และหวายเทียม สานต่อกันเป็นเก้าอี้ลวดลายสวยงามเลือกได้ มีหลากหลายรูปทรง ทั้งเก้าอี้ธรรมดา หรือเก้าอี้ทรงกลมพิงหลัง เหมาะสมกับการใช้งานที่สวน หรือตกแต่งหน้าบ้าน ในบ้านได้หมดเลย เพียงแต่ต้องมีหลังคา หรือร่มเงาด้วย ยกง่ายสามารถย้ายที่ตั้งได้สบาย ๆ

5. เก้าอี้พลาสติก
ปิดท้ายด้วยเก้าอี้ที่เห็นกันมาเนิ่นนาน เลือกได้ทั้งพลาสติกบาง-หนา วางตั้งได้ทุกสถานที่ เคลื่อนย้ายสะดวก แต่ก็ไม่แนะนำให้วางกับบริเวณที่มีแสงแดด หรือฝนตกเป็นประจำ เหตุเพราะอาจจะทำให้ตัวเก้าอี้เสื่อมสภาพได้ง่าย ใช้แล้วเก็บเข้าที่ร่มมีหลังคาดีที่สุด

การใช้งานเก้าอี้สนามนั้นจำเป็นต้องดูที่วัสดุจัดทำด้วย เนื่องมาจากหากเป็นวัสดุที่แข็งแรง ทนทานต่อทุกสภาพอากาศก็ใช้ได้สบาย ๆ แต่หากไม่สามารถทนทุกสภาพอากาศได้แบบนี้คงต้องใช้แล้วเก็บเข้าที่ หรือเลือกวางในสถานที่ที่มีหลังคาปกคลุม ช่วยให้อายุการใช้งานให้ยาวนานมากขึ้น

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT060503

415


โรงเรือนเพาะปลูกมีส่วนช่วยให้การปลูกพืชพรรณนานาชนิดให้แข็งแรงเติบโตได้อย่างเต็มที่ ไม่เกิดความเสียหาย เพราะว่าเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม ยิ่งพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิแตกต่างกันมาก อากาศแปรปรวนง่าย แสงแดด ลม และฝนไม่สม่ำเสมอต้องใส่ใจเป็นพิเศษ การมีโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสม เป็นสัดส่วนที่สุด แต่จะจัดการอย่างไรบ้าง เชื่ออย่างยิ่งว่ามีคนจำนวนไม่น้อยต้องการคำตอบ

การจัดสรรพื้นที่ปลูกพืชพรรณนานาชนิดในโรงเรือนเพาะปลูก
ปกติแล้วการจัดสรรพื้นในโรงเรือนไว้เพาะปลูกนั้นมีด้วยกัน 3 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนรายละเอียดน่าสนใจ พร้อมนำไปปรับใช้กับโรงเรือนของตนเอง ดังต่อไปนี้
1. ส่วนพื้นที่ไว้ทำงาน
เป็นส่วนที่สามารถเข้าไปนั่งทำงานเพื่อตรวจสอบพืชพรรณพร้อมจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นเก็บไว้ได้เลย หรือใครจะมาปลูกต้นกล้าก็ใช้งานบริเวณนี้ แนะนำว่าให้มีโต๊ะเอาไว้ทำงานมาตั้งไว้ อาจเป็นโต๊ะเดียวกับที่วางต้ากล้าต่าง ๆ เลยก็ได้ แต่ต้องแบ่งพื้นที่ให้รู้ว่าเป็นพื้นที่เฉพาะทำงานเท่านั้น
ถามว่าสิ่งที่โต๊ะทำงานควรมีคืออะไรบ้าง? หลัก ๆ ก็จะเป็นถาดผสม หรืออ่างผสมดินปลูก ด้านข้างมีพื้นที่ให้เอาต้นกล้าใหม่มาปลูก หรือย้ายไปปลูกกับกระถางใหญ่ขึ้นได้ด้วย ส่วนถ้าท่านใดต้องการจดบันทึกแนะนำให้มีสมุดจดไว้ข้าง ๆ

2. ส่วนพื้นที่การปลูก
เมื่อโรงเรือนปลูกต้นไม้มีพื้นที่ทำงานของตนเองแล้ว ก็ต้องมีบริเวณไว้วางตั้งพืชพรรณที่ปลูกด้วย โดยพื้นที่ดังกล่าวควรมีแสงแดดส่องผ่านไปได้ จะวางบนชั้น แขวนราว วางกระถางบนโต๊ะ หรือปลูกลงแปลงดินก็ได้เลย ข้อสำคัญคือเรื่องของขนาดพื้นที่ต้องเหมาะสม ผู้ปลูกสามารถเอื้อมมือไปได้ทุกจุด
กรณีที่เป็นโต๊ะวางแนะนำว่าให้ใช้โต๊ะโปร่ง โล่ง ระบายน้ำได้ดี ใต้โต๊ะจะวางถาดเพาะเมล็ด หรือต้นกล้าขั้นอนุบาลได้เลย หรือถ้าโรงเรือนใครพื้นที่กว้างมากพอให้แยกเป็นส่วนอนุบาลต้นกล้า ส่วนเพาะต้นกล้า ส่วนปลูกพืช ฯลฯ แบบแยกเป็นระเบียบไปเลย ควบคุมการระบาดของโรค ปลูกและดูแลง่ายมากขึ้น

3. ส่วนพื้นที่เก็บอุปกรณ์
จะเป็นโรงเรือนปลูกผัก พืช หรือผลไม้ใด ๆ ก็ตามเรื่องพื้นที่จัดเก็บอุปกรณ์ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญ พื้นที่ควรสะอาด แห้ง จะปูพื้นแข็งป้องกันความชื้นไว้เลยก็ได้ มีชั้นสำหรับเก็บปุ๋ย สารเคมีแยกจากกัน และจะต้องอยู่สูงพ้นมือเด็ก หรือสัตว์เลี้ยงด้วย อาจใส่ตู้ปิดมิดชิดไม่ถูกแสงแดดก็ได้ หรือจะทำที่แขวนจัดเก็บอุปกรณ์เพาะชำด้วยก็ดี เอาที่สามารถหยิบมาใช้งานง่าย ๆ

สมัยนี้รูปแบบโรงเรือนเพาะปลูกมีให้เลือกหลากหลายมาก ไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งนี้เพราะมีสำเร็จรูปวางขาย ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจซื้อได้ ก็ควรต้องคำนวณสัดส่วนพื้นที่ ตำแหน่ง ทิศทางแสงแดด เพื่อให้การจัดสรรพื้นที่เหมาะสม พืชพรรณเจริญเติบโตงอกงามแข็งแรงสมใจ

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0209

416


ในชีวิตประจำวันของใครหลายคนมีกาแฟเป็นตัวช่วยยามเช้าที่พร้อมให้กระตุ้นร่างกายเพื่อให้การทำงานตลอดวันราบรื่นได้มากขึ้น ซึ่งอีกหนึ่งตัวช่วยที่พร้อมเปิดโลกกาแฟที่ชงได้ง่าย ๆ สะดวกสบายไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือ “แคปซูลกาแฟ” เสมือนได้ดื่มกาแฟร้านโปรดภายในเวลาไม่กี่นาที โดยไม่จำเป็นต้องลงคอร์สเรียนชงกาแฟที่ไหนเลยด้วย

ชอบดื่มกาแฟมาก อย่ามองข้าม “แคปซูลกาแฟ”
กาแฟที่อยู่ในแคปซูลนี้ มีหลักการง่าย ๆ คือการนำเมล็ดกาแฟไปบดละเอียดแล้วบรรจุใส่ไว้ในแคปซูลซึ่งมักทำจากวัสดุอย่างอลูมิเนียม ลักษณะการชงนั้นจะคล้ายกับการชงตามปกติทั่วไป คือเครื่องชงจะมีไอน้ำที่เป็นแรงดันอัดผ่านผงกาแฟที่ออกจากแคปซูล แต่กาแฟที่อยู่ในแคปซูลนั้นมีความละเอียดมากกว่า ได้รับกลิ่นหอมอโรม่าของตัวกาแฟได้ดี ทุก ๆ ผู้ผลิตมีการเลือกสรรเมล็ดกาแฟคั่วอย่างพิถีพิถัน การปิดเก็บเรียบร้อย ไม่มีรอยรั่ว หรือฉีกขาดใด ๆ ให้อากาศเข้าไปสัมผัส นอกจากนี้ กาแฟแคปซูลยังสามารถเก็บรักษาได้นานถึง 1 ปีเลยทีเดียว มีให้เลือกหลายรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น
- Latte : นับว่าเป็นสูตรดื่มง่ายมากที่สุด สัดส่วนกาแฟน้อย เน้นไปทางนม รสชาติดูนุ่มนวล ใครที่ไม่ชอบกาแฟแรงแนะนำเลย
- Mocha : เป็นความพิเศษที่จะถูกผสมระหว่างช็อกโกแลตเข้มข้นและกาแฟ มีความหวานมันแต่ก็ปนขมอยู่นิดหน่อย
- Espresso : จัดอยู่ในสูตรที่เป็นกาแฟแบบเข้มข้น มีการเลือกใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วบดในระดับกลางขึ้นไป กลิ่นและรสชาติจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่เลือกถือเป็นจุดเด่นน่าสนใจ
- Americano : รสชาติจะอ่อนลงมาจาก Espresso แต่ก็ยังได้ความรู้สึกของรสชาติกาแฟแบบแท้ ๆ อยู่ โดยกาแฟรูปแบบแคปซูลนี้จะใช้การผสมสายพันธุ์เพื่อปรับการเจือจางลง แทนการเติมน้ำร้อน
- Cappuccino : เป็นสูตรที่จะผสมผสานระหว่างนม และกาแฟคั่วบด มีฟองนมเนียมนุ่มละเอียดอยู่ด้านบนกาแฟ

ซึ่งถ้าจะให้แนะนำยี่ห้อยอดฮิตกาแฟแคปซูล nespresso ก็จัดว่ารสชาติอร่อยไม่แพ้ใคร ทั้งนี้ การทำกาแฟรูปแบบแคปซูลนี้ก็ง่าย ๆ ด้วย แม้ว่าไม่เคยชงกาแฟมาก่อนก็ทำได้แค่มีเครื่องชง แล้วนำแคปซูลใส่ลงในเครื่อง ไม่กี่อึดใจก็ได้กาแฟสดที่พร้อมดื่มยามเช้ากันแล้ว โดยจะใช้หลักการทำงานเดียวกับเครื่องเอสเปรสโซนั่นเอง เพียงเมล็ดกาแฟอยู่ในรูปแบบแคปซูลเท่านั้น

ปัจจุบันหลายแบรนด์ผลิตกาแฟประเภทนี้ให้ลูกค้าเลือกมากมาย รสชาติแตกต่างออกไป สิ่งที่อยากแนะนำกับการเลือกซื้อเลือกหาคือรสชาติที่ชื่นชอบ พร้อมยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ อย่างที่แนะนำไป nespresso ก็จัดว่าดีมาก ๆ ชงง่ายไม่ต้องพึ่งใคร เติมพลังให้ทุกเช้าเพื่อการทำงานที่ราบรื่น แต่ถ้าซื้อมานานแล้วอย่าลืมดูวัน/เดือน/ปีหมดอายุกันด้วย

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP080202

417


หากท่านเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจตู้เย็น Mitsubishi และกำลังมองหาอยู่ แต่ไม่ทราบจะเลือกรุ่นไหนดี รุ่นไหนโดน ไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะตู้เย็นกำลังจะมีเจ้าของเป็นคุณ ด้วยการรวบรวมข้อมูลมาให้พิจารณาตัดสินใจเลือกกันถึง 5 รุ่นเลย จะประตูเดียว หรือสองประตูรุ่นไหนเป็นอย่างไร อยากทราบแล้วก็อย่ารอช้ากันอยู่ จัดไปทันที

แนะนำตู้เย็น Mitsubishi เพื่อการเลือกใช้งานอย่างตอบโจทย์
1. MITSUBISHI MR-18SA/SL 6.1 คิว
เริ่มต้นที่ตู้เย็นแบบ 1 ประตูก่อนเลย โดยจะมีความจุภายใน 5 Jumbo มาพร้อมชั้นวางที่น่าสนใจในรูปแบบ Crystal Shelf สามารถทำละลายน้ำแข็งได้แบบอัตโนมัติ เพิ่มความสะดวกสบายไปอีกขั้น หรืออยากกดได้รวดเร็วก็ปุ่ม Thermistor มีแผ่นแร่ธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มสภาพอากาศภายในให้สดชื่น ราคาไม่เกิน 6,000 บาท เทานั้น

2. MITSUBISHI MR-18SJA/DSL 6.1 คิว
มาต่อกับ MITSUBISHI MR-18SJA/DSL 6.1 คิว ราคาไม่เกิน 7,000 บาท มีแผ่นแร่ธรรมชาติที่ปล่อยประจุลบออกมาเพื่อเพิ่มสภาพอากาศภายในให้สดชื่น สามารถละลายน้ำแข็งแบบ J – Smart DEFROST ที่ปุ่มกดจะเป็นแบบ Thermistor ความกว้างภายในจุใน 5 Jumbo มีชั้นวางเป็นกระจกนิรภัยที่พร้อมรองรับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม

3. MITSUBISHI MR-F56ES/ST 17.8 คิว
เผื่อใครมองหาตู้เย็น mitsubishi 2 ประตู แนะนำรุ่นนี้เลย มีไมโครชิพแบบอัจฉริยะ NEURO FUZZY SYSTEM ที่ช่วยควบคุมความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีระบบสั่งการตรวจจับอุณหภูมิให้จุดต่าง ๆ ควบคุมการทำงานด้วยชิพอัจฉริยะภายในตู้เย็นได้อย่าง NEURO INVERTER การทำงานเงียบมาก ราบรื่น ประหยัดพลังงานสูง ช่องผนังแช่อาหารเป็นแบบ ANTI-BACTERIA FOOD LINER ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ราคาไม่เกิน 30,000 บาทด้วยซ้ำ

4.  MITSUBISHI MR-FC38ES/BR 12.7 คิว
แนะนำกันต่อกับตู้เย็น 2 ประตู Mitsubishi ที่มีระบบการทำงานเป็นชิพอัจฉริยะ ตรวจจับอุณหภูมิทุกจุดอย่าง NEURO INVERTER การทำงานเงียบมากเพราะเป็นแบบ INVERTER COMPRESSOR ช่วยประหยัดพลังงานได้ดี มีการควบคุมการทำงานของตู้เย็นด้วย NEURO FUZZY SYSTEM ที่ช่องแช่ผักมีระบบควบคุมความชื้น HUMIDITY CONTROL ทำให้มีผัก ผลไม้ที่สดใหม่ใช้งานเสมอ โดยราคาไม่ถึง 15,000 บาท

5. MULTI DOOR MITSUBISHI MR-LA70ES/GBK 22.4 คิว
ปิดท้ายกันที่ตู้เย็นที่ถือว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก เนื่องจากมีสารฉนวนโฟมที่มองข้ามสารฟรีออน หรือไซโคลเพนเทนไปได้เลย ไม่ทำให้เกิดชั้นโอโซนและภาวะโลกร้อน มีชิพไมโครอัจฉริยะที่ควบคุมตู้เย็นให้มีการทำงานตอบโจทย์จากการเรียนรู้ระหว่างใช้ แล้วนำข้อมูลไปประมวลผล มีระบบ EASY CLEAN AUTO ICE MAKER ทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ใช้สัมผัสควบคุมการทำงานไปอีก ทั้งหมดนี้ราคาไม่ถึง 50,000 บาท

ตู้เย็นยี่ห้อนี้จริงแล้วยังมีให้เลือกอีกหลายรุ่น หลายขนาด โดยที่ราคาก็แตกต่างกันออกไป ควรพิจารณางบของตนเองให้ดี ซึ่งหลังจากนี้คงจะช่วยให้การเลือกซื้อง่ายมากขึ้น และเมื่อได้มาใช้งานแล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาความสะอาด หมั่นจัดเรียงของให้เป็นระเบียบด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP09?b=mitsubishi

418


กลายเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนสงสัยไม่น้อยว่าควรเลือกใช้งานกระทะปิ้งย่างแบบไฟฟ้าดีไหม หรือจะอยู่กับเตาถ่านเหมือนเดิมกันแน่ การตามหาข้อดีจึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อให้คุณได้รู้ถึงความน่าสนใจมากที่สุด ก็มีรายละเอียดที่เป็นประโยชน์มาเล่าสู่กันฟังอย่างละเอียด บอกเลยว่าหลังจากศึกษาแล้วคุณจะสามารถตัดสินใจเลือกใช้งานได้อย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

เปิดข้อดีของการเลือกใช้งานกระทะปิ้งย่างแบบไฟฟ้า
1. การใช้งานไม่ยุ่งยาก
ด้วยความที่มีการใช้ระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่ออยากเริ่มต้นใช้งานก็แค่เสียบปลั๊ก พร้อมเปิดเตาเท่านี้ก็มีความร้อนออกมาแล้ว จะเลือกทำอาหารเวลาไหน ที่ใดก็ได้เลยไม่มีปัญหา ยิ่งบางรุ่นเป็นแบบไร้ควันด้วยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่น หรือควันที่จะพุ่งออกมาฟุ้งทั่วอากาศแสบตา แสบจมูกสร้างความรำคาญใจ หรือมีความเสี่ยงก่อมะเร็งไปอีก

2. ไม่ต้องหาพื้นที่กว้างก็ใช้งานได้
เพราะเตาปิ้งย่างไฟฟ้าอย่างนั้นแค่หาพื้นที่วางแล้วเสียบใช้งานให้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องยกเตาออกไปที่โล่ง กลางแจ้งเหมือนเตาถ่านใด ๆ จนสร้างควัน หรือกลิ่นที่คละคลุ้ง จึงเพิ่มความสะดวกมากขึ้น ไม่เปลืองเวลาที่ต้องมาก่อเตายุ่งยาก

3. สามารถเพิ่มระดับไฟได้ สุกทั่วถึง
แน่นอนว่าการใช้ระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยจะได้ความร้อนในระดับทั่วถึงมาก และแทบทุกประเภทเตาสามารถเพิ่มระดับไฟได้ตามต้องการ จึงมีส่วนช่วยให้การย่างเนื้อสัตว์ต่าง ๆ สุกทั่วถึง เพียงแค่วางไว้ก็รอทานได้อย่างเอร็ดอร่อย

4. ช่วยประหยัดค่าครองชีพ
เมื่อมีเตาหมูกระทะไฟฟ้ามาย่างเนื้อสัตว์ หรือผักต่าง ๆ แล้ว ก็ช่วยประหยัดในเรื่องค่าครองชีพ สามารถหาซื้อวัตถุดิบมารับประทานร่วมกันได้ บางครอบครัวจะทานกันทีก็เสียค่าหัวบุฟเฟ่ต์ที่ราคาสูง อย่างน้อย 2 คนก็ไม่ต่ำกว่าคนละ 300 - 500 บาท นำเงินดังกล่าวมาซื้อเนื้อสัตว์ หรือผักเป็นกิโลกรัมได้เยอะกว่าหลายเท่า ของเหลือก็เก็บไว้ทำกับข้าวอื่นต่อ แถมไม่ต้องจองคิว ไม่ต้องไปเดินเบียด นั่งเบียดกินกับคนอื่นอีกต่างหาก

5. ทำเมนูอื่นได้ด้วย
ใช่ว่าจะทำได้แค่ปิ้งย่างหมูกระทะเท่านั้น แต่บางรุ่นก็พัฒนาให้เป็นแบบ 2 in 1 ที่มีทั้งเตาปิ้ง และหม้อต้มฝาปิด พร้อมทำจิ้มจุ่ม ชาบู สุกี้ขณะปิ้งย่างได้ด้วย หรือถ้าที่บ้านแก๊สหุงต้มหมดกะทันหัน ก็สามารถเสียบปลั๊กทำอาหารกับเตานี้ก่อนได้สบายใจ

การที่แต่ละบ้านมีเตาปิ้งย่างไฟฟ้าไว้ใช้งานย่อมช่วยสร้างประโยชน์ได้มากมาย ยิ่งหากท่านใดที่โปรดปรานการสังสรรค์กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือกับคนรักด้วยเมนูสุดฮิตหมูกระทะเป็นประจำ เลือกซื้อเก็บไว้ใช้งานไม่เสียหายแน่นอน

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0807

419


เมื่อพูดถึงจอมอนิเตอร์ขึ้นมาแล้ว เชื่ออย่างยิ่งว่าหลาย ๆ ท่านอาจไม่เคยทราบถึงความแตกต่างในเรืองการแสดงภาพ สี แสง ตัวอักษรที่เกิดขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วแต่ละลักษณะหน้าจอจะมีรูปแบบการแสดงผลทั้งสิ้น 3 รูปแบบ ประกอบไปด้วย “CRT – LCD – LED” บทความนี้จึงมีข้อมูลความแตกต่างของแต่ละประเภทการแสดงหน้าจอมาแนะนำ เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากที่สุด พร้อมเลือกได้อย่างตอบโจทย์

จอมอนิเตอร์ “CRT – LCD – LED” มีความแตกต่างอย่างไร
1. หน้าจอ LCD
หรือ Liquid Crystal Display ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2506 แล้ว ซึ่งถือว่านานมาก ๆ ก่อนจะมาเป็นหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ได้ใช้งานเป็นหน้าจอเครื่องคิดเลข และนาฬิกา จอแสดงผลนี้ทำงานในหลักการเปลี่ยนโมเลกุลของผลึกเหลวมาปิดกั้นแสงแล้วทำให้เกิดสีจากสนามไฟฟ้าที่เหนี่ยวนำ ซึ่งผลึกเหลวจะมีอยู่ที่ผิวของกระจกทำให้มองเห็นภาพ แสง สี ตัวอักษร แต่มุมมองการเห็นจะค่อนข้างแคบ

2. หน้าจอ CRT
เป็นหน้าจอ monitor ที่กำเนิดขึ้นครั้งแรกโดยบริษัทไอบีเอ็ม ยุคต้น ๆ นั้นจะไม่ได้มีภาพกราฟิกใดเกิดขึ้นเหมือนปัจจุบัน เป็นการรับสัญญาณอนาล็อกแล้วค่อยได้รับการพัฒนาเป็นหน้าจอ CRT ดังกล่าว หลักการทำงานจะอาศัยหลอดภาพที่สร้างขึ้นเหมือนในโทรทัศน์ แล้วยิงภาพไปที่ผิวหน้าจอด้วยแสงอิเล็กตรอน มีฟอสฟอรัสฉาบที่ผิวเป็นส่วนประกอบหลัก โดยหลังจากที่แสงอิเล็กตรอนมากระทบก็จะเกิดการเรืองแสงขึ้น กลายเป็นสีและภาพตามสัญญาณอนาล็อกที่รับมา

3. หน้าจอ LED
ปิดท้ายหน้าจอ LED หรือ Light-emitting-diode ที่มีหลักการทำงานไม่ซับซ้อนด้วยการใช้งานหลอด LED ที่เรียงเป็นแถวพร้อมเกิดเป็นภาพต่าง ๆ ที่มาจากการติดดับของหลอดดังกล่าว มีสีชัดเจนกว่าจอแสดงผลรูปแบบอื่น ช่วยปิดจุดบกพร่องของทุกประเภทจอที่เกิดขึ้นได้ดี ภาพและสีมีการแสดงผลที่ชัดเจนมาก ๆ มีอัตราการตอบสนองเร็วทันใจ รวมไปถึงประหยัดไฟได้ดีกว่าจอ LCD ทั้งนี้หน้าจอแบบมอนิเตอร์ LED ยังมีให้เลือกทั้งจอโทรทัศน์ จอโน้ตบุ๊ก จอโทรศัพท์มือถือ หรือจอคอมพิวเตอร์ด้วย

แม้กระนั้นไม่ว่าจะเป็นหน้าจอรูปแบบไหน เมื่อมีการใช้งานในระยะหนึ่งแล้วก็ต้องตรวจสอบสภาพให้ดี เนื่องจากเป็นเรื่องปกติที่อาจเสื่อมลง นอกจากนี้อยากให้หมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอเพื่อลดความเสี่ยงของฝุ่นเข้าไปเกาะกลายเป็นว่าต้องเสียเงินซ่อม หรือซื้อใหม่ไปอีก

เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก็หวังว่าการเลือกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีภาพ แสง สี ตัวอักษรจะเป็นไปอย่างราบรื่น ได้หน้าจอมอนิเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน ซึ่งยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าหน้าจอ LCD และ LED เป็นที่นิยมและถูกเปรียบเทียบคุณภาพมากที่สุด อยากลองซื้อหน้าจอไหนก็อย่าลืมไตร่ตรองให้ดีด้วย เลือกแบรนด์ที่วางขายมายาวนาน มีความน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ พร้อมให้คำแนะนำ ดูแลหลังการขายเพื่อความสบายใจ

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/TVA1101

420


หม้อทอด” ถือว่าเป็นอีกเครื่องครัวที่ปัจจุบันหลายบ้านมีใช้กันอย่างที่สุด เนื่องจากความน่าสนใจของการสร้างประโยชน์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร อุ่นอาหาร เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ต้องรู้ไว้เมื่อใช้งานคือเรื่องการทำความสะอาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคราบไขมันภายในหม้อ ซึ่งบทความนี้ก็มีวิธีกำจัดสิ่งสกปรกดังกล่าวมาฝาก จะต้องทำประการใดบ้างไปติดตามกันดีกว่า

วิธีจัดการคราบไขมันภายในหม้อทอดที่ควรทราบ
โดยทั่วไปแล้วการทำความสะอาดหม้อประเภทนี้จะแบ่งออกเป็นการทำภายนอก และภายใน โดยภายในก็คือการจัดการคราบสิ่งสกปรกของอาหารโดยเฉพาะไขมันที่ติดอยู่ แต่คงเป็นเรื่องยากหากไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง เหตุเพราะล้างไปคราบก็ยังหลงเหลือ จึงต้องการให้ลองทำตามวิธีนี้รับรองว่าได้หม้อเหมือนใหม่ตลอดกาล
- เริ่มต้นให้นำตะกร้าทอดออกจากเครื่อง แล้วทำความสะอาดแยกออกจากกันภายหลัง
- เทน้ำมัน หรือของเหลว สิ่งตกค้างต่าง ๆ ออกไป หรือถ้าหม้อใครเป็นแบบทิ้งน้ำมันที่รองอยู่ด้านใต้ตะกร้าก็ต้องเอาออกด้วย
- หลังจากนั้นเปิดน้ำล้างเอาชิ้นส่วนอาหารออกไปก่อน 1 รอบ แล้วลงน้ำยาล้างจานกับฟองน้ำ ไม่แนะนำให้ใช้ฝอยขัดเพราะจะไปทำร้ายผิวหม้อที่ได้รับการเคลือบ ส่งผลเสียต่อระบบการให้ความร้อน
- เมื่อขัดล้างด้วยฟองน้ำที่มีน้ำยาล้างจานแล้ว ก็จัดการล้างคราบออกได้เลย แต่ถ้ายังมีความมันหลงเหลือให้คุณล้างซ้ำอีกรอบ
- เมื่อล้างจนไม่มีความมันติดแล้วก็จัดการเช็ดให้แห้ง หรือนำไปคว่ำจนกว่าจะแห้งก็ได้เช่นกัน เท่านี้การล้างคราบไขมันภายในหม้อทอดไฟฟ้าก็เสร็จเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังที่อยากให้ทุกคนจำขึ้นใจเมื่อต้องล้างเอาคราบไขมันภายในออก ก็คือน้ำมันที่ออกจากอาหารส่วนใหญ่ไหลลงด้านล่างเสมอ แนะนำว่าให้หาฟรอยด์มารองไว้ เพื่อให้การกำจัดน้ำมันออกง่ายมากขึ้น

ทั้งนี้ ควรระมัดระวังในการล้างอย่างที่สุด ก็เพราะว่าหากพลาดทำน้ำเข้าปลั๊ก หรืออย่างที่บอกไปคือเอาฝอยเหล็กไปขัดทำให้สารเคลือบหม้อทอดไร้น้ำมันเสียหายชำรุดในที่สุด และไม่แนะนำให้เอาไปตากแสงแดดจัด ๆ ถ้าจะตากหลังล้างเสร็จให้วางในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทดีกว่า

อย่างไรแล้วเผื่อว่าท่านใดที่อยากทราบถึงการทำความสะอาดหม้อทอดภายนอก จริง ๆ ก็ไม่ได้ยุ่งยาก โดยสามารถนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดได้เลย เพราะภายนอกส่วนใหญ่ก็จะสกปรกเพราะฝุ่นมากกว่า เช็ดทำความสะอาดให้เรียบร้อยไม่ต้องไปเอาน้ำโดยตรงมาล้างใด ๆ เนื่องจากจะทำให้เกิดปัญหาไฟลัดวงจรได้เช่นกัน และหลังจากใช้งานเสร็จ เช็ดหม้อภายนอกเสร็จ แนะนำว่าให้เก็บเข้าตู้มิดชิดเลยจะดีกว่า เมื่อต้องการใช้งานจึงค่อยหยิบมาใหม่

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080503

421


กล้องวงจรปิดนับเป็นอุปกรณ์ที่มีให้เลือกใช้หลากหลายลักษณะ หนึ่งในนั้นคือชนิดไร้สายที่ปัจจุบันได้รับความนิยมในการนำมาติดตั้งในบ้านไม่แพ้ชนิดอื่น ถึงอย่างนั้นก็ยังอาจมีข้อสงสัย ไม่มั่นใจ และอยากได้เหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจว่ากล้องประเภทไร้สายนี้ดีกว่าอย่างไร คำตอบอยู่ไม่ไกลเพราะว่าเราได้รวบรวมมาบอกต่อเป็นที่เรียบร้อย

สิ่งสำคัญที่ควรติดตั้งกล้องวงจรปิดในบ้าน
เหตุผลของการตัดสินใจติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สาย หรือ Wi–Fi ถือว่ามีด้วยกันอยู่หลายข้อทีเดียว และเมื่อศึกษาทั้งหมดได้แล้วนั้น เชื่อว่าจะรีบตรงดิ่งไปซื้อมาติดตั้งไว้ที่บ้านอย่างโดยด่วน ซึ่งข้อมูลที่อยากนำมาพูดถึงประกอบไปด้วย
- สามารถจับภาพบุคคลที่ผ่านไปมา หรือบันทึกภาพสถานที่นั้น ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยจะเก็บภาพเคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง
- การใช้งานกล้องแบบไร้สายนั้นไม่มีสายไฟระโยงระยางมาก การติดตั้งง่าย แค่เชื่อมต่อกับระบบ Wi–Fi ได้ก็พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง แล้ว
- ราคาของอุปกรณ์ รวมไปถึงค่าจ้างช่างผู้เชี่ยวชาญมาติดตั้งไม่สูงมาก สามารถเข้าถึงได้ เพื่อความปลอดภัยของบ้าน
- สามารถติดตั้งไว้ที่จุดล่อแหลม หรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาได้ง่าย ๆ ดูว่าใครมาเรียก มาติดต่อที่หน้าบ้าน ก่อนเปิดประตูบ้านได้ด้วย
- สามารถใช้จับผิดผู้ต้องสงสัย อย่างบ้านใดที่ต้องมีพี่เลี้ยงเด็กช่วยดูแล ก็สามารถสอดส่องพฤติกรรมได้ หากพบว่าไม่เหมาะสม สามารถนำไปเป็นหลักฐานดำเนินคดีตามกฎหมาย
- บางรุ่นเป็นแบบที่สามารถพูดออกเสียงจากกล้องได้เลย ช่วยให้สามารถควบคุมความเคลื่อนไหวของคนภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถใช้ย้อนดูความทรงจำที่ผ่านมาได้ สมมุติว่านำกระเป๋าเงินไปใส่ในชิ้นชักตู้ ผ่านไป 2 ชั่วโมง จำไม่ได้ว่าเอาไปไว้ที่ไหนก็สามารถเปิดกล้องวงจรปิด wifi เพื่อดูภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าก็จะรู้ว่ากระเป๋าเงินอยู่ที่ไหน
- สามารถใช้เพื่อตรวจสอบข้อมูลแล้วนำมาตัดสินใจภายหลัง อย่างติดไว้หน้าบ้านดูสภาพแวดล้อม ณ ขณะนั้น ก็จะช่วยให้ทราบความเคลื่อนไหว รถติด น้ำท่วมสูงแค่ไหน ฯลฯ รู้แล้วก็วางแผนการใช้ชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าการมีกล้องวงจรปิดไร้สายไว้ใช้งานติดตั้งภายในบ้าน หรือรอบบ้าน ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ที่หลากหลาย พร้อมช่วยเป็นหูเป็นตาได้อย่างดีที่สุด กระนั้นก็ตาม การเลือกซื้อก็ต้องมีมาตรฐานด้วย แนะนำว่าเลือกผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือ คุณภาพได้รับการตรวจสอบยอมรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สัญญาณภาพ เสียงสมบูรณ์ รวมไปถึงมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษา หรือถ้าต้องติดตั้งก็พร้อมบริการเต็มที่ และมีบริการหลังการขายได้ยิ่งดีเลยทีเดียว

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TVA0206

422


ยุคปัจจุบันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งใครๆต้องรู้จักป้องกันตัวเองด้วยอุปกรณ์อย่างหน้ากากอนามัย, Face Shield หรือที่สำคัญสุด ๆ ก็คือแอลกอฮอล์ล้างมือ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าการที่จะฆ่าเชื้อโควิด – 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องอยู่ที่เรื่องความเข้มข้นด้วย และเพื่อให้เข้าใจมากที่สุด พร้อมเลือกใช้งานได้เหมาะสม ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจมาให้ศึกษาเพิ่มเติม

ประเภทของแอลกอฮอล์ และความเข้มข้นในการฆ่าเชื้อ
โดยทั่วไปแล้วประเภทการใช้งานน้ำยาฆ่าเชื้อนั้นจะมี 2  ชนิด คือ Iso Propyl Alcohol (IPA) และ ethyl alcohol ซึ่งทั้งคู่จะไม่มีสี เป็นของเหลวใส ระเหยได้ในอุณหภูมิห้อง เป็นตัวทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส เชื้อวัณโรค แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์แบคทีเรียได้ ซึ่งจะตรงจัดการฆ่าเชื้อโดยผ่านเยื้อหุ้มเซลล์ และทำให้โปรตีนเสียคุณภาพ จนในที่สุดเยื้อหุ้มเซลล์ของเชื้อโรคแตกสลายไป

แต่ประสิทธิภาพจะลดลงได้หากมีความเข้มข้นต่ำกว่า 50% ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเจลแอลกอฮอล์ หรือรูปแบบสเปรย์ต้องมีความเหมาะสมในปริมาณ 60 – 80% และ Iso Propyl Alcohol (IPA) จะทำงานได้แค่เชื้อไวรัสที่มีไขมันหุ้มเท่านั้น ส่วน ethyl alcohol มีความสามารถในการทำลายเชื้อไวรัสทั้งที่มีไขมันหุ้ม อย่าง ไวรัสเริม หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งไวรัสโควิด – 19 และแบบที่ไม่มีไขมันหุ้ม อย่างเช่น ไวรัสตับอักเสบบี (ไม่ได้ทำลายเชื้อไวรัวตับอักเสบเอ, โปลิโอไวรัส) แต่การมีความเข้มข้นมากเกินไปก็ไม่ได้ดีเสมอ

อธิบายเช่นนี้บางคนอาจคิดว่าการมีความเข้มข้นสูงก็คงช่วยจัดการฆ่าเชื้อไวรัสได้โดยเฉพาะโควิด – 19 อย่างเช่น มีความเข้มข้น 95% ย่อมดีกว่า 70% ซึ่งอยากอธิบายว่านี่ไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป เนื่องจากการที่มีความเข้มข้น 95% ก็ย่อมระเหยได้ไวมาก และทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมไปที่เยื่อหุ้มเซลล์ไวรัสทำงานไม่เพียงพอ เท่ากับว่าเชื้อโรคไม่ตายง่าย ๆ เมื่อมีสภาพแวดล้อมในจุดที่เหมาะสมกับการเติบโตใหม่ก็กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง รวมถึงการเลือกใช้งานไม่ว่าจะสเปรย์แอลกอฮอล์ หรือเจลหากความเข้มข้นสูงก็ทำให้ผิวแห้ง หรือเกิดอาการระคายเคืองขึ้นมาได้ง่ายเช่นกัน ปกติแล้วการใช้รูปแบบสเปรย์ หรือเจลนั้นความเข้มข้นจะอยู่ที่ 70 – 90%

ในการป้องกันความเสี่ยงติดเชื้อโควิด – 19 นอกจากการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งแอลกอฮอล์ หรือหน้ากากอนามัยแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ ด้วย ดังเช่น การเลือกใช้ช้อนกลาง อยู่ห่างจากผู้อื่น 1 – 2 เมตร ไม่เข้าไปพื้นที่แออัด หรือกลับเข้าบ้านมาให้รีบถอดเสื้อผ้า อาบน้ำ สระผมให้สะอาด เชื่อว่าหากดูแลตัวเองดี ไม่ละเลยกับทุกสถานการณ์ โอกาสติดเชื้อก็กลายเป็นศูนย์ ได้เช่นกัน

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0613

423


การใช้งานถังพ่นยาสำหรับเกษตรกรนั้นมีให้เลือกมากมาย แต่ที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้เป็นแบบแบตเตอรี่ ซึ่งเรื่องสำคัญสุด ๆ ต้องยกให้กับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง เป็นวิธีช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานมากขึ้น ไม่ต้องเสียเงินซ่อม หรือต้องหาซื้อเครื่องใหม่เร็วเกินไป คำถามคือจะต้องดูแลอย่างไร ยุ่งยากหรือไม่ เกษตรกรทั้งหลายไปติดตามพร้อมกันเลยดีกว่า

ยืดอายุถังพ่นยาแบบแบตเตอรี่ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง
1. เก็บเอาไว้ในที่ร่ม

สิ่งแรกที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือการวางเก็บเครื่องพ่นยาแบตเตอรี่โดยควรเอาไว้ในที่ร่ม เนื่องจากถังส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติกและเมื่อนำไปวางตากแสงแดดนาน ๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้พลาสติกกรอบ รั่ว แตกร้าวได้ แถมตัวถังก็ยังไม่มีอะไหล่แบบแยกจำหน่าย หากเกิดความเสียหายขึ้นมาจะต้องซื้อใหม่ยกถังเท่านั้น

2. เติมน้ำสะอาดในเครื่องเสมอ
การใช้งานเครื่องพ่นแบบแบตเตอรี่ได้ ก็ควรมีการเติมน้ำสะอาดเข้าไปอยู่ในถังเสมอ เนื่องมาจากต้องใช้น้ำผ่านปั๊มมอเตอร์ที่มีขนาดเล็ก กรณีใช้น้ำไม่สะอาดอาจเกิดเศษดินเข้าไปสะสมอยู่ นำมาซึ่งปัญหาปั๊มพัง หรือแรงดันของน้ำที่ควรมากกลับลดลงได้

3. ใช้ยาชนิดผงแล้วต้องล้างให้สะอาด
ถังฉีดพ่นยาแบบแบตเตอรี่จะมีปั๊มมอเตอร์ทำงานอยู่ แต่เกษตรกรส่วนมากเลือกที่จะฉีดยาแบบผงลงไปแล้วละลายน้ำไว้ โดยที่ยาชนิดผงมักจะมีตะกอนค้างอยู่โอกาสที่ปั๊มมอเตอร์จะพังจึงมีสูง แนะนำว่าใช้ยาแบบผงฉีดเรียบร้อยแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด อย่าให้เกิดตะกอนในระบบเด็ดขาด

4. อย่าลืมปิดสวิตช์
เรื่องนี้อาจคิดกันเล่น ๆ ว่ามีคนลืมปิดสวิตช์ด้วยหรือ? ซึ่งคำตอบคือมีจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้ไปนาน ๆ แล้วไฟบอกสถานะเสีย เมื่อใช้งานเสร็จก็ลืมว่าต้องปิด ทำให้ตัวเครื่องถูกเปิดทิ้งไว้โดยที่มีเสียงปั๊มมอเตอร์ทำงานอยู่ บางคนเสียบชาร์จไว้ข้ามคืนก็มีทำให้ปั๊มยิ่งทำงานหนักโอกาสไหม้มีสูงมาก ทั้งนี้ หากจำได้ว่าปิดสวิตช์แล้ว อยากให้กำมือบีบอีกครั้ง เผื่อมีน้ำผสมสารเคมีอยู่ในถังจะได้ออกมาจนหมด

ข้อสำคัญของการดูแลถังพ่นยาแบบแบตเตอรี่ที่ต้องรู้เพิ่มเติมก็คือการถนอมมแบตเตอรี่ซึ่งปกติแล้วจะมีเป็นแบบแห้งใช้กับรถยนต์ หรือจักรยานยนต์ โดยมีอายุการใช้งาน 2 – 3 ปีได้ สิ่งจำเป็นคือต้องดูแลให้ถูกต้อง คือเมื่อซื้อมาใหม่ต้องชาร์จไฟไว้ก้อนใช้งาน 8 ชม. และควรชาร์จครั้งต่อไป 3 – 4 ชม. ไม่ต้องทิ้งข้ามคืน และไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ใช้งานหมดเกลี้ยง ถึงจะไม่ได้ใช้งานก็ควรชาร์จไฟทิ้งไว้ ปล่อยไปจนแบตเตอรี่หมดเด็ดขาด

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0208

424


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันนี้หน้ากากอนามัยสามารถหาซื้อได้ง่ายมากขึ้น โดยมีให้เลือกหลากรูปแบบ หลากหลายสีสันด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำความเข้าใจลักษณะของอุปกรณ์ชนิดนี้ที่พร้อมช่วยป้องกันจาก Covid – 19 ซึ่งยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องได้บ้างเป็นเรื่องสำคัญ บทความนี้จึงไม่พลาดที่จะพาทุกๆท่านไปสังเกตอย่างละเอียด เพื่อการใช้งานที่ตอบโจทย์

ลักษณะของหน้ากากอนามัยป้องกัน Covid – 19 ที่ควรซื้อ
1. พิจารณาคุณสมบัติการป้องกัน
สำหรับคุณสมบัติพิจารณาการป้องกันนั้นจะรู้ได้จากตัวย่อที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 ตัวย่อด้วยกันคือ
- ค่า PFE : บ่งบอกความสามารถในการกรองทุกสิ่งที่ล่องลอยในอากาศโดยมีอนุภาพเล็กกว่า 0.1 ไมครอน โดยที่เชื้อ Covid – 19 นั้นมีอนุภาคขนาด 0.06 – 0.14 ไมครอน การเลือกสวมหน้ากากที่มีค่า PFE สูงจึงช่วยป้องกันความเสี่ยงรับหรือแพ้เชื้อได้อย่างดี
- ค่า VFE : เป็นค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการกรองเชื้อไวรัส โดยการเลือกซื้อควรต้องระบุให้เห็นอยู่ข้างกล่อง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่า VFE นี้จะต้องมีอย่างน้อย 98% ลดการกระจายละอองฝอยที่เกิดจากสารคัดหลั่งได้อย่างดี

2. สามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้
จะต้องสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของแมสได้ ซึ่งโดยทั่วไปนั้นจะเป็นการนำเข้าที่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว โดยเอาเลขทะเบียนไปตรวจสอบผ่านเว็บออนไลน์ได้เลย เป็นการตอกย้ำความมั่นใจใช้งานได้ดี

3. ได้รับการรับรองจากมาตรฐานระดับสากล
นอกจากความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว หน้ากากที่ดีจำเป็นต้องผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในการป้องกันของเหลวที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานระดับสากลด้วย ทั้งจากประเทศไทย (มอก. 2424-2562), จากประเทศสหรัฐอเมริกา (ASTM F2100), จากประเทศญี่ปุ่น (JMHLW-2000), จากประเทศจีน (YY/T 0691-2008) มาตรฐานของสหภาพยุโรป (ISO 22609) ฯลฯ

4. เป็นหน้ากากทางการแพทย์ดีที่สุด
สุดท้ายทุก ๆ คนทราบกันดีว่าปัจจุบันแมสปิดปากมีให้เลือกหลากหลาย แต่ถึงอย่างไรคุณภาพการป้องกันย่อมแตกต่างออกไป คำแนะนำที่ดีควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย บางรุ่นป้องกันได้เฉพาะฝุ่น PM 2.5 บางรุ่นป้องกันแค่ Covid – 19 ได้ ดังนั้นหากเลือกเป็นหน้ากากของทางการแพทย์จะดีที่สุด ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติกรองเชื้อ รวมถึงสารคัดหลั่ง มีประสิทธิภาพป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่คนได้ 99% ความสามารถในการป้องกันทุกสิ่งในอากาศขนาด 3 ไมครอน ได้ 66.37% เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม การใส่หน้ากากอนามัย รวมทั้งการถอดที่ถูกวิธีจะช่วยป้องกันเชื้อได้อย่างประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญของการสวมใส่คือการกดโลหะแนบกับใบหน้า และดึงหน้ากากลงมาถึงใต้คาง ส่วนการถอดต้องเกี่ยวสายคล้องหูมามัดเป็นชิ้นแล้วใส่ถุงพลาสติกปิดมิดชิดก่อนทิ้งลงถังขยะด้วย

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO020106

425


เมื่อกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดชนิดฆ่าเชื้อโรคขึ้นมาแล้ว “เดทตอล” เป็นอีกตัวเลือกที่ได้รับความนิยมใช้งานอย่างมาก แต่ทุกท่านทราบหรือไม่? ว่าผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อยี่ห้อนี้ที่จริงแล้วมีให้เลือกใช้งานได้ 2 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีความแตกต่างกันด้วย และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น สามารถใช้งานตอบโจทย์ เหมาะสม มีข้อมูลอันเป็นประโยชน์มาให้ศึกษา

ความแตกต่างของเดทตอล 2 รูปแบบที่ต้องศึกษา
1. Dettol Hygiene Multi-Use Disinfectant

เป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคแบบอเนกประสงค์ที่จะไม่มีมงกุฏสีฟ้าอยู่บนฉลาก นำมาใช้งานฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรค หรือเชื้อราที่มีได้ถึง 99.99% เลยทีเดียว แต่คุณ ๆจะไม่สามารถนำมาใช้งานกับผิวหนังได้แบบโดยตรง เพราะส่วนประกอบหลักเป็นสารประกอบคลอโรเมธิลฟีนอลซึ่งทำหน้าที่ฆ่าเชื้อทุกสิ่งอย่างแบบรุนแรง หาซื้อได้ทั้งรูปแบบน้ำยา หรือสเปรย์ฆ่าเชื้อ
วิธีใช้งานที่ถูกต้องนั้น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อได้ดี พื้นผิวทั่วไปให้นำไปผสมในปริมาณ 4.5 ฝา ต่อน้ำ 2 ลิตร หลังจากนั้นก็ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วใช้น้ำสะอาดล้างออก ใครที่จะใช้ซักผ้าให้ผสม 2 ฝา ต่อน้ำ 2 ลิตร แล้วแช่ทิ้งไว้ 10 นาที

2. Dettol Antiseptic Disinfectant
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่มีมงกุฎสีฟ้า แน่นอนว่าสูตรนี้จะสามารถนำมาใช้ฆ่าเชื้อโรคบนผิวหนังของตัวบุคคลได้ ใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อที่เกิดจากแมลงกัดต่อย หรือสัตว์กัด นอกจากนี้ยังสามารถใช้จัดการรังแคได้ด้วย ใครอยากเอามาผสมเพื่ออาบน้ำทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน
นำไปล้างเครื่องมือ ของใช้ส่วนตัวในชีวิตประจำวันก็ไม่มีปัญหา ซึ่งทางการแพทย์เองก็นิยมนำมาใช้งานด้วยเช่นกัน อย่างการทำความสะอาดอุปกรณ์ทางแพทย์ อุปกรณ์ผ่าตัด แช่เสื้อผ้าเพื่อฆ่าเชื้อ เช็ดพื้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรนำไปใช้บ้วนปาก เนื่องมาจากสูตรนี้ก็ยังนับว่าเป็นน้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ฆ่าเชื้อเท่านั้น โดยจะมีสารชื่อ Chloroxylenol คุณสมบัติฆ่าเชื้อทุกสิ่งอย่างได้ 99.99% เช่นกัน ส่วนการใช้งานจะแบ่งออกตามจุดประสงค์ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างกับผลิตภัณฑ์น้ำยาขนาด 50 มล.
- ฆ่าเชื้อโรค แมลงกัดต่อย แผลสด ให้ใช้น้ำยา 2 ฝา ผสมน้ำ 240 มล.
- จัดการรังแค ซักผ้าให้ใช้น้ำยา 2 ฝา ต่อน้ำ 480 มล.
- ใช้อาบน้ำฆ่าเชื้อ 1 ต่อ 200 ของน้ำสะอาด (1 หยดต่อน้ำ 1 กะละมัง)
- เช็ดพื้น ใช้ปริมาณ 6 ฝาต่อน้ำ 5 ลิตร
- ใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เทปริมาณ 1 ฝา ผสมแอลกอฮอล์ 70% อีก 420 มล.

ก่อนที่จะเลือกซื้อเลือกหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาใช้งานอยากให้ทุกคนคำนึงถึงจุดประสงค์เป็นหลัก ทั้งนี้เพราะหากต้องการใช้ฆ่าเชื้อทั่วไปก็ให้เลือกแบบไม่มีมงกุฎสีฟ้าที่ฉลาก แต่หากต้องการใช้กับผิวหนัง ร่างกาย ก็ต้องเลือกที่มีมงกุฎสีฟ้าอยู่บนฉลาก เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเองและคนในครอบครัว

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0609  

426
เปิดวันแรกคึกคัก The Marché by STYLE Bangkok ขนสินค้าไลฟ์สไตล์ BCG ต้อนรับนักช้อปสายรักษ์โลก

The Marche’ by STYLE Bangkok งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่น จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ภายใต้ธีม Global Trends, your styles นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นกลุ่ม BCGที่ดีต่อผู้ใช้ ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม จากผู้ผลิต-ผู้ส่งออกไทยคุณภาพ จัดแสดงกว่า 150 บูธ ให้นักช้อปสายรักษ์โลกทั้งไทยและต่างชาติ เลือกซื้อกันอย่างจุใจ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 22 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์



ภายในงานรวบรวมเอาสินค้า BCG หรือ Bio-Circular-Green มาจัดแสดงร่วมกันมากที่สุดงานหนึ่ง จัดเต็มบนพื้นที่กว่า 1,200 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็น 7 โซนสินค้า สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า (Fashion & Leather) สินค้าของขวัญ ของชำร่วย ของเล่น (Gifts & Premiums) สินค้าเครื่องครัว เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร (Houseware) สินค้าเฟอร์นิเจอร์ (Furniture) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสปา (Wellness) สินค้าของตกแต่งบ้าน (Home Décor) และโซนสินค้ามีดีไซน์โดดเด่น (Design Hall) นอกจากสินค้าคุณภาพส่งเกรดพรีเมียม ทั้งแบรนด์ไทยดังไกลระดับโลกและแบรนด์น้องใหม่ที่ควรค่าแก่การสนับสนุน ผู้เข้าชมงาน ยังได้เต็มอิ่มกับกิจกรรม Price Off และ Pro Reward โปรโมชั่นส่วนลดจากผู้ประกอบการเมื่อซื้อสินค้าภายในงานอีกด้วย





















The Marche’ by STYLE Bangkok จัดถึงวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ บริเวณชั้น 1 และชั้น 2 โซน Eden 1-2, Dazzle และ Beacon 2-3 และ 4 เปิดให้เข้าชมระหว่างเวลา 10.00-22.00 น.
ชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com
Facebook Style Bangkok Fair
Instagram Style Bangkok Fair
หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

427
สำหรับประเทศเมืองร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าวอย่างเมืองไทย พัดลม ถือว่าเป็นตัวช่วยคลายร้อนในระหว่างวันที่จะขาดไปไม่ได้ แม้ว่าพัดลมจะไม่สามารถทำความเย็นได้เท่ากับเครื่องปรับอากาศแต่ก็มีราคาประหยัด สิ้นเปลืองไฟน้อยกว่า แถมยังย้ายที่ไปไหนมาไหนได้คล่อง ทำให้สามารถนำไปใช้งานนอกสถานที่ได้ ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิว 4 พัดลมราคาดีตัวช่วยคลายร้อนที่ท่านควรมีติดบ้านเอาไว้ ซึ่งถ้าใครอยากรู้ว่าจะมีพัดลมแบรนด์ไหนรุ่นใดบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย

1. พัดลม hatari Slide Smart L1
ราคาจำหน่าย 1,548 บาท



พัดลม hatari Slide Smart L1 พัดลมไฮเทค ขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ทันสมัยดูเรียบหรู ให้ลมแรงเย็นสดชื่นอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถปรับแรงลมได้มากถึง 5 ระดับ และปรับความสูงได้ 6 ระดับ ทำงานด้วยระบบมอเตอร์เทอร์มอลฟิวส์ ควบคุมการทำงานด้วยรีโมทคอนโทรล มาพร้อมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง Temperature display ระบบแสดงอุณหภูมิบริเวณโดยรอบ ฟังก์ชั่นตั้งเวลาเปิด-ปิด สามารถเซ็ตได้นานสูงสุด 9 ชม. ได้รับมาตรฐานความปลอดภัย มอก. 934-2558 และมาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5

2. พัดลม mitsubishi R12A-HRZ BK
ราคา 2,240 บาท


พัดลม mitsubishi R12A-HRZ BK พัดลมตั้งพื้นกึ่งตั้งโต๊ะในดีไซน์สุดล้ำ เป็นสไตล์การออกแบบจากญี่ปุ่นที่คำนึงถึงเรื่องการประหยัดเนื้อที่พัดลมตัวนี้จึงสามารถพับเก็บได้ มาพร้อมมอเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่ทั้งทนทานและประหยัดไฟ สามารถปรับระดับความสูงต่ำได้ 4 ระดับ และปรับเงยคอพัดลมได้ 35 องศา ได้รับมาตรฐาน ISO 9001 และ ISO 14001 มีการรับประกันมอเตอร์ยาวนานถึง 5 ปี

3. พัดลม MITSUBISHI LV16-GA SF-GY
ราคา 1,875 บาท



MITSUBISHI LV16-GA SF-GY พัดลม 16 นิ้ว การออกแบบสวยทันสมัย ใช้ระบบมอเตอร์แบบปิดที่มีประสิทธิภาพสูง ทนทานและประหยัดพลังงาน มีระบบ Premium Safety ด้วยการใช้วัสดุ หรือชิ้นส่วนที่ไม่ลุกลามไฟ ฟังก์ชั้นทอร์มอลฟิวส์ตัดการทำงานเมื่ออุณหภูมิมอเตอร์สูงเกิน 140 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันมอเตอร์ไหม้ ที่ฐานมีล้อเลื่อนทำให้สามารถเปลี่ยนที่ได้สะดวก ได้มาตรฐาน ISO 9001, ISO 14001, มาตรฐาน RoSH และ มาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5

4. พัดลม HATARI HT-S16R2
ราคา 1,298 บาท



พัดลม 16 นิ้ว HATARI HT-S16R2 พัดลมอัจฉริยะ ทำงานด้วยระบบ i-COMFORT สามารถปรับแรงลมเพิ่ม-ลด ได้โดยอัตโนมัติ ทำงานด้วยระบบเซ็นเซอร์ ตามอุณหภูมิห้องที่มีการเปลี่ยนแปลง มีฟังก์ชั่นตั้งเวลาเปิดปิดอัตโนมัติ ปรับระดับความสูงได้ 5 ระดับ พร้อมเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบตัดไฟอัตโนมัติ เทอร์มอลฟิวส์ และมอเตอร์ประสิทธิภาพสูงด้วยระบบรองลื่น บอลแบริ่ง มาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5 มีรีโมทคอนโทรลใช้งานได้สะดวกสบาย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP05

428
ไฟเส้น LED คือหลอด led เส้นยาวที่มาในลักษณะของริบบิ้น เป็นไฟตกแต่งแบบหนึ่งที่มีคุณสมบัติเป็นของตกแต่งเอนกประสงค์สามารถใช้ตกแต่งห้องพัก สถานที่ท่องเที่ยว ผับ บาร์ หรือแม้แต่นำไปตกแต่งรถยนต์ก็สามารถทำได้ตามแต่ไอเดียจะบรรเจิด อีกทั้งยังราคาไม่แพงจึงทำให้ไฟเส้น LED ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ว่าแล้วในวันนี้เราก็จะมาแชร์ประโยชน์ของไฟเส้น LED ของตกแต่งสุดจี้ดที่จะช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิตของคุณ ๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ



1. เป็นของประดับตกแต่งเอนกประสงค์ ใช้งานได้หลากหลาย
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าไฟเส้น LED เป็นของตกแต่งเอนกประสงค์ที่สามารถใช้ตกแต่งสถานที่ ห้องพัก ผนัง กำแพง หรืออะไรก็ตามแล้วแต่ไอเดียจะบรรเจิด ทำให้มันสามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย พูดง่าย ๆ คือถ้าต้องการให้อะไรมีความโดดเด่นและดึงดูดสายตามากขึ้น ก็ให้นำไฟเส้น LED ไปตกแต่งได้เลย

2. ให้แสงสว่างได้ต่อเนื่อง และไม่เกิดเงา
ไฟ LED นั้นสามารถให้แสงสว่างได้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน โดยไม่เกิดอันตราย ซึ่งแสงของ LED จะแสงที่มองแล้วสบายตาและไม่เกิดเงา ทำให้หลาย ๆ ท่านนิยมติดตั้งเพื่อใช้เป็นไฟนำทางในที่มืด

3. ช่วยสร้างบรรยากาศในแบบที่ปรารถนา
ไฟเส้น LED นั้นสามารถปรับระดับความสว่างและปรับเป็นไฟกระพริบได้อย่างอิสระ(ขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นของแต่ละแบรนด์) ช่วยสร้างบรรยากาศตามแบบที่ท่านต้องการ อย่างเช่น ถ้าหากคุณอยากให้ห้องมีบรรยากาศดูอบอุ่น น่าค้นหา ก็สามารถปรับแสงไฟ LED ให้เป็นสีขาวหรือสีส้มอ่อน ๆ แต่ถ้าหากคุณต้องการบรรยากาศให้เหมือนอยู่ในปาร์ตี้ก็สามารถปรับเป็นไฟกระพริบ led ที่มีสีฉูดฉาดได้เช่นกัน

4. ไม่มีความร้อน ปลอดภัยในการใช้งาน
ไฟ LED นั้นเป็นไฟที่ไม่มีความร้อน ทำให้มีความปลอดภัยสูง สามารถเปิดไฟ LEDทิ้งไว้ได้โดยไม่มีอันตราย

5. ประหยัดค่าใช้จ่าย กินไฟน้อย
ไฟเส้น LED นั้นเป็นของตกแต่งที่สวยมีคลาสแต่ราคามิตรภาพ นอกจากนี้แสงจาก LED เป็นแสงอ่อน ๆ สบายตาทำให้กินไฟน้อย ประหยัดค่าใช้จ่าย ต่อให้เปิดทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา

6. สามารถติดได้ได้ทุกมุมของห้อง
สามารถโค้ง บิด งอ ได้อย่างอิสระทำให้สามารถติดตั้งเข้ากับพื้นที่ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมุมห้องที่เป็นเหลี่ยมหรือห้องที่มีลักษณะเป็นโค้งเว้า หรือมุมห้องที่แคบแค่ไหนก็สามารถติดตั้งได้อย่างง่ายดาย

7. ติดตั้งง่ายๆ
ไฟเส้น LED นั้นเป็นของตกแต่งที่ถูกออกแบบมาให้ติดตั้งได้ง่ายๆ เพียงแค่ดูคู่มือท่านก็สามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/LIG0407

429
เรื่องขน ๆ พูดเลยว่ากวนใจใครทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าจะเป็นสาว ๆ หรือหนุ่ม ๆ ก็สนใจเรื่องการกำจัดขนกันมากขึ้น นอกจากการกำจัดขนในจุดยอดฮิตที่ต้องดูแลเป็นประจำอย่างหนวด ของคุณผู้ชาย หรือรักแร้ของคุณผู้หญิงแล้ว สมัยปัจจุบันยังนิยมกำจัดขนในจุดอื่น ๆ อีกด้วย ด้วยเหตุนั้น การได้รู้วิธีกำจัดขนเองได้ง่าย ๆ ที่บ้านด้วยอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ไม่ยากในปัจจุบันก็คงช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก ในครั้งนี้มาดู 3 อุปกรณ์กำจัดขนที่ทั้งหาซื้อได้ง่าย และใช้งานง่ายดายกัน

1. มีดโกนหนวด



มีดโกนหนวด แค่ชื่อก็บ่งบอกการใช้งานอยู่แล้วว่าใช้ทำอะไร แต่บอกได้เลยว่ามีดโกนนี่แหละสามารถกำจัดขนได้ดีและง่ายมากที่สุด ที่ว่าง่ายไม่ใช่แค่วิธีใช้งาน แต่ยังหมายถึงหาซื้อง่ายๆอีกด้วย ไม่ว่าจะตามร้านสะดวกซื้อ หรือห้างก็หาได้ง่าย ๆ นอกจากจะมีราคาจับต้องได้แล้ว ยังสามารถกำจัดขนได้ทุกบริเวณที่ต้องการได้ด้วยตัวเองอีกด้วย ไม่ใช่แค่หนวดเท่านั้น สาว ๆ หลาย ๆ ท่านก็ใช้มีดโกนในการกำจัดขนรักแร้และขนหน้าแข้งด้วยเหมือนกัน

2. เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า



ถัดจากมีดโกนก็คงหนีไม่พ้นเครื่องโกนหนวดไฟฟ้านั่นเอง พูดได้ว่าเป็นวิวัฒนาการของการกำจัดขนก็ว่าได้ เพราะทำให้การโกนหนวดของคุณผู้ชายสะดวกขึ้นมาก ปัจจุบันที่โกนหนวดไฟฟ้าพัฒนาไปไกลมาก ถึงขนาดว่าบางยี่ห้อเคลือบสารสกัดจากว่านหางจระเข้เพื่อเป็นการถนอมผิวบริเวณที่ทำการจำกัดขน และช่วยป้องกันการระคายเคืองที่อาจขึ้นด้วย การกำจัดขนด้วยวิธีนี้อาจจะราคาแพงกว่ารูปแบบแรกหลายเท่า แต่ก็สามารถชาร์จไฟใช้ซ้ำได้จนกว่าเครื่องจะพังเลยทีเดียว แต่ขอเตือนว่าที่โกนหนวดไฟฟ้าเหมาะกับการกำจัดหนวดเท่านั้น ไม่เหมาะกับการกำจัดขนในจุดอื่น ๆ เหมือนกับมีดโกนหนวด

3. เครื่องเลเซอร์กำจัดขน
มาถึงวิธีสุดท้ายที่อยากแนะนำ ก็คือการใช้เครื่องเลเซอร์กำจัดขนด้วยตัวเองนั่นเอง ยุคนี้ สมัยนี้ใครอยากจะกำจัดขนที่ตำแหน่งไหนก็แค่กดจองคอร์สกำจัดขนในคลินิกเสริมความงามก็กำจัดขนได้ง่าย ๆ แล้ว แต่แน่นอนว่าราคาสูงกว่าอีกสองรูปแบบด้านบนแบบสุด ๆ แต่นวัตกรรมสมัยนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในคลินิกเท่านั้น เนื่องด้วยเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ซื้อเครื่องเลเซอร์กำจัดขนมาใช้งานเองที่บ้านได้แล้ว มีเลเซอร์หลายประเภทให้เลือก แถมมีหลายราคาด้วย ใช้งานได้นาน บางยี่ห้อให้หลายหมื่นช็อตก็สามารถใช้กันได้เป็นปีทีเดียว ประหยัดกว่าเข้าคลินิกเป็นไหน ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกซื้อเลือกหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ด้วยล่ะ ผิวไหม้ไม่รู้ด้วยนะ

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP160201

430
หูฟังเปรียบเสมือนอวัยวะที่ 33 ของเราไปแล้ว โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเวลาออกไปข้างนอกหรืออยู่ในบ้านก็ตาม การใช้หูฟังเหมือนการได้สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาอีกใบ ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกแค่เพียงใส่หูฟังเท่านั้น ไม่ว่าจะใช้ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือว่าพูดคุยโทรศัพท์ หูฟังจัดว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว วันนี้จะมานำเสนอหูฟัง 3 ประเภทจาก 3 แบรนด์ดังตามแต่รูปแบบการใช้งานของแต่ละคนกัน

1. หูฟังไร้สาย XIAOMI TRUE 2 BASIC สีขาว



เชื่อว่า 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีท่านใดไม่รู้จักยี่ห้อ XIAOMI แน่ ๆ เพราะไม่ว่าจะออกผลิตภัณฑ์อะไรออกมาก็ใช้งานได้ดีเกินราคาทุกอย่างไป ในครั้งนี้จะมาแนะนำหูฟังไร้สายของเค้าให้ได้รู้จักกัน หูฟังลักษณะนี้เรียกได้ว่าฮิตที่สุดในยุคนี้ก็ว่าได้ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่ใช้หูฟังมีสายกันแล้ว ด้วยความที่พกพาสะดวก เล็ก น้ำหนักเบา สั่งงานได้ผ่านการสัมผัส ไม่ว่าจะรับสาย-วางสาย หรือกดเพลย์-กดพอสก็ทำได้ง่าย ๆ ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง แถมรุ่นนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Beamforming ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนระหว่างพูดสายโทรศัพท์ทำให้ปลายสายได้ยินเราอย่างชัดเจนอีกด้วย

2. หูฟังเกมมิ่ง 7.1 SIGNO HP-824 สีดำ



สำหรับเกมเมอร์ที่ผ่านเข้ามาต้องขอแนะนำหูฟังเกมมิ่งรุ่นนี้ของ SIGNO เลย ขอบอกว่าไม่ธรรมดาทั้งนี้เพราะถึงกับติดอันดับหูฟังเกมมิ่งแห่งปี 2021 เลยทีเดียว ก็นอกจากจะหุ้มด้วยหนังเทียมซึ่งทำให้ใส่ได้สบายหูแล้วยังมีน้ำหนักเบา เพิ่มความเก๋ด้วยไฟ LED ที่ทั้งหูฟังและไมโครโฟน พ่วงด้วยสายยาวถึง 2.2 เมตร ระบบซอฟต์แวร์เสียง 7.1 ที่จำลองสภาพแวดล้อมเสมือนจริง เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมมากขึ้น ไมโครโฟนปรับหมุนได้ ลดเสียงรบกวนรอบข้างด้วย

3. หูฟัง JBL ENDURANCE RUN สีดำ



เดี๋ยวนี้มีกระแสการกลับมาใช้หูฟังมีสายกันอย่างแพร่หลาย สวนกระแสหูฟังไร้สายที่กำลังเป็นที่นิยมของคนหมู่มากอยู่ในขณะนี้ ไหน ๆ จะสวนกระแสทั้งที ก็ขอแนะนำหูฟังดี ๆ จาก JBL ไปเลยดีกว่า แค่ได้ยินชื่อแบรนด์ก็รับรู้ได้ถึงคุณภาพเสียงที่จะได้รับจากหูฟังกันแล้ว นอกจากคุณภาพเสียงที่อัดแน่นยังมาพร้อมกับรูปลักษณ์สุดเท่ ยางหูฟังนิ่มไม่ระคายผิว แถมมีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อ เหมาะสมกับการใช้งานตอนออกกำลังกายด้วย

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TVA10

431
ในช่วงที่มลพิษทางอากาศเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน PM 2.5 บานปลายเกินการควบคุม โควิด-19 ก็ไม่มีท่าทีจะหยุดการแพร่ระบาดลงอีก การเอาใจใส่ตัวของเราเองคงเป็นทางออกที่ทั้งหมดสามารถทำได้ดีที่สุด นอกจากจะใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์กันตลอดทั้งวันแล้ว หากมีอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มความมั่นอกมั่นใจได้ก็คงดีไม่น้อย ระยะนี้หลาย ๆ บ้านน่าจะมีเครื่องฟอกอากาศติดบ้านกันอยู่แล้ว ในคราวนี้เลยอยากเสนอแนะให้รู้จักกับเครื่องฟอกอากาศแบบพกพา 3 รุ่น 3 สไตล์เผื่อใครสนใจพกไว้ใช้งานกัน

1. เครื่องฟอกแบบพกพาหน้ากาก LG AP551ABFA.ABAE



เครื่องฟอกอากาศพกพาแบบแรกที่นำมาแนะนำคือ หน้ากากฟอกอากาศ ของ LG นั่นเอง หน้ากาก LG อันนี้ดูภายนอกอาจจะเหมือนหน้ากากทั่วไปที่นิยมใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แต่ทั้งภายนอกและภายในของหน้ากากอันนี้แตกต่างจากหน้ากากธรรมดาทั่วไปอย่างมาก นอกจากจะมีพัดลมที่ช่วยในการระบายอากาศให้ถ่ายเทได้ดีแล้ว ยังมีแผ่นกรองอากาศที่ช่วยฟอกอากาศให้สะอาดก่อนที่เราจะสูดหายใจเข้าไป ภายนอกก็ไม่ได้ทำจากวัสดุเดียวกับหน้ากากอื่น ๆ แต่ทำมาจากซิลิโคนทางการแพทย์จึงทำให้แน่ใจได้เลยว่าปลอดภัย ไร้กังวลอย่างแน่นอน

2. เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา JYE DOUGHNUT



เครื่องฟอกอากาศพกพารุ่นที่ 2 ที่จะมาแนะนำคือของ JYE รุ่น DOUGHNUT มีรูปลักษณ์ที่น่ารัก มีขนาดเล็ก กะทัดรัด พกพาสะดวก สามารถสวมใส่ในชีวิตประจำวันได้แบบไม่เคอะเขิน มาพร้อมสร้อยคอทำให้สวมใส่ได้ง่าย ถึงขนาดจะเล็ก แต่บอกเลยว่าจิ๋วแต่แจ๋ว ด้วยเหตุว่าเจ้าเครื่องนี้สามารถปล่อยประจุลบประมาณ 5 ล้านประจุ/ลูกบาศก์เซนติเมตร เพื่อช่วยในการดักจับฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ ควันบุหรี่ หรือ PM 2.5 ก็ดักจับได้หมด ชาร์จไฟแค่เพียง 3 ชั่วโมงก็ใช้งานได้ยาวนานถึง 3 วันเลยทีเดียว

3. เครื่องฟอกอากาศแบบพกพา JEWELION 1.6ตารางเมตร



เครื่องฟอกอากาศแบบพกพารุ่นสุดท้ายที่ขอแนะนำในวันนี้ก็คือของยี่ห้อ JEWELION ที่เค้าเคลมไว้เลยว่าสามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ในรัศมี 1 ตารางเมตร สามารถกรองสารปนเปื้อน และสารพิษร้ายแรงได้ ปล่อยประจุลบ 19 ล้านประจุต่อตารางเซนติเมตร เพื่อดักจับฝุ่นให้ฝุ่นตกลง ภายใน 0.6 วินาที ประสิทธิภาพเหนือชั้นขนาดนี้แต่ราคาไม่ได้ต่างจากหน้ากากฟอกอากาศมากนัก ยิ่งไปกว่านี้ยังมาพร้อมรูปลักษณ์ที่สวยงาม ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาง่ายแค่คล้องคอหรือวางไว้ใกล้ ๆ ตัวก็สามารถทำงานได้อย่างทั่วถึง ชาร์จไฟหนึ่งครั้งใช้งานได้นานถึง 3 วัน และยังสามารถใช้ได้ในทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้ป่วยหอบหืดอีกด้วย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0203

432
เวลาเราไปเที่ยวที่ไหนไกล ๆ คนส่วนใหญ่คงจะเป็นห่วงการจัดกระเป๋าเสื้อผ้า ว่าจะมีชุดสวยเข้ากับสถานที่และบรรยากาศมากพอหรือเปล่า แต่สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ไม่แพ้เครื่องแต่งกายที่ต้องเตรียมให้เหมาะกับสภาพอากาศ บรรยากาศและสถานที่ที่ไปนั่นก็คือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการแคมปิ้งนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์ ไฟฉาย เสื่อ ถุงนอน ฯลฯ ส่วนครั้งนี้จะมาแนะนำของ 3 อย่างที่อย่าพลาดที่จะพกไปแคมปิ้งด้วยเป็นที่สุด

1. กระติกน้ำแข็ง



หนึ่งในของที่มีทุกบ้านที่ควรนำไปแคมปิ้งด้วยเป็นอย่างยิ่งก็คือ กระติกน้ำแข็ง นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในบ้าน งานปาร์ตี้บริษัท หรือไปปิกนิกก็ขาดกระติกน้ำแข็งไปไม่ได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นงานใด ก็ต้องการที่เก็บความเย็นกันทั้งนั้น กระติกแบบนี้ทั้งหาซื้อไม่ยากและใช้งานได้ทนทานนานหลายปี และยังทนต่อสภาพอากาศ นอกจากจะป้องกันความชื้นจากภายนอกเข้าไปในกระติกได้แล้ว ยังทนความร้อนได้ดีอีกด้วย เป็นของที่ราคาไม่แพงแต่เรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว

2. ถังเก็บความเย็น



ขั้นกว่าของกระติกน้ำแข็งก็ต้องเป็นถังเก็บความเย็นนี่แหละ กระติกน้ำแข็งอาจรักษาความเย็นได้ประมาณ 10 ช.ม. แต่เจ้าถังนี้สามารถเก็บความเย็นได้ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง หรือ 3 วันกันเลยทีเดียว ใครไปแคมปิ้งไกล ขึ้นเขา ขึ้นดอยแล้วต้องการรักษาความสดของอาหารเอาไว้ สมควรสุด ๆ ที่จะต้องหาซื้อติดบ้านไว้สักถัง ถึงแม้ราคาจะสูงมาก แต่ก็คุ้มค่า คุ้มราคาแน่นอน มีหลายขนาดความจุให้เลือกตามความต้องการ เรื่องความทนทานชนะเจ้ากระติกน้ำแข็งด้านบนแน่นอน ยังไงก็ลองเลือกที่เหมาะสมกับการใช้งานกันดูนะ

3. ถังน้ำดื่ม



ไปแคมปิ้งทั้งที ก็คงไม่มีท่านใดต้องการแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อน้ำบ่อย ๆ แน่ ๆ การซื้อน้ำไปตุนครั้งเดียวแล้วพกถังน้ำดื่มไปด้วยสักถังตั้งไว้นอกเต็นท์ ก็จะช่วยประหยัดเวลา แถมสะดวกต่อการกดดื่มอีกด้วย เนื่องมาจากสมัยนี้ถังน้ำดื่มมีก๊อกกดน้ำในตัว บางรุ่นมีฝาปิดจุกเพื่อป้องกันแมลงหรือสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปได้ด้วย พกพาสะดวก สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย ใช้งานได้ในอุณหภูมิตั้งแต่ -10 ถึง 50 องศาเซลเซียส ใช้งานกลางแจ้งได้สบาย ๆ แต่ก็ควรระวังความร้อนจัดจนเกินไป เพราะอย่างไรวัสดุก็ผลิตจากพลาสติก ถึงอย่างนั้นก็ล้างเก็บใช้งานได้อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเก็บกลับไปใช้ที่บ้านหรือนำไปตั้งกลางที่ทำงานก็สามารถทำได้เช่นกัน

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/KIT030501

433
สำหรับผู้หญิงแล้วทรงผมนั้นก็เปรียบเสมือนมงกุฏประดับศีรษะ ที่เป็นเครื่องแสดงออกถึงตัวตนและความงดงามของพวกเธอ ซึ่งถ้าหากจะพูดถึงอุปกรณ์ที่จะช่วยให้สาว ๆ สามารถจัดทรงผมให้เป๊ะปังก็คงจะหนีไม่พ้น “ที่ม้วนผมไฟฟ้า” อุปกรณ์เอนกประสงค์ที่สามารถ ม้วน ดัดลอน และแต่งทรงผมให้เป็นไปตามใจต้องการ ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิว 4 เครื่องม้วนผมแบรนด์ดัง ของดีคุ้มค่าคุ้มราคา ถ้าอยากรู้ว่าจะมี โรลม้วนผมรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย

1. แกนม้วนผม LESASHA LS0806
ราคา 2,590 บาท



LESASHA LS0806 แกนม้วนผมคุณภาพสูงคุ้มค่า สามารถจัดแต่งทรงผมทั้งม้วนและดัดลอนได้ในขั้นตอนเดียว ตัวเครื่องถูกดีไซน์ให้มีน้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัด จับถนัดมือ สามารถพกพาและจัดเก็บได้สะดวก มีจุดดีที่พลังทัวร์มาลีนสีฟ้าช่วยปกป้องและถนอมเส้นผม สามารถปรับอุณหภูมิได้ถึง 4 ระดับ มีฟังก์ชั่นบอกอุณหภูมิขณะใช้งาน มีระบบไฟฟ้า 2 ระบบทำให้ใช้งานได้กับทุกที่ อีกทั้งยังมีการรับประกันตัวเครื่องให้นานถึง 2 ปีเต็ม

2. แกนม้วนผม REMINGTON CI-9132
ราคา 1,890 บาท



REMINGTON CI-9132 เครื่องม้วนผมที่ช่วยให้คุณสามารถจัดทรงสวยได้อย่างมืออาชีพ ด้วยเทคโนโลยี OPTI ตัวแกนจะปล่อยความร้อนในระดับที่พอเหมาะ คงที่ และสม่ำเสมอในระหว่างม้วน ช่วยให้ลอนผมอยู่ทรงนานขึ้น ตัวเครื่องถูกออกแบบให้ดูทันสมัย พกพาสะดวก ตัวแกนความร้อนมีขนาด 32 มม. ให้ความร้อนสูงได้ถึง 120 - 210 องศาเซลเซียส ร้อนเร็วภายใน 30 วินาที มีระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือหากอุปกรณ์มีอุณหภูมิสูงจนเกินไป มีการรับประกันสินค้าให้ 2 ปีเต็ม

3. แกนม้วนผม NOBBY BY TESCOM NTIR2632
ราคา 1,590 บาท



NTIR2632 แกนม้วนผมคุณภาพในราคาไม่แพง เป็นแกนม้วนผม 2 ฟังก์ชั่นที่สามารถใช้งานทั้งการม้วนผม และหนีบผม สามารถจัดแต่งทรงผมได้ตามต้องการภายในเครื่องเดียว ตัวแกนม้วนมีขนาด 32 มิลลิเมตร ปรับอุณหภูมิความร้อนได้ถึง 21 ระดับ ตั้งแต่ 100-200 องศาเซลเซียส ร้อนเร็วภายใน 25 วินาที มีการประกันสินค้าให้ 2 ปีเต็ม

4. แกนม้วนผม REMINGTON CI-8019
ราคา 2,390 บาท



REMINGTON CI-8019 แกนม้วนผมสุดล้ำ ดีไซน์เรียบหรูดูทันสมัย ใช้แกนความร้อนแอดวานซ์เซรามิคเคลือบด้วยเคราตินและน้ำมันอัลมอนด์ สามารถปรับความร้อนได้ 7 ระดับ ตั้งแต่ 130-230 องศา ร้อนเร็วภายใน 30 วินาที แสดงผลผ่านหน้าจอ LCD ดิจิตอล มีฟังก์ชั่นอัตโนมัติมากมายให้เลือกใช้งาน เช่น สามารถตั้งเวลาการเซ็นทรงได้ 4 ระดับ และฟังค์ชั่น Pro+ ที่ช่วยถนอมสุขภาพของเส้นผม มีการการันตีสินค้าให้ 2 ปีเต็ม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP160104

434
เครื่องตีแป้งหรือที่หลาย ๆ คนเรียกอีกชื่อคือเครื่องผสมอาหาร ถือเป็นเครื่องครัวยุคใหม่ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้การทำอาหารหรือทำขนมของคุณสะดวกขึ้น แต่สำหรับแม่ครัวมือใหม่ที่ไม่เคยใช้ หรือไม่เคยมีเครื่องตีแป้งเป็นของตัวเองมาก่อน ก็คงจะสับสนว่าควรจะเลือกซื้อเครื่องตีแป้งรุ่นไหนแบรนด์อะไรดี ว่าแล้วเราก็จะมาแชร์ 4 ปัจจัยที่คุณ ๆต้องคำนึงก่อนจะตัดสินใจสั่งซื้อเครื่องผสมอาหาร ถ้าอยากทราบว่าจะมีอะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย



1. ชนิดและขนาด
เครื่องตีแป้งเป็นอุปกรณ์ทำขนมที่มีให้เลือกใช้งานหลากหลายทั้งชนิดและขนาด ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีลักษณะการใช้งานแตกต่างกันไป ฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อท่านควรคิดมาแล้วว่าคุณจะเอาเครื่องตีแป้งไปทำอะไร อาทิเช่น ถ้าหากคุณ ๆแค่อยากหัดทำขนมและต้องการอุปกรณ์สำหรับตีไข่ขาวกับครีม คุณก็เหมาะกับเครื่องตีแป้งมือถือซึ่งเป็นเครื่องขนาดเล็กและราคาประหยัด แต่ถ้าหากคุณ ๆกำลังทำธุรกิจเบกอรี่และต้องการเพิ่มปริมาณกับความรวดเร็วในการทำงาน คุณก็ควรสั่งซื้อเครื่องตีแป้งแบบตั้งโต๊ะขนาดใหญ่จึงจะเหมาะสมนั่นเอง

2. ราคาของเครื่องตีแป้ง
ราคา นับเป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อสินค้าทุกชนิดซึ่งก็รวมถึงเครื่องตีแป้งด้วย โดยสำหรับการเลือกซื้อเครื่องตีแป้งนั้นคุณไม่จำเป็นต้องเลือกซื้อเลือกหาเครื่องราคาแพงเสมอไปแต่ให้เน้นดูที่การใช้งานเป็นหลัก ก็เพราะว่าบางครั้งคุณอาจจะเลือกเครื่องราคาสูงฟังก์ชั่นครบ แต่คุณไม่เคยได้ใช้ฟังก์ชั่นเหล่านั้น มันก็จะเป็นการเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์

3. กำลังไฟ
กำลังไฟเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านต้องคิดถึงในการเลือกซื้อเครื่องตีแป้ง เหตุเพราะกำลังไฟเป็นส่วนที่แสดงถึงประสิทธิภาพและข้อจำกัดของตัวเครื่องว่ามีลิมิตแค่ไหน ตัวอย่างเช่น เครื่องตีแป้งแบบมือถือ โดยส่วนใหญ่จะมีกำลังไฟอยู่ที่ 100-200 วัตต์ ทำให้มันเหมาะจะใช้กับการทำขนมเล็ก ๆ น้อย ซึ่งถ้าหากคุณต้องทำขนมขายเป็นอาชีพ หรือต้องผสมอาหารสำหรับคนจำนวนมากก็ควรเลือกหาเครื่องตีแป้งตั้งโต๊ะที่มีกำลังไฟ 800-1,000 วัตต์ ขึ้นไปจึงจะดีที่สุด

4. ระดับความเร็วที่ปรับได้
เครื่องตีแป้งแต่รุ่นจะมีปุ่มสำหรับปรับความเร็วในการหมุนของหัวตีแป้งได้หลายระดับไม่เท่ากัน โดยบางรุ่นอาจจะปรับได้แค่ 1-3 ระดับ แต่สำหรับเครื่องราคาแพงก็อาจจะปรับได้มากถึง 10 ระดับ ซึ่งคุณ ๆจะต้องศึกษามาให้ดีว่าวัตถุประสงค์ในการใช้ของคุณเหมาะกับความเร็วขนาดไหน และเครื่องที่คุณต้องการซื้อสามารถตอบโจทย์ได้หรือไม่

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080604

435
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยปกติสูงกว่า 30 องศา แต่ในวันที่ร้อนจัดอุณหภูมิอาจขึ้นสูงจนทะลุ 40 องศาได้เลย ด้วยเหตุนี้ตัวช่วยลดอุณหภูมิอย่างเครื่องปรับอากาศหรือ “แอร์” จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทย แต่แอร์นั้นก็มีข้อจำกัดในการใช้งานเนื่องจากมันเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้(จริง ๆ ก็ทำได้แต่ค่อนข้างลำบาก) แต่ปัญหานี้จะหมดไปถ้าหากคุณเปลี่ยนมาใช้งานแอร์พกพา เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ท่านสามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานในที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น ว่าแล้วในครั้งนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของแอร์เคลื่อนที่ ความเย็นแบบพกพาที่คุณควรมีไว้



1. สามารถขยับและเคลื่อนย้ายได้
จุดเด่นที่สุดของแอร์แบบพกพาคือมันสามารถขยับเคลื่อนย้ายได้ ทำให้มันกลายเป็นตัวช่วยทำความเย็นเอนกประสงค์ ที่สามารถนำไปทำความเย็นได้ในหลาย ๆ โอกาส

2. ใช้งานในที่แจ้งหรือสถานที่เปิดได้
อีกประโยชน์ของแอร์พกพาก็คือมันสามารถนำมาใช้ลดอุณหภูมิในสถานที่กลางแจ้งหรือสถานที่เปิดได้ ขอเพียงแค่คุณมีปลั๊กไฟให้แอร์ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

3. ให้ความเย็นได้ดีไม่แพ้แอร์ติดผนัง
แอร์พกพานั้นสามารถทำความเย็นได้ดีไม่แพ้แอร์ติดผนัง ด้วยเหตุว่าประสิทธิภาพการทำงานของแอร์นั้นขึ้นอยู่กับค่าบีทียูของตัวเครื่อง ซึ่งแอร์พกพาก็สามารถมีค่าบีทียูสูง ๆ ได้เช่นกัน

4. ดูแลรักษาและทำความสะอาดง่าย
ด้วยความที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าตั้งพื้น ทำให้แอร์พกพานั้นสามารถทำความสะอาดและบำรุงรักษาได้ง่าย ต่างกับแอร์ติดผนังที่แค่จะล้างยังต้องปีนบันไดขึ้นไปทำความสะอาด

5. ราคาไม่แพงอย่างที่คิด
แอร์เคลื่อนที่ ราคาไม่แพงอย่างที่ใครคิด ด้วยว่าตลาดแอร์เคลื่อนที่นั้นมีการแข่งขันที่สูง ทำให้แต่ละแบรนด์ต้องแข่งขันกับแอร์ของเจ้าอื่น ๆ ส่งผลให้แอร์รุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดมักจะมีคุณภาพดีขึ้นในราคาที่ถูกลง

6. มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย
แอร์พกพารุ่นใหม่ ๆ นั้น จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ เพิ่มเข้ามามากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดการใช้งานต่าง ๆ ฟังก์ชั่นประหยัดพลังงาน ฟังก์ชั่นการควบคุมด้วยรีโมท หรือแม้แต่ฟังก์ชั่นสั่งการด้วยเสียงก็ยังมีให้เห็น เช่นกัน

7. มีหลายรุ่นหลายเกรดให้เลือกสรร
ปัจจุบันแอร์พกพาเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้บริษัทแอร์ทั้งหลายต้องผลิตสินค้ารุ่นใหม่ ๆ กันออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าตัวเลือกของผู้บริโภคก็จะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยในปัจจุบันมีแอร์พกพาหลายรุ่นหลายเกรดให้เลือกสรรได้ตามความต้องการ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0104

436
น้ำยาปรับอากาศ เป็นตัวช่วยบำบัดอากาศที่ทุก ๆ บ้านต้องมีติดบ้านไว้ เนื่องจากนอกจากจะช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หายไปแล้ว น้ำยาบางชนิดยังทำหน้าที่กำจัดแบคทีเรียและสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ช่วยให้ผู้อาศัยมีคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นได้อีกด้วย โดยน้ำยาปรับอากาศที่มีการผลิตออกมานั้นมีด้วยกัน 3 แบบ คือ เจลปรับอากาศ น้ำหอมปรับอากาศ และสเปรย์ปรับอากาศ โดยในวันนี้เราก็จะมารีวิวตัวช่วยปรับอากาศทั้ง 3 ชนิดว่าแต่ละแบบต่างกันอย่างไรและมีข้อดีข้อเสียเช่นไร ถ้าอยากรู้แล้วก็ตามมาดูกันได้เลย

1. เจลปรับอากาศ



เจลปรับอากาศหรือที่หลายคนนิยมเรียกว่าเจลดับกลิ่น น้ำหอมปรับอากาศที่มาในรูปแบบก้อน เป็นตัวช่วยปรับอากาศแบบกระจายกลิ่น แค่เพียงท่านวางเจลปรับอากาศไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ในห้องนอน ห้องน้ำ หรือห้องนั่งเล่น หรือในรถยนต์ กลิ่นของเจลก็จะค่อย ๆ กระจายสร้างความหอมไปทั่วห้อง ต้องบอกว่าเจลปรับอากาศนั้นเป็นตัวช่วยเอนกประสงค์ราคาถูก ๆที่นอกจากจะช่วยสร้างกลิ่นหอมแล้ว ยังสามารถบำบัดอากาศ และช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย หากจะพูดถึงข้อเสียของเจลปรับอากาศก็คงจะเป็นระยะของกลิ่นหอมที่ไม่ค่อยกว้าง และมีอายุการใช้งานแค่ราว ๆ 1 เดือนเท่านั้น

2. สเปรย์ปรับอากาศ



สเปรย์ปรับอากาศ คือน้ำหอมปรับอากาศที่ถูกนำมาบรรจุกระป๋องและใช้งานในรูปแบบของสเปรย์ มีคุณสมบัติในการบำบัดอากาศ กำจัดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสารก่อภูมิแพ้ ช่วยดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ ให้ห้องมีกลิ่นหอมสดชื่น ข้อดีคือใช้งานง่ายแค่เขย่ากระป๋องแล้วฉีด สามารถใช้บำบัดอากาศได้อย่างทันท่วงที และใช้ได้กับทุกที่ทุกห้องแบบไม่จำกัดระยะไม่ว่าจะห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ หรือรถยนต์ ข้อเสียคือราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งเวลาฉีดออกมาจะเป็นละออกฟุ้งในอากาศจึงไม่เหมาะกับคนที่มีอาการแพ้สารเคมี

3. น้ำหอมปรับอากาศ



น้ำหอมปรับอากาศเป็นตัวช่วยบำบัดอากาศแบบกระจายกลิ่นเหมือนกันกับเจล แค่เพียงเปิดฝาและตั้งทิ้งไว้ตามห้องต่าง ๆ ก็จะสร้างกลิ่นหอม ช่วยบำบัดอากาศ และช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตามน้ำหอมปรับอากาศจะต่างกับเจลปรับอากาศตรงที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบก้อนเจล แต่จะเป็นน้ำหอมระเหยที่ให้กลิ่นที่เข้มข้นกว่าทำให้ไม่เหมาะจะใช้ในห้องแคบ ๆ ก็เพราะว่าอาจทำให้กลิ่นแรงจนเกินไป นอกจากนี้ข้อดีอีกอย่างของน้ำหอมปรับอากาศที่เหนือกว่าเจลปรับอากาศ คือมีอายุการใช้งานที่ค่อนข้างนาน ซึ่งก็แลกมากับราคาที่แพงกว่านั่นเอง

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0101

437
สว่านแบตหรือสว่านไร้สาย เป็นเครื่องมือช่างเอนกประสงค์ที่ใช้งานได้หลากหลายทั้งงานเจาะ งานซ่อม ประกอบยึดติด หรืองาน DIY ทั่ว ๆ ไป ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด พกพาสะดวก อีกทั้งยังใช้งานง่าย จึงทำให้สว่านประเภทนี้เป็นที่นิยมในหมู่ช่างทั้งหลาย อย่างไรก็ตามสว่านไร้สายในท้องตลาดนั้นมีให้เลือกซื้อกันหลากหลายรุ่นหลายยี่ห้อ จนหลาย ๆ คนอาจจะไม่รู้ว่าควรจะซื้อสว่านแบรนด์ไหนดี คราวนี้เราก็จะมารีวิวสว่านแบตไร้สายคุณภาพเยี่ยม 4 รุ่น 4 แบรนด์ พร้อมทั้งบอกจุดแข็งของแต่ละรุ่น ถ้าอยากทราบว่าจะมีสว่านของยี่ห้ออะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย

1. สว่านไร้สาย MAKITA DF333DWYE
ราคาขายรวมแบตเตอรี่และแท่นชาร์จอยู่ที่ 3,630 บาท



สว่านไร้สาย makita DF333DWYE สว่านคุณภาพมาตรฐานระดับสากล กำลังไฟฟ้า 12 โวลต์ ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพใช้ได้กับทั้งงานไม้ งานเหล็ก งานซ่อม และงาน DIY ทั้งหลาย ถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก จัดเก็บง่าย ด้ามจับกระชับมือง่ายต่อการใช้งาน สามารถระบายความร้อนได้ดี และมีการรับประกันสินค้านานถึง 6 เดือน

2. สว่านไร้สาย STANLEY SCH121S2-B1
ราคาจำหน่ายรวมแบตเตอรี่และแท่นชาร์จอยู่ที่ 2,890 บาท


STANLEY SCH121S2-B1 สว่านไร้สายเอนกประสงค์ สินค้าคุณภาพมาตรฐานระดับสากลในราคาจับต้องได้ สามารถตอบโจทย์ทุกงานช่างทั้งงานเจาะทั่วไป จนถึงงานประกอบยึดติด ตัวสว่านถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย มีขนาดกระทัดรัด น้ำหนักเบา ทำให้พกพาสะดวก สามารถใช้งานในที่แคบได้อย่างสบาย มีช่องระบายอากาศช่วยในการระบายความร้อน แน่ใจในการใช้งานได้อย่างเต็มที่ด้วยประกันยาวนานถึง 2 ปีเต็ม

3. สว่านไร้สาย BOSCH GSR120-LI
ราคารวมแบตเตอรี่และแท่นชาร์จอยู่ที่ 2,990 บาท


BOSCH GSR120-LI สว่านคุณภาพมาตรฐานจากโรงงาน กำลังไฟฟ้า 12 โวลต์ ราคาไม่แพง เป็นเครื่องมือเอนกประสงค์ช่วยให้ทำงานง่าย งานเสร็จเร็ว อีกทั้งยังทำได้หลายหลายทั้งงานช่าง งานไม้ งานเหล็ก หรืองาน DIY ต่าง ๆ ตัวสว่านถูกออกแบบโดยคำนึงถึงสรีระและการใช้งาน แต่จะเน้นไปที่ขนาดกะทัดรัด เพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน สามารถมั่นใจในการใช้งานด้วยการรับประกันสินค้า 6 เดือน ตามเงื่อนไขที่ผู้ขายกำหนด

4. สว่านไร้สาย HYUNDAI HD-BD685
ราคาขายรวมแบตเตอรี่และแท่นชาร์จอยู่ที่ 1,590 บาท


HYUNDAI HD-BD685 สว่านไร้สายราคาประหยัด กำลังไฟ 12 โวลต์ ผลิตจากพลาสติกคุณภาพดีมาตรฐานจากโรงงาน สามารถทนความร้อนสูงและไม่ติดไฟ ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา พกพาสะดวก สะดวกต่อการใช้งานรวมถึงการจัดเก็บ ด้ามจับออกแบบตามหลักสรีระ ช่วยให้จับง่ายและจับถนัดกระชับมือยิ่งขึ้น มั่นใจไร้กังวลด้วยการรับประกันสินค้ายาวนานถึง 6 เดือน

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO110503

438
เตาปิ้งย่างหรือเตาหมูกระทะไฟฟ้า เป็นเตาที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานภายในบ้านโดยเฉพาะ ด้วยความที่ใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีราคาถูก ๆทำให้ได้รับความนิยมมากในยุคปัจจุบันนี้ ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของการมีเตาปิ้งย่างไฟฟ้าไว้ติดบ้าน ถ้าอยากทราบว่าจะมีอะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย



1. ควันน้อย กินในบ้านได้
เตาปิ้งย่างไฟฟ้าเป็นเตาอุณหภูมิสูง ร้อนเร็ว และควันน้อยทำให้สามารถใช้ปรุงอาหารกินกันในบ้านได้ โดยไม่ต้องมีเครื่องดูดควันขอแค่คุณเปิดหน้าต่างเพื่อระบายกลิ่นของอาหารไม่ให้ติดบ้านเท่านี้ก็สามารถเพลิดเพลินกับมื้ออาหารกันได้ทั้งครอบครัว

2. ประหยัดกว่าการไปกินที่ร้าน
แน่นอนว่าอาหารที่ทำกินเองก็ย่อมต้องประหยัดกว่าการไปกินที่ร้านอาหาร ซึ่งมีการบวกกำไรและค่าบริการเพิ่มเข้ามาด้วย นอกจากนี้การทำปิ้งย่างกินเองที่บ้านยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันที่ใช้เดินทางไปร้านอาหารอีกต่างหาก

3. มีความเป็นส่วนตัว
การมีกระทะปิ้งย่างไว้ที่บ้านจะทำให้มื้ออาหารของคุณ ๆมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพราะว่าเป็นการรับประทานอาหารร่วมกันเฉพาะกับคนในครอบครัวหรือกับเพื่อน ๆ นอกจากนี้คุณยังสามารถกินปิ้งย่างพร้อมกับทำกิจกรรมที่ชอบ อาทิเช่น การดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรืออะไรก็ได้ตามใจ เพราะคุณอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนั่นเอง

4. มั่นอกมั่นใจในคุณภาพของอาหาร
การทำปิ้งย่างกินเองที่บ้านจะทำให้ท่านสามารถมั่นใจในคุณภาพของอาหารมากขึ้น ทั้งนี้เพราะคุณเป็นคนเตรียมวัตถุดิบและปรุงเองกับมือ

5. พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก
เตาปิ้งย่างไฟฟ้านั้นมีขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเบา ทำให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก ไม่ว่าคุณจะไปออกทริป ตั้งแคมป์ เดินป่า ปิคนิค หรือไปท่องเที่ยวทะเล หรือแค่ไปนั่งเล่นห้องเพื่อน ถ้าหากคุณมีเตาปิ้งไฟฟ้าไปด้วยก็สามารถจัดปาร์ตี้ปิ้งย่างได้ทันที

6. เป็นการสานสัมพันธ์กันในครอบครัว
ถ้าคุณมีเตาปิ้งไฟฟ้าไว้ติดบ้านก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้ครอบครัวได้รับประทานข้าวร่วมกันบ่อยมากขึ้น กินไปสนทนากันไป นับเป็นการสานสัมพันธ์กันในครอบครัวและช่วยเพิ่มอรรถรสในการทานให้อาหารอร่อยขึ้น

7. มีความปลอดภัยกว่าการใช้เตาย่างที่ใช้แก๊ส
เตาย่างไฟฟ้านั้นปลอดภัยกว่าเตาย่างที่ใช้แก๊สที่ต้องคอยเปลี่ยนกระป๋องแก๊สบ่อย ๆ อีกทั้งเตาย่างไฟฟ้าคุณภาพดี ๆ ยังมีระบบนิรภัยที่จะทำการตัดไฟเมื่ออุณหภูมิของเตาร้อนจนเกินไปอีกด้วย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0807

439
เมื่อกล่าวถึงเก้าอี้พับหลาย ๆ ท่านคงจะนึกถึงเก้าอี้พับได้ที่โครงทำจากเหล็ก มีส่วนเบาะนั่งและพนักพิงเป็นพลาสติก ซึ่งเหตุผลที่เราคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดีก็เพราะเก้าอี้พับคือเฟอร์นิเจอร์เอนกประสงค์ยอดนิยมที่มีให้เห็นกันทุกบ้าน ว่าแล้วในคราวนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของเก้าอี้พับว่ามีอะไรบ้าง ถ้าใครอยากทราบก็ตามมาดูกันได้เลย



1. เป็นเก้าอี้เอนกประสงค์ใช้งานได้เอนกประสงค์
เก้าอี้พับ ถือเป็นเก้าอี้เอนกประสงค์ที่ใช้งานได้หลายหลาย ไม่ว่าจะใช้เป็นเก้าอี้ปิคนิคเวลาออกไปเที่ยวนอกบ้าน ใช้เป็นเก้าอี้เสริมสำหรับแขกที่มาเยือน(ในกรณีที่เก้าอี้หลักมีไม่พอ) ใช้ในงานแสดงสินค้า ร้านอาหาร ตลาดนัด หรือแม้แต่จะเอาไปสรรสร้างเป็นงานศิลปะก็ยังทำได้ ด้วยคุณสมบัติที่ค่อนข้างทนทานแข็งแรงและราคาถูกทำให้ประโยชน์ของมันนั้นแทบจะไร้ขีดจำกัด

2. น้ำหนักเบาพกพาสะดวก
นอกจากส่วนโครงเหล็กแล้ว โดยส่วนใหญ่ตรงที่นั่งและพนักพิงของเก้าอี้พับมักจะทำมาจากพลาสติกทำให้มีน้ำหนักโดยรวมค่อนข้างเบา อีกทั้งมันยังสามารถพับเก็บได้ทำให้เปลี่ยนที่ และพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกเวลาจัดเก็บก็ไม่กินเนื้อที่

3. มีวัสดุหลายชนิดให้เลือก
อีกสาเหตุที่ทำให้เก้าอี้พับนั้นเป็นเป็นเฟอร์นิเจอร์เอนกประสงค์ที่ได้รับความนิยม นั่นก็เพราะมันเป็นเฟอร์ที่มีวัสดุหลากหลายชนิดให้เลือกตั้งแต่พลาสติก ไม้ อลูมิเนียม ไปจนถึงเก้าอี้พับโครงเหล็กซึ่งได้รับความนิยมมากที่สุด โดยราคาของเก้าอี้ก็จะแตกต่างกันไปตามวัสดุที่ใช้นั่นเอง

4. หาซื้อง่ายๆและราคาถูก
เก้าอี้พับนั้นเป็นของที่แทบทุกบ้านต้องใช้งานทำให้มันหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายเฟอร์นิเจอร์ ศูนย์การค้า รวมถึงร้านค้าออนไลน์ อีกทั้งยังมีราคาถูกแสนถูกโดยเก้าอี้พับเหล็กคุณภาพสูง ๆ จะมีราคาอยู่ที่ราว ๆ 1,000-1,200 บาทต่อตัว เท่านั้น

5.ทนทาน และมีอายุการใช้งานนาน
เก้าอี้พับนั้นคุณภาพดี ๆ จะมีความทนทาน ความยืดหยุ่น และอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดยส่วนใหญ่จะสามารถทนต่อแรงกระแทก การแตกหัก และการงอ อีกทั้งยังมีการเคลือบสารป้องกัน UV เพื่อให้สามารถทนแดด ทนฝน และทนความร้อนได้ดีอีกด้วย

6. ดูแลรักษาและทำความสะอาดได้ง่าย
เก้าอี้พับเป็นเก้าอี้ที่ดูแลรักษาและทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย แค่เพียงล้างและเช็ดด้วยผ้าแห้งหลังจากใช้งานก็จะทำให้เก้าอี้ดูใหม่และสะอาดอยู่ตลอดเวลา

7. รองรับน้ำหนักได้เยอะจนน่าตกใจ
เก้าอี้พับเป็นเก้าอี้ที่ถูกออกแบบให้คนนั่งแบบกระจายน้ำหนักจึงทำให้มันสามารถรับน้ำหนักได้มากจนน่าตกใจ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเก้าอี้พับเหล็กจะสามารถรับน้ำหนัก(แบบกระจายน้ำหนัก)ได้มากถึง 120 Kg.

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

440
ในยุคปัจจุบันที่ฝุ่นผง สิ่งสกปรก และมลพิษซึ่งสามารถทำอันตรายกับผิวหน้าของเราลอยอยู่เต็มอากาศ ทิชชู่เช็ดหน้าได้ถูกเพิ่มบทบาทให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีความจำเป็น และต้องพกติดตัวเอาไว้ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ตลาดกระดาษทิชชู่ในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงทั้งในด้านคุณภาพและราคา ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิว 5 ทิชชู่เช็ดหน้าคุณภาพสูงในราคาประหยัดจาก 5 แบรนด์ดังที่คุณ ๆควรพกติดตัวเอาไว้ ถ้าอยากรู้ว่าจะมีทิชชู่ของแบรนด์อะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย

1. ทิชชู่เช็ดหน้า PORRIN SOFT PACK  จำนวน 150 แผ่น ราคาจำหน่าย 85 บาท



PORRIN SOFT PACK กระดาษเช็ดหน้าหนา 2 ชั้น ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ปราศจากสารเรืองแสง ย่อยสลายง่ายไม่อุดตัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีจุดดีที่เนื้อกระดาษที่ให้สัมผัสนุ่ม เหนียว และไม่ติดผิวขณะเช็ดทำความสะอาด สามารถซึมซับของเหลวได้ดีสามารถใช้ซับเหงื่อ หรือเช็ดหน้าให้รู้สึกสะอาดสดชื่นได้

2. กระดาษทิชชู่เช็ดหน้า KLEENEX BE U  จำนวน 140 แผ่น แพ็ค 3 ราคาจำหน่าย 107 บาท



KLEENEX BE U ทิชชู่เช็ดหน้าคุณภาพสูง ให้สัมผัสอันแสน นุ่มนวล อ่อนโยน ขณะใช้ ทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ธรรมชาติ ที่ผ่านการอบด้วยความร้อน 300 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถมั่นอกมั่นใจในความสะอาดได้แบบ 100% มีส่วนผสมพิเศษเป็นสารสกัดจากแตงกวาเพื่อสัมผัสเนียนนุ่นที่เหนือกว่า มาพร้อมบรรจุภัณฑ์ดีไซน์สวยงามเหมาะจะพกติดตัวไปใช้งานในทุก ๆ ที่

3. กระดาษเช็ดหน้า CELLOX DECOR
จำนวน 140 แผ่น แพ็ค 3 ราคาจำหน่าย 117 บาท



CELLOX DECOR ทิชชู่เช็ดหน้าที่ผ่านการทดสอบจากสถาบันแพทย์ผิวหนังว่า อ่อนโยน และไม่ระคายเคืองผิว ตัวกระดาษทำจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์คุณภาพดี ซึ่งผ่านการอบความร้อนที่ 250 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถมั่นใจในความสะอาดปลอดภัย มีสารสกัดจาก \"เชียบัตเตอร์\" เพื่อสัมผัสเนียนนุ่มมากขึ้นขณะใช้ อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี \"Germ Clear Plus\" ที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้มากถึง 99.9%

4. กระดาษเช็ดหน้า ZILK SOFT PACK
ปริมาณ 150 แผ่น แพ็ค 3 ราคาจำหน่าย 79 บาท



ZILK SOFT PACK กระดาษเช็ดหน้าที่ผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ คุณภาพดี ให้สัมผัส นุ่ม อ่อนโยน มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทรีเรียถึง 99% เป็นสินค้ายอดนิยม มีคุณภาพในราคาเซฟๆ มาพร้อมลวดลายสุดน่ารักบนบรรจุภัณฑ์

5. กระดาษเช็ดหน้า SCOTT BOX
จำนวน 115 แผ่น แพ็ค 4 ราคา 98 บาท



SCOTT BOX กระดาษเช็ดหน้าคุณภาพดีความหนา 2 ชั้น ราคาสุดคุ้ม ผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์และคอนตอนธรรมชาติชั้นดี ทำให้กระดาษมีความเหนียว ให้สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่เปื่อยง่าย ไม่เป็นขุย ผสมสารสกัดจากแตงกวาช่วยบำรุงผิว มาพร้อมบรรจุภัณฑ์สีสันสดใสสวยงาม

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

441
สำหรับท่านที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่างการเดินป่า ขึ้นเขา คงจะชินกับเก้าอี้โครงเหล็กพับได้ที่มีเบาะนั่งและพนักพิงเป็นผ้าขึงเอาไว้ ซึ่งเราเรียกเก้าอี้แบบนี้ว่า “เก้าอี้สนาม” โดยเก้าอี้ประเภทนี้เป็นที่นิยมสำหรับนักเดินทางสายลุย เนื่องจากสามารถพกพาไปที่ต่าง ๆ และใช้เป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจได้ แต่นอกจากที่กล่าวมาเก้าอี้สนามก็ยังเป็นเก้าอี้เอนกประสงค์ที่มีประโยชน์อีกมากมาย ว่าแล้วในวันนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของเก้าอี้สนาม ถ้าอยากทราบว่าเก้าอี้ตัวนี้มีดีอย่างไรก็ตามมาดูกันได้เลย



1. น้ำหนักเบาพกพาไปไหนมาไหนสะดวกสบาย
เก้าอี้สนามนั้นมีน้ำหนักเบาและยังสามารถพับเก็บได้ ทำให้มันเป็นอุปกรณ์ที่เคลื่อนย้ายและพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย กลายเป็นที่นั่งเอนกประสงค์ตัวช่วยที่จะทำให้คุณสามารถนั่งพักผ่อนได้ทุกที่ที่ปรารถนา

2. นั่งสบาย เหมาะสมแก่การพักผ่อนหย่อนใจ
โดยส่วนใหญ่แล้วตรงที่รองนั่งของม้านั่งสนามมักจะใช้ผ้าเป็นวัสดุ(เพื่อความสะดวกในการพับเก็บ) ทำให้ได้สัมผัสที่นุ่มและนั่งสบายกว่าเก้าอี้โลหะหรือเก้าอี้พลาสติก ที่สำคัญคือเก้าอี้สนามมีพนักพิงให้เอนหลังได้จึงเหมาะแก่การนั่งชมวิวพักผ่อนหย่อนใจเป็นที่สุด

3. หาซื้อง่ายและราคาไม่แพง
เก้าอี้สนามเป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านเฟอร์นิเจอร์ ศูนย์การค้า และร้านค้าออนไลน์ทั่วไป อีกทั้งยังมีราคาถูกแสนถูกโดยต่อให้เป็นเก้าอี้สนามคุณภาพสูงก็ยังมีราคาอยู่ที่ราวๆ 500-600 บาทเท่านั้น

4. มีความทนทานกว่าที่คิด
เก้าอี้สนามเป็นเก้าอี้ที่ถูกดีไซน์มาให้สามารถกระจายน้ำหนักได้ดี ทั้งในส่วนเบาะรองและพนักพิงที่เป็นผ้าช่วยรับน้ำหนักหรือส่วนของที่เท้าแขน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเก้าอี้สนามที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ซึ่งจะสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่า 80 Kg. เลยทีเดียว

5. ซักทำความสะอาดได้ไม่ยาก
ด้วยความที่ตรงส่วนเบาะรองนั่งและพนักพิงซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายสัมผัสนั้น ใช้ผ้าเป็นวัสดุทำให้เก้าอี้สนามสามารถถอดซักทำความสะอาดได้ง่าย

6. เหมาะจะใช้ไปปิคนิคหรือแคมป์ปิ้งเดินป่า
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเก้าอี้สนามนั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเบาและยังสามารถพับเก็บได้ ทำให้มันกลายเป็นเพื่อนรักของนักท่องเที่ยวสายลุยทั้งหลาย ด้วยเหตุว่าไม่ว่าคุณจะไปปิคนิค ตั้งแคมป์ หรือเดินป่า คุณก็สามารถมีที่นั่งส่วนตัวได้ง่าย ๆ เพียงแค่พกเก้าอี้สนามติดรถไปด้วย ด้วยความนิยมที่ล้นหลามทำให้หลายคนติดเรียกมันว่าเก้าอี้สนามเดินป่ากันเลยทีเดียว

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT060503

442
เป็นที่ทราบกันว่าการนอนหลับถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ เพราะฉะนั้นการเลือกที่นอนจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยว่าที่นอนมีหน้าที่ในการรับน้ำหนักและพยุงสรีระทั้งหมดเราเพื่อให้เกิดคุณภาพการนอนที่ดี  โดยที่นอนนั้นจะแบ่งออกเป็นหลายชนิดหลายประเภทตามวัสดุที่ใช้ทำ ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีข้อดีข้อเสียของตัวเองแตกต่างกันออกไป ดังนั้นก่อนที่คุณตัดสินใจว่าอยากจะซื้อที่นอนแบบไหนก็ต้องศึกษาคุณสมบัติของที่นอนประเภทนั้น ๆ ให้ดีเสียก่อน ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิวที่นอนแต่ละประเภทว่าแบบไหนเหมาะสำหรับใครถ้าอยากทราบก็ตามมาดูกันได้เลย



1. ที่นอนยางพาราแท้
ที่นอนยางพาราแท้ เป็นที่นอนจากวัสดุธรรมชาติ มีจุดเด่นที่ความยืดหยุ่น ความคงทนสูง และอายุการใช้งานนาน ให้สัมผัสนุ่มสบายเวลานอน ช่วยรองรับน้ำหนักและสรีระร่างกายได้ดี แม้จะมีราคาสูงแต่ก็เป็นหนึ่งในที่นอนประเภทที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด

2. ที่นอนใยมะพร้าว
ที่นอนใยมะพร้าวเป็นอีกหนึ่งที่นอนที่ผลิตมาจากวัสดุธรรมชาติ โดยจะนำใยมะพร้าวมาแปรรูปและอัดเป็นแผ่นให้แน่น ซึ่งที่นอนใยมะพร้าวจะมีจุดเด่นตรงความแข็ง มีความยืดหยุ่นน้อย ทำให้สามารถช่วยลดอาการปวดหลังจากการนอนได้ จะอย่างไรก็ตามข้อดีของที่นอนชนิดนี้คือมีน้ำหนักเบาทำให้ง่ายต่อการขนย้าย

3. ที่นอนสปริง
ที่นอนสปริงเป็นที่นอนซึ่งมีจุดดีเรื่องความยืดหยุ่นและการคืนตัวสามารถกระจายน้ำหนักของร่างกายแต่ล่ะส่วนได้เป็นอย่างดี ที่นอนลักษณะนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบนอนตะแคงซึ่งเป็นท่านอนที่ลงน้ำหนักไปจุดใดจุดหนึ่งค่อนข้างมาก นอกจากนี้ที่นอนสปริงยังสามารถระบายอากาศได้ดี มีความแข็งแรงทนทาน และมีอายุการใช้งานที่นานอีกด้วย อย่างไรก็ตามหากใช้งานจนเกินอายุไข ที่นอนสปริงอาจเกิดการเสื่อมทำให้เกิดเสียงรบกวนในเวลานอนได้

4. ที่นอนฟองน้ำ
ที่นอนฟองน้ำเป็นที่นอนที่ให้สัมผัสนุ่มนวล มีความยืนหยุ่น และน้ำหนักเบาสามารถขนย้ายไปไหนมาไหนได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมีความทนทานและราคาถูก อย่างไรก็ตามที่นอนชนิดนี้มีข้อเสียใหญ่ ๆ คือหากฟองน้ำที่นำมาผลิตเป็นที่นอนไม่มีคุณภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดการยุบตัวเป็นหลุมมีผลให้ผู้นอนมีอาการปวดหลัง นอกจากนี้ฟองน้ำยังเป็นวัสดุที่ระบายอากาศได้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดกลิ่นอับและเกิดการสะสมของฝุ่นได้ง่าย

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/BED0302

443
ยุคปัจจุบันเรื่องของแฟชั่นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น แต่ทางฝั่งของผู้ชายก็เริ่มหันมาใส่ใจเรื่องการแต่งตัวกันมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในแฟชั่นที่ผู้ชายให้ความสนใจและคลั่งไคล้กันเป็นอย่างมากก็คือ “รองเท้า” โดยจะเห็นได้ว่าในทุกวันนี้มีรองเท้าสนีกเกอร์ลิมิเต็ดอิดิชั่นที่คู่นึงราคาเหยียบแสน ไปจนถึงในวงการนักสะสมที่มีการซื้อขายรองเท้าราคาหลักล้านบาทให้เห็นกันทุกวันจนกลายเป็นเรื่องปกติ

จะอย่างไรก็ตามปัญหาที่คนชอบรองเท้าทุกคนต้องเจอก็คือพื้นที่เก็บรองเท้าที่มีจำกัด ซึ่งตัวช่วยที่นิยมกันมากก็คือกล่องเก็บรองเท้าใส กล่องที่จะทำให้การเก็บสะสมรองเท้าของเราง่าย มีระเบียบ และสะอาดมากขึ้น ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของกล่องใส่รองเท้า ถ้าใครอยากทราบว่าจะมีอะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย



1. ช่วยให้พื้นที่ดูมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
กล่องใส่รองเท้าจะช่วยให้พื้นที่ของคุณ ๆมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการวางเรียงรองเท้าไว้กับพื้น ซึ่งนอกจากจะสกปรกแล้วยังเสี่ยงต่อการถูกเหยียบอีกด้วย

2. เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด
กล่องใส่รองเท้าใสนั้นสามารถนำมาเรียงต่อกันสูงขึ้นไป ซึ่งถ้าหากเป็นกล่องคุณภาพสูงจะสามารถรองรับน้ำหนักได้เยอะขึ้นและเรียงต่อกันได้สูงกว่าการซื้อตู้เก็บรองเท้าเสียอีก การใช้กล่องใส่รองเท้าจึงถือเป็นการใช้พื้นที่ที่จำกัดอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

3. เหมาะจะใช้ในห้องพักหรือคอนโด
กล่องใส่รองเท้านั้นเหมาะจะใช้งานในพื้นที่ที่มีจำกัด มันจึงเหมาะสมกับคนที่อยู่หอพักหรือคอนโดฯอย่างมาก

4. ป้องกันรองเท้าจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ
อย่างที่กล่าวไปว่ารองเท้าสมัยนี้มีหลากหลายรุ่นหลากหลายยี่ห้อที่หายากและราคาแพง อย่างนั้นถ้าหากใครได้รองเท้าที่ว่ามาครอบครอง ก็แน่นอนว่าต้องอยากดูแลรองเท้าคู่นั้นเป็นอย่างดีที่สุด ซึ่งกล่องเก็บรองเท้าก็เป็นตัวช่วยที่จะปกป้องรองเท่าจากฝุ่นผง สิ่งสกปรก ป้องกันคนมาเหยียบ หรือสำหรับบ้านไหนที่เลี้ยงสัตว์ก็ไม่ต้องกลัวว่าสัตว์เลี้ยงจะมากัดแทะหรือข่วนทำลายรองเท้าได้

5. ใช้เป็นตู้โชว์รองเท้าได้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากล่องรองเท้าใส นั้นเป็นเครื่องมือจัดเก็บรองเท้าที่มากประโยชน์อีกทั้งยังดูดีมีสไตล์ เวลาเรามีรองเท้าสนีกเกอร์หลาย ๆ คู่ แล้วนำมาใส่กล่องตั้งเรียงกันไว้จะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นตู้โชว์รองเท้าดี ๆ นี่เอง

6. ราคาประหยัด
โดยส่วนใหญ่แล้วกล่องใส่รองเท้าจะเป็นอุปกรณ์จัดเก็บที่ทำมาจากพลาสติกทำให้มีราคาไม่แพงมาก แม้แต่กล่องใส่รองเท้าคุณภาพสูง ๆ ก็ยังมีราคาแค่หลักร้อยเท่านั้น

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP120501

444
น้ำยาปรับผ้านุ่มนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าที่อยู่คู่ครัวเรือนมายาวนาน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยให้ผ้านุ่ม หอม และช่วยลดกลิ่นอับอันไม่พึงประสงค์มันจึงเป็นของที่ขาดไม่ได้สำหรับการซักผ้า แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากที่กล่าวมาน้ำยาปรับผ้านุ่มยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการซักผ้าได้อีกมากมาย ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมารีวิวประโยชน์ของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่คุณ ๆจะต้องอึ้ง ถ้าอยากทราบว่าจะมีอะไรบ้างก็ตามมาดูกันได้เลย



1. ใช้ทำความสะอาดงานไม้
น้ำยาปรับผ้านุ่มเป็นตัวเลือกที่หลายคนนิยมนำไปทำความสะอาดงานไม้ต่าง ๆ ดังเช่น เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องมือที่ทำจากไม้ ด้วยว่าสารเคมีในน้ำยาปรับผ้านุ่มนั้นไม่แรงพอที่จะทำให้เนื้อไม้เสียหาย แต่กลับช่วยให้ไม้ดูเงางามและยังมีกลิ่นหอมเป็นของแถมอีกต่างหาก

2. ใช้กำจัดคราบฝุ่นผง
ในกรณีที่น้ำยาถูพื้นหรือน้ำยาดันฝุ่นของคุณหมดคุณสามารถใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มมาทำความสะอาดแทนได้ ด้วยว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มจะมีสารที่ช่วยลดแรงตึงผิว ทำให้สามารถนำไปใช้เช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่บนพื้น หรือตามเฟอร์นิเจอร์ให้หลุดออกได้อย่างง่ายดาย

3. ใช้แทนสเปรย์ปรับอากาศและยากันยุง
น้ำยาปรับผ้านุ่มนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ขึ้นชื่อในเรื่องกลิ่นหอม โดยเฉพาะกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่มแบรนด์ดัง ๆ อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่มไฮยีน หรือ น้ำยาปรับผ้านุ่มดาวนี่ ซึ่งหอมจนสามารถใช้บำบัดอากาศแทนสเปรย์ปรับอากาศได้ โดยท่านต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับเบคกิ้งโซดา ½ ช้อน จากนั้นนำไปผสมกับน้ำเปล่า แล้วจึงบรรจุลงขวดสเปรย์เท่านี้ท่านก็ได้สเปรย์ปรับอากาศหอม ๆ มาใช้ นอกจากนี้น้ำยาปรับอากาศที่ทำจากน้ำยาปรับผ้านุ่มยังสามารถใช้ฉีดกันยุงได้อีกด้วย

4. ใช้เช็ดกระจกให้เงาวั๊บ
ในน้ำยาปรับผ้านุ่มจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์จาง ๆ ทำให้เราสามารถใช้มันแทนน้ำยาเช็ดกระจกได้ โดยแค่คุณผสมน้ำยาปรับผ้านุ่มเข้ากับน้ำเปล่า แล้วจึงนำไปเช็ดกระจก 2-3 รอบ เพียงเท่านี้ก็จะได้กระจกที่เงางามสมดังใจ

5. ทำให้ขนแปรงทาสีนุ่มขึ้น
น้ำยาปรับผ้านุ่มสามารถทำให้ขนแปรงทาสีนุ่มขึ้นได้ เพียงแค่เอาขนแปรงไปแช่ในน้ำยาปรับผ้านุ่มไว้สัก 2-3 ชั่วโมง ก็จะได้ขนแปรงที่นุ่มหอมเหมือนซื้อใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นวิธีนี้ยังใช้ได้กับสิ่งของต่าง ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับขนแปรง อาทิเช่น ขนพู่กัน เส้นผมของตุ๊กตา และอื่น ๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0702

445
ในทุกวันนี้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการทำความสะอาดในเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่าง ๆ ได้ออกผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกและน้ำยาทำความสะอาดเสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบออกมาแข่งขันกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอกขาวและน้ำยาซักผ้าขาวที่ใช้สำหรับผ้าขาวโดยเฉพาะ หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผ้าสีที่ช่วยถนอมสีสันของผ้าให้คงอยู่ยาวนาน แต่หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่าผงซักฟอกกับน้ำยาซักผ้านั้นแตกต่างกันอย่างไร และอะไรที่เราควรใช้ ซึ่งก่อนจะไปดูเรื่องความต่างเราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้าคืออะไร



ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้าคืออะไร?
ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้า คือสารสังเคราะห์ที่มักจะมีองค์ประกอบพื้นฐานเป็นสารซักฟอก ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดแรงตึงผิวของน้ำทำให้น้ำสามารถซึมเข้าสู่ผ้าได้ลึกมากขึ้นช่วยกำจัดสิ่งสกปรก เช่น ฝุ่นละออง คราบไขมัน และคราบสกปรกต่าง ๆ ให้ละลายไปกับน้ำได้  อีกทั้งยังมีสารฟอกขาวและสารฟรูออเรสเซนต์ซึ่งจะช่วยทำให้ผ้าดูขาวสดใสและไม่หมองคล้ำ

ความแตกต่างของผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้า
โดยปกติแล้วผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้ง 2 รูปแบบนี้จะแตกต่างกันตรงที่สารเติมเต็มที่ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยทำละลายของผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิด โดยผงซักฟอกทุกยี่ห้อนั้นจะใช้สารโซเดียมซัลเฟตเป็นหลัก ในขณะที่น้ำยาซักผ้าจะใช้สารเคมีชนิดต่าง ๆ เช่น แอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยให้ละลายน้ำได้ดีขึ้น

ผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้าอะไรดีกว่ากัน?
บอกได้ว่าทั้งผงซักฟอกและน้ำยาซักผ้าต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเองแตกต่างกันออกไป แต่หลัก ๆ คือ ธรรมชาติของผงซักฟอกที่ใช้โซเดียมซัลเฟตเป็นสารเติมเต็มนั้นจะละลายน้ำได้ยากกว่า ทำให้ในการซักบางครั้งถ้าคุณใส่ผงซักฟอกมากจนเกินไป หรือใช้ผงซักฟอกคุณภาพไม่ดี ก็อาจจะทำให้มีคราบสีขาวของผงซักฟอกหลงเหลืออยู่บนเสื้อผ้าส่งผลให้เสื้อผ้าดูไม่สะอาดได้ แต่กับน้ำยาซักผ้าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อการละลายน้ำก็จะไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ ทำให้น้ำยาซักผ้าดูจะมีภาษีเหนือกว่าในเรื่องของการทำความสะอาด

อย่างไรก็ตามผงซักฟอกสูตรใหม่ ๆ ได้ถูกปรับปรุงให้สามารถละลายน้ำได้ดีกว่าเดิมค่อนข้างมาก อีกทั้งผงซักฟอกนั้นมีราคาที่ถูกกว่าน้ำยาซักผ้าอยู่พอสมควร ทำให้เหมาะกับการซักผ้าปริมาณมาก ๆ (เพราะต่อให้ใช้เยอะก็ไม่ค่อยสิ้นเปลือง) ดังนั้นสำหรับบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ หรือในธุรกิจการทำความสะอาด ผงซักฟอกที่ต้นทุนถูกก็อาจจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกว่านั่นเอง

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0701

446
ในปัจจุบันเทคโนโลยีและนวัตกรรมการทำความสะอาดในครัวเรือนนั้นมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริษัทต่าง ๆ ได้ออกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหลากหลายชนิดออกมาแข่งขันกันมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือน้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ช่วยยกระดับจากการทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำเปล่าแบบเดิม ๆ ให้มีความสะอาดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันแบคทีเรีย และช่วยทำให้พื้นมีกลิ่นหอมในระหว่างวัน

อย่างไรก็ตามยังมีผลิตภัณฑ์อีกประเภทที่มีลักษณะการใช้งานคล้าย ๆ กับน้ำยาถูพื้นนั่นก็คือน้ำยาดันฝุ่น ซึ่งเป็นน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดพื้นเช่นกัน จนทำให้หลายท่านเกิดสงสัยว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร ว่าแล้ววันนี้เราก็จะมาไขข้อข้องใจของทุกคนเรื่องความแตกต่างของน้ำยาถูพื้นและน้ำยาดันฝุ่น ว่าน้ำยาทั้งสองชนิดนี้ข้อดีและลักษณะการใช้งานแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าใครต้องการทราบก็ตามมาดูกันได้เลย



ความแตกต่างของน้ำยาถูพื้นและน้ำยาดันฝุ่น
น้ำยาถูพื้น โดยทั่วไปนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ควรใช้ในขั้นตอนสุดท้าย หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นน้ำยาที่ควรใช้หลังจากที่เรากำจัดฝุ่นผงออกจากพื้นแล้ว จึงใช้ทำความสะอาดพื้นแทนการถูด้วยน้ำเปล่าเพื่อช่วยป้องกันแบคทีเรีย ให้พื้นมีกลิ่นหอม และสะอาดมากยิ่งขึ้น ในขณะที่น้ำยาดันฝุ่นคือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่สามารถใช้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก คือใช้แทนการกวาดหรือการดูดฝุ่นได้เลย ด้วยว่าน้ำยาดันฝุ่นนั้นมีสารที่ทำให้ฝุ่นเกาะติดกับผ้าถูพื้น โดยไม่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย และที่สำคัญคือเมื่อเช็ดด้วยน้ำยาดันฝุ่นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องถูด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำยาถูพื้นซ้ำเรียกได้ว่าครบจบในขั้นตอนเดียว

เราจะเลือกน้ำยาดันฝุ่นและน้ำยาถูพื้นแบรนด์ไหนดี
อย่างที่กล่าวไปว่าณ.ปัจจุบันบริษัทต่าง ๆ มีการออกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดออกมาแข่งขันกันมากมาย แค่เฉพาะของน้ำยาถูพื้นและน้ำยาดันฝุ่นก็มีแข่งกันอยู่หลายยี่ห้อ อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องซื้อเฉพาะกับแบรนด์ที่เราคุ้นเคย แต่ควรมองไปถึงคุณสมบัติของน้ำยาถูพื้นและน้ำยาดันฝุ่นยี่ห้อนั้น ๆ ว่ามีคุณสมบัติตรงกับที่เราต้องการหรือไม่ ดังเช่น หากเราต้องการให้บ้านมีกลิ่นหอมสดชื่น เราก็ควรมองหาน้ำยาถูพื้นที่มีจุดเด่นเรื่องความหอมยาวนาน หรือหากเราต้องการความรวดเร็วในการทำความสะอาด เราก็อาจจะมองหาน้ำยาดันฝุ่นที่สามารถทำความสะอาดได้ครบจบในขั้นตอนเดียว แต่แอบกระซิบว่าน้ำยาถูพื้นหลาย ๆ แบรนด์ในปัจจุบันมักจะมีการผสมสารดักฝุ่นมาด้วยเพื่อให้ใช้แทนน้ำยาดันฝุ่นได้นั่นเอง

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0605

447
แอพเงินทันเด้อ (ThunderMoney) แอพกู้เงินด่วนที่มาแรงได้รับการรับรองจากธนาคารแห่งประทศไทย และร่วมเป็นพันธมิตรกันระหว่างธ.ไทยพาณิชย์และ SCB Abacus ซึ่งก็เป็นบริษัทที่ดำเนินงานและดูแลด้วย โดยลูกค้ามีหน้าที่จะต้องรักษาเครดิตของตัวเองเป็นสำคัญ

เงื่อนไขของสินเชื่อตั้งหลัก กู้เงินด่วน
1. แอปกู้เงินด่วนให้วงเงิน 3,000 - 50,000 บาท
2. อัตราดอกเบี้ยเทียบเท่า 2.75% ต่อเดือน (33% ต่อปี)
3. ผ่อนชำระได้สูงสุด 12 เดือน
4. ไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆเพิ่มเติม

คุณสมบัติลูกค้าที่สามารถสมัครขอกู้เงินด่วนได้
1. สัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 20-57 ปีบริบูรณ์
2. จะต้องเป็นบุคคลที่มีรายได้จากงานประจำ หรือ ประกอบอาชีพอิสระ
3. วัตถุประสงค์คือต้องการเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพ เปิดร้าน ทุนหมุนเวียนธุรกิจ และอื่น ๆ อาทิเช่น เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินต่าง ๆ

เงื่อนไขในการสมัครแอพพลิเคชั่นเงินทันเด้อ
1. ข้อมูลบัตรประชาชน
2. โทรศัพท์ที่ใช้ลงแอพพลิเคชั่นเงินทันเด้อจะต้องมีแอพ SCB EASY ของธ.ไทยพาณิชย์
3. จะต้องมี E-Statement ย้อนหลัง 6 เดือน และสามารถจะส่งได้มากกว่า 1 ธนาคาร
4. ต้องมีบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ประเภทออมทรัพย์สำหรับรับเงินกู้

จะสมัครเงินทันเด้อ ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
ผู้จะใช้งานแอพเงินทันเด้อนั้น หลัก ๆ เลยท่านจะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป มีเอกสารเงินเดือน 6 เดือนย้อนหลังล่าสุด รวมถึงไม่เป็นบุคคลที่ติดชื่อบูโรหรือแบล็คลิส

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.money-thunder.com/nano-loan


448
กลิ่นน้องชาย ไม่ใช่เรื่องตลก! ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ลดความมั่นใจในตัวคุณไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในแต่ละวัน หรือการต้องเจอกับสาวคนใดก็ตาม กางเกงใน GQ Cool Tech คืออีกทางเลือกดี ๆ ในการใส่กางเกงในผู้ชายของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทุกท่าน จัดเต็มนวัตกรรมชั้นเลิศที่นอกจากลดปัญหากลิ่นอับแล้วยังสร้างความรู้สึกอันแสนเย็นสบาย ตอบโจทย์ในทุกวันและทุกกิจกรรม ที่สำคัญกางเกงใน GQ ราคาไม่แพงอย่างที่คิดด้วย

สาเหตุสำคัญที่มักทำให้น้องชายมีกลิ่นอับ
ก่อนจะไปรู้จักกับนวัตกรรมชั้นยอดของกางเกงใน GQ Cool Tech ขออธิบายถึงสาเหตุที่มักทำให้น้องชายของคุณ ๆมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยปัจจัยหลักมาจากเรื่องความอับชื้นจนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคจำนวนมาก ทั้งนี้อาจเพราะกิจกรรมที่คุณต้องทำในแต่ละวันมีเหงื่อออกบวกกับสภาพอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวของไทย และการสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่เนื้อผ้าไม่ระบายอากาศ

ถึงอย่างไรยังอาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย ดังเช่น การฉี่แล้วมีคราบปัสสาวะค้างอยู่ เช็ดหรือสะบัดออกไม่หมด, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง รวมไปถึงการซักกางเกงในไม่สะอาด ตากไม่แห้งสนิท มีความชื้น ขึ้นรา รวมถึงการใส่กางเกงในผู้ชายซ้ำก็มีส่วนด้วย

แก้ปัญหากลิ่นอับน้องชายด้วยกางเกงใน GQ Cool Tech
ในกรณีที่คุณ ๆมีสาเหตุมาจากเรื่องของความอับชื้นเพราะกางเกงในที่สวมใส่ไม่ได้คุณภาพ ขอแนะนำกางเกงใน GQ Cool Tech ที่พร้อมพาหนุ่ม ๆ ทุกคนเปิดโลกทัศน์ใหม่แห่งความสบายน้องชายด้วยนวัตกรรมชั้นเลิศอย่างเทคโนโลยี GQ Cool Tech ช่วยให้ไข่เย็นลง 2 องศาเซลเซียส จากการผสมเจลลงไปบนเนื้อผ้าซึ่งผลิตจากเส้นใยรูปแบบตาข่ายละเอียดพิเศษ
มาพร้อมกับเทคโนโลยี GQ Quick Dry ที่จะกระจายความชื้นของเหงื่อและน้ำได้ดีกว่าเนื้อผ้าทั่วไป มั่นใจเลยว่าแม้สวมใส่แล้วต้องทำกิจกรรมหนัก ๆ หรือออกกำลังกายก็แห้งเร็ว ไม่รู้สึกแฉะ เหนียวเหนอะ ไม่คัน ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือหนักไข่จากความอับชื้นให้ต้องกังวลใจ

ขณะที่ปัญหากลิ่นอับจากการล้วงควักน้องชายออกมาฉี่ด้วยความลำบากลำบน ทำให้มีคราบปัสสาวะติดค้าง กางเกงใน GQ Cool Tech ยังมีการตัดเย็บช่องเปิดด้านหน้าที่เรียกว่า GQ Easy Access ทำให้ควักง่ายด้วยมือเดียว ฉี่แล้วสะบัดให้เสร็จ เก็บใส่ง่ายดาย จบปัญหาคราบฉี่แน่นอน

ด้วยความคุ้มค่าขนาดนี้ต้องขอบอกอีกว่ากางเกงใน GQ ราคาไม่แพงอย่างที่หลายท่านคิด ใช้งานได้อย่างยาวนาน คุ้มค่ากับการควักกระเป๋าแน่นอน และที่สำคัญย้ำอีกครั้งเมื่อปัญหากลิ่นอับของน้องชายหมดไป ความเชื่อมั่นในทุกการใช้ชีวิตของคุณก็กลับคืนมอีกครั้ง จะสถานการณ์ไหนบอกเลยเอาอยู่แบบหมดห่วง!!!

Official Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

449
การสวมใส่กางเกงชั้นในชายไม่ใช่แค่เรื่องของการปกปิด หรือใส่เพื่อความปลอดภัยของน้องชายเท่านั้น แต่ยังมีผลกับ “อสุจิ” เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใครที่อยากมีลูกมาก นี่คือข้อมูลที่คุณต้องศึกษาให้ดีเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างครอบครัวตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ แถมยังมีผลลัพธ์ดีอื่น ๆ ตามมาอีกหลายเรื่อง ว่าแล้วลองไปศึกษาเรื่องของอสุจิกับกางเกงในผู้ชายเลยดีกว่า

เรื่องจริงไม่มีโม้ กางเกงชั้นในชายมีผลต่ออสุจิ ต้องขอทำความเข้าใจกับผู้ชายทุกคนเพิ่มเติมสักเล็กน้อย ปกติแล้วลูกอัณฑะหรือ “ไข่” ที่ชอบเรียกกันคืออวัยวะสำคัญที่ช่วยเรื่องของการผลิตอสุจิสำหรับผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงแล้วจึงตั้งครรภ์ก่อนคลอดออกมาเป็นเด็กทารก ซึ่งถ้าฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิที่ได้คุณภาพ หรือมีปริมาณเยอะก็จะทำให้การมีลูกเป็นเรื่องง่าย ที่สำคัญเด็กยังคลอดออกมาด้วยร่างกายครบถ้วน 32 ประการ อีกต่างหาก

พื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่หนุ่มๆควรทราบเกี่ยวกับการผลิตอสุจิและการใส่กางเกงชั้นในชายนั่นคือ “อุณหภูมิ” ที่อยู่บริเวณอัณฑะจัดว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตเชื้ออสุจิที่ได้คุณภาพและมีปริมาณเพียงพอกับการพุ่งเข้าสู่รังไข่ของฝ่ายหญิงกระทั่งเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งงานวิจัยมีข้อยืนยันชัดเจนว่า อุณหภูมิที่อยู่บริเวณอัณฑะควรต่ำกว่าอุณหภูมิทั่วไปของร่างกาย เหตุผลนี้สอดคล้องกับเรื่องที่ว่าทำไมอวัยวะดังกล่าวจึงยื่นออกมาอยู่นอกร่างกาย

ตรงนี้หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยว่าแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการสวมกางเกงในผู้ชาย? คำตอบคือ หากท่านเลือกสวมกางเกงในที่รัดรูป หรือเลือกเนื้อผ้าที่สร้างความอับชื้น อบอ้าวกับอัณฑะ ย่อมส่งผลให้อุณหภูมิบริเวณดังกล่าวสูงกว่าปกติ ส่งผลเสียต่อการผลิตอสุจิที่ได้ปริมาณและคุณภาพอันเหมาะสม จนกลายเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก!!!

เลือกกางเกงในไข่เย็น ผู้ช่วยชั้นดีสำหรับหนุ่ม ๆ ที่อยากมีลูก
วิธีแก้ปัญหาของบางท่านอาจคิดว่าถ้าวันไหนอยากมีลูกแค่สวมกางเกงชั้นในชายที่ดี หรือปล่อยห้อยโตงเตงหน่อย อยู่ในห้องอากาศเย็น ๆ ก็จบแล้ว แต่ความจริงคือ ปกติอัณฑะจะใช้เวลาในการผลิตอสุจิที่มีคุณภาพและปริมาณเหมาะสมกับการปฏิสนธินานระดับ 10-11 สัปดาห์เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนมาสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่ช่วยลดอุณหภูมิของอัณฑะหรือไข่อยู่ตลอดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ท่านมีลูกได้ตามต้องการ ซึ่ง “กางเกงในไข่เย็น” GQ คือคำตอบอันแสนโดนใจ ด้วยเทคโนโลยี GQ Cool Tech มีการผสมเจลลงบนเนื้อผ้าซึ่งผลิตจากเส้นใยพิเศษในรูปแบบผ้าตาข่าย ส่งผลให้อุณหภูมิของไข่เย็นลงถึง 2 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับการสร้างเชื้ออสุจิให้มีความแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง ใครต้องการมีลูกทันใช้จัดกางเกงชั้นในชาย GQ ด่วน ๆ เลย!!!

Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

450
นอกจากการเลือกไซซ์ เลือกทรง หรือบางคนเน้นเรื่องสีสันของกางเกงในชายให้เหมาะกับตนเองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องไม่มองข้ามไปนั่นก็ คือ การสังเกตในส่วน “เนื้อผ้ากางเกงในชาย” ด้วยเหตุผลสำคัญมาจากผ้าแต่ละชนิดจะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป นำมาซึ่งความเหมาะในการสวมใส่ และยังลดการเกิดผลข้างเคียงกับน้องชายของหนุ่ม ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งโดยหลักแล้วเนื้อผ้าที่ถูกนำมาผลิตกางเกงในผู้ชายจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่
เนื้อผ้ากางเกงในชายจากธรรมชาติ
1. ผ้าคอตตอน (Cotton)
นี่คือเนื้อผ้ากางเกงในชายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการนำมาผลิต ทำจากฝ้ายจึงรู้สึกถึงผิวสัมผัสอันเนียนนุ่ม เบาสบาย ไม่อึดอัด หลายคนนิยามให้เป็นกางเกงในชายระบายอากาศ อย่างไรก็ตามด้วยกางเกงในชายที่สวมใส่ต้องมีความยืดหยุ่นจึงมักผสมกับเนื้อผ้าอื่น ๆ ได้แก่ ผ้าสแปนเด็กซ์เข้าไปด้วย

2. ผ้าโมดอล (Modol)
เป็นเนื้อผ้าที่พี่งนำมาใช้ไม่นานแต่เริ่มถูกกล่างถึงเยอะ วัตถุดิบผลิตจากเซลลูโลสของต้นบีช จึงนับว่ามาจากธรรมชาติได้เช่นกัน จุดเด่นสำคัญคือช่วยระบายอากาศ ไม่อับชื้น ลดความอึดอัดแถมยังรู้สึกนุ่มกว่าผ้าฝ้ายอีกต่างหาก แต่มีราคาสูง

เนื้อผ้ากางเกงในชายแบบสังเคราะห์
1. ผ้าไนลอน (Nylon)
เนื้อผ้ากางเกงในชายที่ทุกคนคุ้นเคยดีเช่นกัน ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด มีจุดเด่นที่ความคงทน ใช้งานยาวนาน คืนตัวดี ไม่ยับง่าย ยืดหยุ่นจึงใส่ได้สบาย ไม่รัดบริเวณขอบเอวและตรงเป้า สามารถนำไปใส่กับเครื่องซักผ้าได้ (แต่ควรใส่ถุงซัก) ราคาไม่แพง

2. ผ้าสแปนเด็กซ์ (Spandex) หรือ ผ้าไลคร่า (Lycra)
ผ้าประเภทนี้ทำจากเส้นใยยางสังเคราะห์จึงมีความยืดหยุ่นสูงมาก คืนตัวดีเยี่ยม แม้นำไปซักกับเครื่องซักผ้าก็ไม่เสียรูปทรง ดูแลรักษาง่ายมาก เมื่อสวมใส่กางเกงในผู้ชายที่ทำจากผ้าดังกล่าวจะให้ความกระชับ โอบรับกับสรีระของน้องชายได้อย่างดี (กรณีเลือกขนาดเหมาะสม) อีกทั้งยังรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด ด้วยเหตุนี้ตัวเนื้อผ้าจึงมักถูกนำไปเป็นส่วนผสมของผ้าคอตตอนสำหรับทำกางเกงในชายระบายอากาศด้วยนั่นเอง

3. ผ้าโพลีเอสเตอร์ (polyester)
ผลิตจากเส้นใยสังเคราะห์ที่มาจากพลาสติกเป็นหลัก จึงให้ความแข็งแรงทนทาน ราคาประหยัด แต่ปัญหาคือไม่ค่อยระบายอากาศเหมือนกับเนื้อผ้าชนิดอื่น หากสวมใส่เป็นเวลานานจะทำให้รู้สึกอึดอัด เกิดความอับชื้นได้ง่ายมาก

จากที่เสนอแนะมาจะเห็นว่าความจริงแล้วเนื้อผ้ากางเกงในชายที่มีคุณภาพและได้รับความนิยมมาก ๆมักเป็นการผสมกันระหว่างผ้าคอตตอน (ผ้าฝ้าย) กับผ้าสแปนเด็กซ์ ซึ่งอัตราส่วนที่ได้มาตรฐานต้องเป็น Cotton ประมาณ 90% ขึ้นไป ขณะที่ผ้าสังเคราะห์อย่างพวก Spandex อาจอยู่ที่ 3-9% ขึ้นอยู่กับการผลิตกางเกงในชายแต่ละเจ้า ลองพิจารณาให้เหมาะเพื่อความคุ้มค่าของเงินทุกบาท และความสบายกายสบายใจในระยะยาว

Official Website : https://gqsize.gqsize.com/v20vz

หน้า: 1 ... 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12