ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - โทนี่ วู๊ดดี้

หน้า: 1 ... 3 4 5 6 7 [8] 9 10 11 12 13 ... 25
351


สถานการณ์โควิด - 19 ในปัจจุบันก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การลดความเสี่ยงรับเชื้อต้องอาศัยการดูแลตนเองเป็นพิเศษ หนึ่งในนั้นคือการเลือกใช้เจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ ทว่าปัจจุบันทิชชูก็ได้พัฒนานวัตกรรมมากขึ้นด้วยการมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มาด้วย ทำให้หลาย ๆ คนลังเลและสงสัยว่าจะเลือกใช้งานทิชชู่เปียกแบบผสมแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้จริงหรือ? บทความนี้มีคำตอบมาบอกต่อ

ทิชชู่เปียกชนิดผสมแอลกอฮอล์ช่วยฆ่าโควิด - 19 ได้?
กลายเป็นความอยากรู้ขึ้นมาเลยจริง ๆ กับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่างทิชชูที่ปัจจุบันมีแบบทิชชู่เปียกแอลกอฮอล์ให้เลือกใช้งานแล้ว ทว่าการผสมแอลกอฮอล์นั้นสามารถฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้จริงหรือไม่ เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับจำนวนปริมาณแอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่ โดยทั่วไปหากมีไม่ต่ำกว่า 70% และมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงเกิน 90% ก็สามารถฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้สบายมาก นำมาเช็ดมือ หรือสิ่งของได้เลย

มากไปกว่านั้นก็จะมีให้เลือกใช้งานหลายแบรนด์อีกต่างหาก แนะนำว่าให้อ่านส่วนผสม และคุณสมบัติก่อนเลย อย่างเช่น ถ้าบอกว่าช่วยฆ่าเชื้อได้มากกว่า 99.9% ถือว่าเป็นสินค้าน่าสนใจช่วยฆ่าเชื้อได้ดี อย่างไรก็ตาม ด้วยแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้ผิวสัมผัสของเราแห้งกร้านเมื่อใช้งานบ่อย อาจจะต้องดูที่ส่วนผสมอื่น ๆ อย่าง อะโลเวร่า แตงกวา น้ำแร่ หรืออะไรก็ตามที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น รวมทั้งต้องไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิวบอบบางแพ้ง่าย อย่างเช่น พาราเบน ปรอท สีสังเคราะห์ ฯลฯ เพื่อให้การใช้งานตอบโจทย์มากขึ้น

แล้วถ้านำทิชชูไปผสมเองเพื่อหวังฆ่าเชื้อโควิด - 19 ทำได้ไหม?
เผื่อท่านใดที่คิดจะทำกระดาษทิชชู่เปียกแล้วเพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ ที่มีโอกาสฆ่าเชื้อโควิด - 19 ด้วยตัวเอง ขอบอกว่าไม่แนะนำเด็ดขาด
- น้ำยาล้างจาน หรือผงซักฟอก ที่มีส่วนช่วยลดเชื้อ ความเสี่ยงการกระจายเชื้อ แต่ไม่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อโควิด - 19
- น้ำส้มสายชูผสมน้ำอุ่นแล้วนำทิชชูไปซับมาใช้งานก็ไม่ได้อีก เพราะน้ำส้มสายชูที่คิดว่ามีฤทธิ์กรดอ่อนจะช่วยซึ่งอันที่จริงไม่ได้ช่วยโดยตรง เชื้อโควิด - 19 ไม่ตาย

ย้ำอีกครั้งทิชชู่เปียกแบบผสมแอลกอฮอล์นั้นช่วยฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องอ่านรายละเอียดให้ดีด้วยว่ามีส่วนผสมอื่นอะไรอีกบ้าง ยิ่งมีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้เยอะยิ่งดี กระนั้นหากมีส่วนผสมที่ทำร้ายผิวก็ให้เลี่ยงไปได้เลย เพื่อผิวที่แข็งแรงไม่เป็นอันตรายในอนาคต นอกจากไอเทมฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์แล้ว ก็ยังมีอื่น ๆ ที่ป้องกันความเสี่ยงติดเชื้อ ทั้งการสวมใส่หน้ากากอนามัย การยืนห่างอย่างน้อย 1 - 2 เมตร เข้าบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ สระผมให้เรียบร้อย ฯลฯ

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0215

352


เมื่อกล่าวถึงกระดาษทิชชู่ขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าในท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งชนิด สี เนื้อสัมผัส ฯลฯ ถึงกระนั้นก็ตามสิ่งที่หลาย ๆ ท่านอาจสงสัยกันอยู่คือประเภทการใช้แบบชำระทั่วไป และแบบเช็ดหน้า ซึ่งเรื่องนี้ควรให้ความสำคัญกันอย่างที่สุด เพราะหากเลือกใช้ได้เหมาะสมก็จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวสัมผัสร่างกาย ซึ่งแต่ละประเภทจะเป็นอย่างไรนั้นเราไปติดตามกันเลยดีกว่า

ลักษณะของกระดาษทิชชู่แบบทั่วไป VS เช็ดหน้า
ทิชชู่แบบทั่วไป หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กระดาษชำระ” เป็นกระดาษที่พบได้ในห้องน้ำสาธารณะ หรือตามร้านอาหารที่วางไว้บนโต๊ะอาหารให้หยิบใข้งาน ส่วนมากผลิตจากต้นไม้ รวมถึงเยื่อหมุนเวียนใหม่ที่มาจากกระดาษรีไซเคิล โดยเรื่องของขนาดนั้นจะมีได้ทั้งเล็กและใหญ่ต่างกันไปตามแบรนด์ที่ผลิต มีทั้งแบบสีขาว หรือลวดลาย สีสันต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันจะผลิตให้มีความหนามากกว่า 2 ชั้น โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. ทิชชูแบบม้วนใหญ่ หรือแบบ Jumbo Roll Tissue มีให้เห็นตามห้องน้ำศูนย์การค้า หรือตามองค์กรต่าง ๆ ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ราคาไม่แพง มีความบางของกระดาษเพื่อให้ความยาวในการดึงใช้งานเพิ่มมากขึ้น ซึมซับของเหลวได้น้อย สะดวกต่อการใช้ ไม่ต้องเปลี่ยนม้วนใหม่บ่อย ผลิตจากกระดาษธรรมชาตินำเนื้อเยื่อมาทำ จึงไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

2. ทิชชูแบบม้วนเล็ก หรือแบบ Bathroom Tissue มีให้เห็นได้ตามร้านอาหาร ในบ้าน ครัวเรือนต่าง ๆ เนื้อสัมผัสจะเป็นได้หลากหลาย นำไปประยุกต์ใช้ตามต้องการไม่ใช่แค่ในห้องน้ำเท่านั้น ใช้เช็ดสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่มีปัญหา

วิธีใช้กระดาษทิชชูอย่างเหมาะสม
แน่นอนว่าการนำไปใช้นั้นมีหลากหลาย แต่ที่ไม่เหมาะสมเลยคือการเช็ดตามผิวโดยเฉพาะผิวหน้า เนื่องจากโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองมีสูง บางแบรนด์ถูกเกินไปผลิตแบบไม่ได้มาตรฐาน เอามาเช็ดก็เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ไม่ว่าจะนำไปเช็ดก้น หรือแม้แต่เช็ดผิวที่มีบาดแผลก็ตาม

กลับกันหากเป็นทิชชู่เช็ดหน้าจะอยู่ในลักษณะเป็นแผ่น ๆ ดึงใช้งานได้ตามสบาย จะซับเหงื่อ หรือเช็ดเครื่องสำอางได้หมด มีทั้งแบบขาวสะอาด และมีลวดลาย ถูกบรรจุในกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อกระดาษจะเรียบหนา มีอย่างน้อย 2 ชั้น นุ่ม สะอาด และมีค่า pH ที่ 5.5 – 8.5 เหนียวมากกว่าชนิดอื่น และใช้ได้แม้ผิวสัมผัสจะบอบบางแพ้ง่ายแค่ไหนก็ตาม

สำหรับท่านใดที่คิดจะซื้อใช้ทั้งกระดาษทิชชู่แบบชำระทั่วไป และแบบเช็ดหน้า มีวิธีการเลือกที่ต่างกัน คือ หากเป็นแบบชำระทั่วไปเลือกความนุ่มที่พอดี เพราะบางอย่างก็ต้องสัมผัสผิว และต้องเลือกแบบย่อยสลายในน้ำได้ดีด้วย ส่วนแบบเช็ดหน้าแนะนำให้เลือกแบรนด์ที่เนื้อกระดาษบริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมี หรือสารเรืองแสงต่าง ๆ ซึบซับน้ำได้ดี และเนื้อสัมผัสนุ่มอ่อนโยนต่อผิวของเรา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

353


ใครที่มีรองเท้ามากมั่นใจเลยว่าหลาย ๆ ท่านต้องเลือกใช้กล่องรองเท้ากันเหตุเพราะความสะดวกสบายในการจัดเก็บ ทำให้บ้านดูมีระเบียบมากขึ้น ทว่าเมื่อใช้ไปแล้วเป็นเวลานานก็อาจเกิดความชำรุดเสียหายได้ แต่เราจะรู้ได้ยังไง?? บทความนี้มีวิธีสังเกตมาบอกต่อ กล่องไหนควรซื้อใหม่ได้แล้วดีกว่าใช้งานไปเรื่อย ๆ เกิดซ้อนหลายกล่องแตกร่วงเก็บกันวุ่นไปอีก

วิธีการสังเกตกล่องรองเท้าชำรุด เห็นแล้วต้องซื้อใหม่ทันที
1. กล่องจากสีขาวเปลี่ยนสีชัดเจน
สภาพกล่องจากเดิมที่เป็นกล่องรองเท้าใสขาวสวย หรือขุ่นก็ดี กลับกลายเป็นสีเหลือง หรือจากขาวใสก็ขุ่นหมองแล้ว แนะนำว่าซื้อเปลี่ยนได้เลย เนื่องด้วยเริ่มเสื่อมสภาพ เกิดใช้ไปนานมากขึ้นอาจชำรุดมากกว่าเดิมก็เป็นได้ ไม่คุ้มค่าที่ต้องมานั่งเก็บรองเท้าและเศษกล่องพังเสียหาย

2. มีรอยชำรุด ฉีกขาด
ต่อมานอกจากตัวกล่องที่เปลี่ยนสีไปแล้ว ตัวกล่องมีรอยฉีกขาด รอยชำรุด เกิดรูรั่ว ถ้าปล่อยเอาไว้นานมากกว่าเดิม รอยฉีกขาดชำรุดจะเพิ่มมากขึ้นสุดท้ายก็ทำให้กล่องพังเสียหายได้ โดยเฉพาะกับคนที่ตั้งไว้สูง ๆ หรือดีไม่ดีมีฝุ่นเข้าไป มีสิ่งสกปรกเข้าไปได้ รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ อย่างแมลงสาบ ที่อาจทำลายรองเท้าของคุณ ๆแบบไม่รู้ตัว

3. กล่องบุบ ยุบตัว
ไม่ใช่แค่กล่องเปลี่ยนสี หรือมีรอยฉีกขาดชำรุดแล้ว ยังมีเรื่องของตัวกล่องที่ยุบหรือบุบด้วย จะทำให้กล่องเสียทรงพับลงมา เมื่อเป็นแบบนั้นหากใส่รองเท้าไว้นาน ๆ ไม่ได้หยิบออกมาใช้ก็มีโอกาสรองเท้ายุบเสียทรงด้วยเช่นกัน หากพบว่ากล่องใส่รองเท้าเป็นแบบนี้เปลี่ยนไปเลยดีที่สุด

4. มีคราบ รอยเปื้อน กลิ่นเหม็นอับเกินไป
ปิดท้ายก็อาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานด้วย หากกล่องมีคราบ รอยเปื้อน หรือกลิ่นเหม็นอับมากเกิน ชนิดที่ลองเอาไปทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น วัสดุที่ใช้อาจเสื่อมสภาพมาก ๆ แล้ว ก็ซื้อใหม่ไปเลยดีกว่า เหตุเพราะไม่อย่างนั้นรองเท้าอาจเกิดกลิ่นเหม็นอับสะสม และกลายเป็นแบคทีเรีย เชื้อโรคได้ ยิ่งตัวเองมีกลิ่นเท้าด้วยจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่

กล่องรองเท้าคือสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับท่านใดที่มีรองเท้าใช้งานเยอะ และปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ หลายประเภทด้วย กระนั้นหากท่านใดลองใช้งานแล้วและเกิดปัญหาในลักษณะข้างต้น อยากแนะนำให้ซื้อเปลี่ยนใหม่เลยดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านใดที่ซ้อนกล่องไว้สูง ทั้งนี้ การทำความสะอาดก็สำคัญมาก ๆ แนะนำว่าให้ทำความสะอาดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ 3 ครั้งเลยก็ดี หรือกล่องไหนที่รองเท้าออกไปใช้งานบ่อยก็ยิ่งต้องทำความสะอาด อย่าลืมหมั่นตรวจสอบดูความเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ ด้วย

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP1205

354


ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจเลือกซื้อโต๊ะพับ หรือเก้าอี้ใด ๆ แล้วจำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้งานตอบสนองความต้องการได้มากที่สุด ทว่าบางท่านอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง เราไม่ปล่อยให้ท่านต้องสงสัยอีกต่อไปและได้รวบรวมปัจจัยสำคัญมาให้ทำความเข้าใจกัน รับรองว่าได้ของดีที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพดีเหมาะกับการใช้งานตามต้องการแน่นอน

4 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกซื้อเลือกหาโต๊ะพับ
1. ขนาดของโต๊ะ
ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการนำมาใช้งาน เนื่องจากจะต้องให้อยู่ในพื้นที่ที่ใช้งานแล้วสะดวก ไม่แคบมากเกินไป ปัจจุบันต้องมีหลายขนาด หลายไซซ์ให้เลือก แนะนำว่าควรวัดพื้นที่ใช้งานให้ดีก่อน โดยขนาดจะอยู่ที่ 50 x 50 ซม. ไปจนถึง 90 x 180 เซนติเมตร หรือบางยี่ห้อก็มากกว่านี้ก็เป็นได้

2. รูปทรงของโต๊ะที่จะนำมาใช้
รูปทรงของโต๊ะก็ต้องพิจารณาอย่างดีในการนำมาใช้งานเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วจะมีทั้งเป็นโต๊ะธรรมดา หรือรวมกับเก้าอี้พับด้วย ซึ่งก็จะมีให้เลือกดังนี้
- รูปทรงกลม เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อทานอาหารร่วมกันเข้าถึงได้ทุกมุม ทุกคน จัดวางอาหารได้อย่างมีระเบียบ
- รูปทรงแบบสี่เหลี่ยมมีทั้งสี่เหลี่ยมผืนผ้า และสี่เหลี่ยมจัตุรัส เหมาะสำหรับการใช้วางสิ่งของต่าง ๆ หยิบใช้งานง่าย เข้ามุมตามกำแพงไม่เกะกะ และเมื่อไม่ใช้ก็พับเก็บได้

3. รูปแบบในการพับโต๊ะ
มาต่อกันที่อีกสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อให้ดี ก็คือรูปแบบของการพับที่จะช่วยให้การใช้งานและจัดเก็บไม่เกะกะ ยิ่งเป็นการใช้งานโต๊ะพับอเนกประสงค์ที่มีหลายตัวก็จะจัดการรวดเร็ว การพับมีทั้งพับลงทั้งหมด หรือพับแยกกลาง ฯลฯ แต่ปัจจัยสำคัญคือต้องมีความแข็งแรง เคลื่อนย้ายได้สะดวกตามพื้นที่ที่แตกต่าง

4. วัสดุของโต๊ะที่ใช้ผลิต
สุดท้ายเป็นเรื่องของวัสดุของโต๊ะที่มีให้เลือกแตกต่างกันออกไป ทั้งเมลามีน พลาสติก ลามิเนต หรือไม้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละลักษณะก็จะมีความแตกต่าง จำเป็นต้องดูการใช้งานของเราด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าตั้งนอกอาคารมีการเปียกน้ำมาก หรือต้องโดนฝนก็อาจต้องเลือกเป็นโต๊ะพลาสติกมากกว่าโต๊ะไม้ หรือถ้าต้องการความแข็งแรง วางของหนักประจำก็เลือกเป็นวัสดุไม้จริงได้ อย่าใช้ลามิเนตเพราะว่าจะไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เป็นต้น

ทั้งนี้ อย่าพลาดเรื่องของราคาด้วยเพราะต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ทำ ขนาด รวมถึงรูปแบบการพับต้องสอดคล้องกัน เพื่อความคุ้มค่า และใช้งานเสร็จทุกครั้งจำเป็นต้องทำความสะอาดตามโต๊ะให้เรียบร้อย เป็นวิธียืดอายุการใช้งาน หวังว่าการมีโต๊ะพับ เก้าอี้ใด ๆ ของคุณจะใช้งานอย่างราบรื่น ไม่ต้องเปลืองงบประมาณในการซื้อใหม่บ่อย ๆ

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

355


ใครจะทราบว่าหม้อหุงข้าวที่เห็นอยู่นี้จะขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ใด ๆ แล้วมีการใช้ความร้อนที่แตกต่างกันออกไปที่ช่วยให้ได้ข้าวที่หุงเสร็จอร่อย พร้อมเสิร์ฟรับประทานกันแบบอิ่มท้องอิ่มใจ บทความนี้จะพาทุก ๆ ท่านไปทำความรู้จักอย่างหมดเปลือก เพื่อให้ใช้งานหม้อหุงข้าวได้อย่างตอบโจทย์ขั้นสุด แต่จะเป็นระบบไหน อย่างไร ท่านไหนอยากรู้แล้วก็ไปติดตามกันเลย

3 ประเภทหม้อหุงข้าวที่วิธีให้ความร้อนแตกต่างกัน
1. ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า
เริ่มต้นกันที่ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ความน่าสนใจอยู่ตรงการข้าวที่หุงจะสุกเม็ดสวย มีกลิ่นหอม นุ่มอย่างทั่วถึงมากกว่าเดิม รับรองว่ารับประทานแล้วหนุบหนึบเคี้ยวสบาย แต่ด้วยความพิเศษนี้ทำให้มีราคาสูง และกินไฟฟ้ามาก อย่างไรก็ตามหากเลือกเป็นฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็สามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ในระดับหนึ่ง

2. ระบบไมโครคอมพิวเตอร์
เป็นระบบหม้อที่มีอยู่ทั้งหม้อหุงข้าวเล็ก หรือหม้อหุงขนาดใหญ่ ใช้งานสะดวกมาก ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่กดใช้อัตโนมัติ การกระจายความร้อนจะเดินทางสู่ตัวหม้อโดยตรง ทำให้ข้าวหุงสุกรวดเร็วทันใจ ท่านใดสนใจอยากได้ข้าวไว ๆ ก็ลองซื้อแบบนี้ดูได้ อย่างไรก็ดีในบางครั้งความร้อนที่ได้อาจไม่สม่ำเสมอมากนัก

3. ระบบแรงดันสูง
สุดท้ายคือประเภทหม้อที่ได้รับความนิยมสูงมาก ๆ เนื่องจากเป็นการกระจายความร้อนออกไปอย่างทั่วถึง โดยจะรวมกับระบบแรงดันของหม้อหุงข้าวรับประกันว่าข้าวที่ได้จะสุกแบบเม็ดสวย นุ่มนิ่ม หอมอร่อยมากกว่าเดิมด้วย
นอกจากระบบให้ความร้อนของหม้อแต่ต้องพิจารณาฟังก์ชันด้วย
ถึงอย่างไร ไม่ใช่แค่ระบบการใช้ความร้อนที่ควรประเมินก่อนซื้อ แต่ก็ยังมีเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานด้วย ได้แก่ ฟังก์ชันหุงข้าวเหนียว ข้าวกล้อง และธัญพืช สามารถหุงได้หลากหลาย ซื้อหม้อหุงข้าวไฟฟ้าแบบพกพาแล้วมีฟังก์ชันนี้อยู่ช่วยให้เกิดความสะดวกในการหุงมากขึ้น

รวมไปถึงการปรุงอาหารที่สามารถทำได้หลากหลายเมนู นอกจากหุงข้าวแล้วก็ยังตุ๋น ต้ม นึ่งได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น อยู่อพาร์ทเม้นต์ อยู่หอพัก หรืออาคารชุดไม่มีครัว หรือห้ามทำอาหารก็สามารถใช้ได้โดยไม่มีปัญหา

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าการเลือกซื้อใช้งานหม้อหุงข้าวจะเกิดความเข้าใจมากขึ้น ได้ระบบที่ตอบโจทย์การใช้งาน ไม่ควรพลาดพิจารณาดูด้วยว่าหุงกินกันกี่คน ถ้า 1 - 2 คนก็ใช้แบบขนาดเล็กได้เลย หรือถ้ามากกว่านั้น ครอบครัวใหญ่ก็อาจต้องใหญ่ขึ้นมาอีก 1 ลิตรรับรองว่าข้าวสวย หอมอร่อย เม็ดนุ่ม อิ่มท้อตามที่ต้องการแน่นอน หรือจะเอาไปประกอบอาหารเมนูอื่นก็ทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0810

356


ในการใช้งานเครื่องฟอกอากาศพกพาปัจจุบันนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่ก็มีบางคนที่ลังเลไม่ทราบว่าตัวเองควรเลือกซื้อมาใช้งานมากน้อยเท่าใด และเพื่อให้เกิดความแน่ใจมากที่สุด คราวนี้เราจะพาทุกท่านไปตรวจสอบกันสักนิดว่ามีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบนี้หรือไม่ เพราะถ้าคำตอบคือใช่ ตกลงใจซื้อได้เลยอย่ารอช้า อย่าลังเล

ท่านไหนบ้างที่ควรใช้งานเครื่องฟอกอากาศพกพา
1. คนที่เดินทางไปไหนมาไหนบ่อย
ใครที่ชื่นชอบการออกไปนอกบ้าน ไปเรียน ไปท่องเที่ยว ไปทำงานใด ๆ แล้วต้องเจอกับฝุ่นละออง หรือมลพิษทางอากาศเยอะ ยิ่งในปัจจุบันมีโควิด – 19 มาเกี่ยวข้องอีก ทำให้มีโอกาสสัมผัสได้ง่ายมาก ๆ แต่การพกพาเครื่องฟอกอากาศไปด้วยมีส่วนช่วยให้ทุกการเดินทางปลอดภัยมากขึ้น สุขภาพดี หายใจคล่องด้วยอากาศบริสุทธิ์

2. คนที่ต้องทำงานกับฝุ่นเยอะ
ท่านใดที่รู้ตัวว่าในชีวิตประจำวันต้องอยู่กับอากาศที่มีฝุ่นเยอะ มีมลพิษทางอากาศเยอะ หรือแม้แต่ทำงานร่วมกับเกสรดอกไม้มากมายก็ตาม แนะนำว่ามีเครื่องฟอกอากาศแบบพกพาจะช่วยได้อย่างดีเลยทีเดียว เหตุเพราะอย่างที่รู้ว่าเครื่องนี้สามารถฟอกให้อากาศภายนอกบริสุทธิ์มากขึ้นด้วยการปล่อยประจุไอออนขั้วลบ สิ่งต่าง ๆ ที่ลอยในอากาศตกลงสู่พื้นดิน บางรุ่นฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัสในอากาศได้ด้วยก็ส่งผลดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้นไป

3. ท่านที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้
อีกไลฟ์สไตล์ที่ขาดเครื่องฟอกอากาศไม่ได้เลยก็คือท่านที่เจ็บป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งจะมีลักษณะอาการไปไหนมาไหนแล้วเกิดจาม ไอ หรือคัดจมูกอยู่บ่อย ๆ แน่นอนว่าหากได้ห้อยเครื่องใช้งานเป็นประจำ ก็จะช่วยปรับสภาพอากาศทำให้ถ่ายเทมากขึ้น ได้รับสิ่งบริสุทธิ์ลงปอด อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนก็ไม่กำเริบให้รำคาญใจแน่นอน

อย่างไรก็ดี การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศห้อยคอนั้นจริง ๆ ก็เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์เลย ไม่ว่าจะทำอะไรแล้วอยากให้อากาศรอบตัวบริสุทธิ์ ก็เพราะว่าด้วยกลไกการทำงานพร้อมจะเปิดอากาศโล่งเพื่อการหายใจหายคอคล่องตัว พร้อมช่วยจัดการสิ่งแปลกปลอมได้เต็มที่ บวกกับหากใครต้องการเครื่องประดับเก๋ ๆ สิ่งนี้ก็พร้อมเป็นให้คุณได้ทันที พกติดตัวไปไหนสะดวกมาก สนนราคาก็ไม่ได้แพงด้วย

เครื่องฟอกอากาศพกพาจะมีหลักการทำงานที่ต่างจากเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งจะใช้พัดลมดูดอากาศผ่านแผ่นกรองจากนั้นก็ปล่อยหมุนเวียนอากาศบริสุทธิ์ออกมาทำให้ละอองฝุ่นต่าง ๆ ตกลงพื้น บรรดาเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัสก็ถูกจัดการด้วยเพราะมีการแตกตัวออกเป็นไอน้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ แน่ใจว่าทุกไลฟ์สไตล์จะมีอากาศบริสุทธิ์รอบตัวให้ใช้งาน

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0203

357


ท่านใดที่กำลังมองหามุมโปรดให้ตัวเองได้พักผ่อนภายในบ้าน อย่ามองข้ามที่จะเลือกใช้อีกเฟอร์นิเจอร์ที่น่าสนใจ อย่าง “เก้าอี้สนาม” เด็ดขาด ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลายรูปแบบมาก รับประกันว่าความต้องการพักผ่อนจะได้รับการตอบสนองอย่างดี แต่จะเลือกชนิดไหนให้ตอบโจทย์บางครั้งก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจข้อมูลอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน

เก้าอี้สนามหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์สร้างมุมโปรดที่น่าสนใจ
ไม่อยากให้พลาดการเลือกเฟอร์นิเจอร์ดี ๆ สำหรับท่านไหนที่ต้องการตกแต่งบ้าน หรือต้องการจัดมุมโปรดให้ตัวเอง เพียงเลือกเก้าอี้ หรือม้านั่งสนามไว้สักตัว การันตีว่าจะช่วยให้การพักผ่อนของท่านผ่านไปได้อย่างราบรื่นในทุก ๆ วัน ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย ทั้งรูปทรงที่แตกต่าง สี ลวดลาย ไปจนถึงวัสดุที่ใช้ทำ มีตั้งแต่ไม้สัก ปูน หรือหวายก็มีด้วย เรียกได้ว่ามีไว้เพื่อให้ตัดสินใจเลือกใช้งานอย่างตอบโจทย์เลยทีเดียว

แต่ไม่ว่าจะเป็นการเลือกชนิดไหนก็ต้องพิจารณาดูปัจจัยรอบด้านด้วย รวมถึงการออกแบบสวน ที่นอกจากความสวยงามแล้วก็คือความปลอดภัย อาจต้องระวังเรื่องสัตว์มีพิษ หรือความสะอาด การดูแลรักษา แล้วการมีมุมโปรดของคุณจะมีความสุขเกินบรรยาย

การเลือกเก้าอี้นั่งเล่นให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งาน
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจเกิดความสนใจถึงการเลือกเก้าอี้ไว้นั่งเล่นกับมุมโปรด เพื่อให้ตอบสนองการใช้งานมากที่สุด แน่นอนว่าจำเป็นต้องดูสถานที่สำหรับจัดทำมุมโปรดว่ามีสัดส่วนเท่าไหร่ แล้วจะเลือกนำสิ่งใดมาวางให้ลงตัวได้ ด้วยเหตุว่าพื้นที่ที่เหมาะสมจะช่วยให้การจัดวางดูดีมากขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้นเราจำเป็นต้องดูไลฟ์สไตล์ด้วยว่าชื่นชอบลักษณะไหน ดังเช่น หากชอบความโมเดิร์นหน่อยก็ควรใช้เป็นเก้าอี้หวาย หรือถ้าอยากได้คลาสสิกเรียบหรูก็อาจจะเป็นเก้าอี้สีขาว เป็นต้น

ทั้งนี้ต้องพิจารณาขนาดตัวของผู้ใช้งานร่วมกับเก้าอี้ด้วย นั่งกี่คน น้ำหนักตัวเท่าไหร่ เพื่อให้เก้าอี้สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี ผู้ใช้งานเองก็จะไม่เมื่อยด้วย

ปัจจัยสำคัญของการเลือำกซื้อเก้าอี้มุมโปรดยังไม่หมดเท่านี้ จำเป็นต้องพิจารณาดูจากยี่ห้อต้องน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ คุณภาพวัสดุจัดเต็ม ใช้ได้นานไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่บ่อย ๆ แต่เรื่องราคาก็ต้องเลือกให้พอดีงบของท่าน ไม่ใช่ราคาแรงแต่เทียบกับวัสดุแล้วไม่คุ้มค่าอย่างนี้อย่าซื้อเด็ดขาด

เก้าอี้สนามเป็นสิ่งที่พร้อมช่วยเพิ่มความสะดวกสบายได้รอบบริเวณบ้าน สร้างมุมโปรดให้ทุกคนอย่างดีที่สุด หากท่านใดลังเลอยู่มาถึงตรงนี้หวังว่าจะตกลงใจได้ง่ายมากขึ้น ศึกษาการเลือกเก้าอี้แล้วก็ไม่ควรพลาดศึกษาการจัดสวน จัดมุมโปรดของบ้านด้วยก็ดี เชื่อว่าหลายคนจะสบายใจ หายเครียดมากขึ้นเพียงมานั่งเล่นอยู่ที่มุมนี้ มุมโปรดของที่คิด ตกแต่ง และเลือกเฟอร์นิเจอร์เอง

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT060503

358


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัตถุประสงค์การใช้งานโรงเรือนเพาะปลูกก็เพื่อช่วยดูแลผลผลิตพืชผักต่าง ๆ ให้ออกมาในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะอุณหภูมิที่หากพอเหมาะกับชนิดพันธุ์ก็จะได้ผลผลิตยอดเยี่ยม กระนั้นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ก็คือรูปแบบหลังคาที่มีให้เลือกใช้งานต่างกันออกไป แต่จะมีชนิดไหน ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง เอาเป็นว่าเราไปติดตามพร้อม ๆ กันทางนี้เลยดีกว่า

3 รูปแบบหลังคาที่นิยมใช้กับโรงเรือนเพาะปลูก
1. โรงเรือนแบบหลังคาโค้ง
มากันที่โรงเรือนชนิดแรกกับรูปแบบหลังคาโค้ง ซึ่งสามารถประกอบได้เองไม่ใช่เรื่องยาก แนะนำหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อให้แสงแดดได้ส่องเข้ามาภายในอย่างทั่วถึง พืชพรรณได้รับความอิ่มเอมตรงนี้ไปเต็มที่ หลังคาแบบโค้งจะอาศัยลมในการพัดผ่านพาความร้อนไหลเวียนภายใน แต่ก็ต้องระวังเรื่องความร้อนที่ลอยตัวขึ้นด้านบนแล้วจะไหลออกจากหลังคาได้ยาก

2. โรงเรือนแบบหลังคาจั่ว
ไม่ว่าจะสร้างเป็นโรงเรือนปลูกผัก ปลูกพืช หรือปลูกต้นไม้ ก็มักจะนิยมใช้หลังคาจั่วอยู่เหมือนกัน ซึ่งหลังคาแบบนี้จะระบายอากาศได้อย่างดี นิยมเปิดส่วนหน้าจั่วให้โล่งยกสูง เพื่อระบายความร้อนภายในที่อยู่ด้านบนออกได้ง่ายมากขึ้น และยังมีโรงเรือนหลังคาจั่ว 2 ชั้น หรืออยู่แบบต่างระดับด้วย เพื่อกระจายการระบายความร้อนออกจากภายใน แม้จะมีฝนตกสาดก็ไม่สามารถเข้ามาถึงได้
ทั้งนี้ หากท่านไหนต้องการโรงเรือนแบบที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก โปร่ง ก็ทำแบบไม่มีผนังได้เช่นกัน หรือหลังคาแบบมุงวัสดุโปร่งแสงก็ได้ แต่หากต้องการปลูกผัก พืชที่ต้องการความชื้นสูง แนะนำก่อผนังอิฐแล้วฉาบปูนขึ้นมาครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันลม และรักษาความชื้นภายใน ไม่ทำให้ใบฉีกขาดง่าย

3. โรงเรือนหลังคาฟันเลื่อย
จบท้ายกันที่โรงเรือนแบบหลังคาฟันเลื่อย หรือทรง ก. ไก่ ที่ด้านบนของหลังคาจะเปิดเป็นช่องกว้างอากาศถูกระบายออกได้ดี หรือเรียกว่าช่องระบายลมแบบรอยหยัก จะเป็นความร้อนในระดับไหนก็ตามหมดห่วง โปร่ง โล่งสบาย จัดเป็นโรงเรือนปลูกต้นไม้ พืชผักที่น่าสนใจ แต่เรื่องของราคาก็จะสูงมากกว่าโรงเรือนชนิดหลังคาโค้ง

ถึงอย่างไร ยังมีโรงเรือนเพาะปลูกในลักษณะของตาข่ายไนลอนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยเพาะปลูกพืชผัก รวมทั้งเพาะต้นกล้าของต้นไม้นานาชนิดได้อย่างดี วัตถุประสงค์หลักจะเน้นที่การป้องกันแมลง เหมาะกับคนที่ไม่ต้องการใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เราสามารถดัดแปลงด้วยโครงสร้างที่แข็งแรงอย่างท่อ PVC, ไม้ไผ่, หลังคามุงพลาสติกพอลิเอทิลีนไม่ทำให้ฝนตกสาดเข้าก็ได้ แต่ทั้งนี้ควรยึดตาข่ายให้แน่นและตึงทุกด้าน จับทิศทางลมให้ดี ไม่ควรตั้งขวางทางลมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะพังชำรุด เสียหายได้

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0209

359


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันการดื่มเครื่องดื่มอย่างกาแฟเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และไม่จำเป็นต้องไปซื้อตามร้านก็ได้แล้ว เพราะว่ามีแคปซูลกาแฟช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นนั่นเอง กระนั้นเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านเป็นมือใหม่อาจไม่เคยรู้จักอย่างลึกซึ้งมาก่อน วันนี้จึงขออาสาพาไปศึกษาข้อมูลส่วนประกอบอย่างละเอียด พร้อมวิธีการชงที่ถูกต้องเป็นแนวทางการนำไปใช้ได้เลย

ส่วนประกอบของแคปซูลกาแฟอย่างละเอียด
อธิบายก่อนว่าแคปซูลใส่กาแฟเป็นตัวช่วยเอาใจคนชื่นชอบดื่มกาแฟอย่างที่สุด ด้วยลักษณะการใช้งานที่ง่ายมาก ๆ และยังเก็บรักษาได้สะดวกสบายขั้นสุด เนื่องด้วยตัวผงกาแฟบดจะถูกบรรจุอยู่ในแคปซูลแล้ว ซึ่งลักษณะจะเป็นถ้วยเล็ก ๆ มีฝาปิดด้านบนซึ่งใข้วัสดุที่แตกต่างกัน คือ
- พลาสติก หรือพอลิเมอร์ : เป็นตัวบรรจุด้านล่าง สีขาวขุ่น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำมาใช้ไม่ก่ออันตรายอย่างแน่นอน
- โพลีเมอร์ฟอยล์อลูมิเนียม และเซลลูโลส : จะมีลักษณะเป็นสีเลื่อม ๆ สดใส การเก็บรักษาก็ง่ายอีกเช่นกัน
- อะลูมิเนียม : ตัวกาแฟแคปซูลจะทำมาจากอะลูมิเนียมส่วนใหญ่ โดยฟอยล์ด้านบนจะป้องกันเครื่องดื่มที่สัมผัสโลหะได้ดี ส่วนใหญ่นำมาใช้ชงซ้ำได้ หรือที่เรียกว่าแคปซูลใช้ซ้ำ ทั้งนี้ มีข้อดีอยู่ไม่น้อยตรงที่ช่วยประหยัดเงิน รสชาติเข้มข้น อร่อย แต่หากหมดอายุการใข้งานแล้วให้โยนทิ้งไปเลยอย่าเอามาใช้ซ้ำ

วิธีการชงกาแฟแบบแคปซูลที่ถูกต้อง
การชงกาแฟแคปซูล nespresso หรือแบรนด์ใดก็ตาม จริง ๆ แล้วต้องใช้ร่วมกับเครื่องชงด้วย โดยจะมีช่องพิเศษที่เอาไว้กรองน้ำกาแฟ โดยจะเป็นการกดบดเอาน้ำร้อนไปต้มแล้วเกิดแรงดันสูงมาเป็นกาแฟสำเร็จรูปในที่สุด จากนั้นก็นำแคปซูลไปทิ้งทันที แต่ถ้าเป็นแบบใช้ซ้ำได้ก็นำมาใช้ซ้ำต่อจนกว่าจะหมดอายุการใช้งาน
- แคปซูลจะถูกนำเข้าสู่เครื่อง และเป็นแบบ punctured ทั้ง 2 ด้าน
- เมื่อแคปซูลเข้าไปแล้วน้ำร้อนก็จะไหลมาตรงหลุมใดหลุมหนึ่งทันที ซึ่งแรงดันก็สูงที่ 10 – 20 บาร์
- น้ำร้อนก็จะทำปฏิกิริยากับแคปซูลแล้วกลายเป็นน้ำกาแฟให้ดื่มในที่สุด
แอบกระซิบว่าไม่ได้มีเฉพาะกาแฟที่ชงด้วยน้ำร้อนเท่านั้น หลาย ๆ ยี่ห้อพัฒนาสูตรของตัวเองให้ชงในน้ำเย็นได้แล้วด้วย เป็นแบบ ICE TEA, ICE AMERICANO ฯลฯ

ปัจจุบันมีแคปซูลกาแฟให้เลือกซื้อเลือกหาหลากหลายยี่ห้อมาก ก่อนจะซื้อใช้งานจึงอยากแนะนำให้เลือกยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ได้รับเครื่องหมายความปลอดภัยจากหน่วยงาน อย. แล้ว และราคาก็ต้องอยู่ในมาตรฐานด้วย ได้แก่ NESTLE CAFE AU LAIT, NESTLE SBUX Caramel Macchiato, NESTLE NEW AMERICANO, NESTLE CAFE AU LAIT, VITTORIA COFFEE VCC-0002 ฯลฯ หวังว่าจะช่วยให้การซื้อกาแฟของคุณ ๆลดค่าใช้จ่ายลง เพราะหันมาชงเองแบบง่าย ๆ รสชาติบอกเลยว่าเหมือนซื้อร้านแน่นอน

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080202

360


ปัญหาตู้เย็น Mitsubishi แบบ 2 ประตูไม่เย็นมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เราจะทราบได้ยังไงว่าตอนนี้กำลังมีปัญหานี้อยู่ อาการ และสาเหตุเป็นอย่างไรบ้าง เอาเป็นว่าอย่ารอช้ารีบไปเรียนรู้ข้อมูลกันเลยดีกว่า เพื่อให้เกิดความเข้าใจและจะได้ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อใหม่ในราคาแพง

อาการและสาเหตุของตู้เย็น Mitsubishi แบบ 2 ประตูไม่เย็น
1. ช่องแช่เย็น แช่แข็งมีปัญหาทั้งที่ไฟภายในติด
หากสังเกตได้ว่าช่องแช่เย็น และแช่แข็งไม่เย็นเลย ก็ต้องตรวจสอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์ด้านหลังให้ดี เนื่องมาจากถ้ายังมีการทำงานแบบปกติเครื่องจะมีเสียงอยู่ตลอด แต่หากไม่ได้ยินเสียงก็เท่ากับว่าคอมเพรสเซอร์ชำรุดเสียหายได้ ทำให้ไม่เย็นแม้ไฟในตู้จะติดอยู่ก็ตาม แนะนำหาช่างมาเปลี่ยนดีกว่า

2. ขอบยางเสื่อมสภาพ
เมื่อใช้งานตู้เย็น mitsubishi 2 ประตูเป็นเวลานานก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าขอบยางของตู้เย็นจะเกิดการเสื่อมสภาพได้ ทำให้การปิดประตูไม่สนิท และเมื่อไม่สนิทก็ทำให้ภายในไม่เย็น แนะนำว่าควรสังเกตที่ขอบยางหากกดไปแล้วไม่นิ่มมือเท่ากับยางเสื่อมสภาพเรียบร้อย ให้นำน้ำอุ่นไปราดแล้วบีบนวด แต่ถ้ายังไม่กลับมานิ่มควรเปลี่ยนขอบยางใหม่ไปเลย

3. ช่องแช่แข็งเย็น แต่ช่องแช่เย็นไม่เย็น
หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าคอมเพรสเซอร์ยังทำงานได้ปกติดี ให้สังเกตที่ช่องแช่น้ำแข็งเลย หากมีน้ำแข็งดันล้นออกมาเท่ากับว่าระบบเซนเซอร์ตรวจจับน้ำแข็งชำรุดเสียหาย คอมเพรสเซอร์เลยทำงานอยู่ตลอดจนเย็นจัด แล้วเกิดน้ำแข็งมาเกาะผิดปกติ

4. จัดของไม่เป็นระเบียบทำให้ปิดบังทางลม
บางครั้งตู้เย็น 2 ประตู Mitsubishi ไม่เย็นก็เกิดมาจากการจัดของไม่เป็นระเบียบได้ด้วย จนทำให้เกิดการอุดตันที่ช่องลมเย็น ไม่สามารถปล่อยลมเย็นออกมาได้ ไม่เกิดการหมุนเวียนภายในเครื่องมาก มีผลกระทบให้มีปัญหาไม่เย็น ซึ่งการแก้ไขง่ายมาก แค่ท่านจัดเรียงระเบียบภายในดี ๆ เปิดช่องทางลมเอาไว้ รับรองว่ามีกี่ประตูก็เย็นทั้งหมด

5. การขนย้ายแบบผิด ๆ ก็ทำให้เครื่องไม่เย็น
การขนย้ายแบบผิดวิธี ก็ก่อให้เกิดปัญหาตู้เย็นไม่มีความเย็นได้เหมือนกัน ซึ่งก่อนจะมีการขนย้ายต้องถอดปลั๊กทิ้งไว้ก่อน 48 ชม. แล้วให้ลองเสียบใช้งานใหม่ ถ้าผ่านไปมากกว่า 3 ชั่วโมง แต่ตู้ก็ยังไม่เย็นให้ถอดปลั๊กออกทันที เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่คอมเพรสเซอร์ จากนั้นให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาไล่รื้อระบบใหม่

ตู้เย็น Mitsubishi ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย ซึ่งโอกาสที่ใช้ไปนานแล้วเกิดตู้ไม่เย็นเกิดขึ้นได้ตลอด ทว่าหากไม่เย็นก็ลองหาสาเหตุได้เลยตามข้างต้น เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างตอบโจทย์ แต่กระนั้นหากเพิ่งซื้อมาหมาด ๆ แล้วเกิดปัญหานี้ให้ติดต่อผู้ขายเคลมสินค้าก่อนเลยดีที่สุด

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP09?b=mitsubishi

361


หน้าจอมอนิเตอร์นั้นมีได้ทั้งที่เป็นแบบคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก และTV ซึ่งความสะอาดของหน้าจอถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก กระนั้นหากท่านใดไม่อยากไปซื้อน้ำยาทำความสะอาดเองก็สามารถทำได้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่บางคนอาจไม่รู้ว่าทำอย่างไร จึงมีขั้นตอนมาแนะนำอีกเช่นเคย รับประกันว่าพร้อมทำให้หน้าจอของท่านสะอาดเอี่ยมแน่นอน

วิธีทำน้ำยาเช็ดหน้าจอมอนิเตอร์ด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องยาก
การทำน้ำยาเช็ดหน้าจอนั้นต้องใส่ใจตั้งแต่เลือกส่วนผสม ซึ่งขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก เริ่มลงมือทำจากการเลือกน้ำให้เหมาะสม ไม่แนะนำให้ใช้น้ำก๊อก เนื่องมาจากจะมีแร่ธาตุ มีตะกรันอยู่ภายใน เมื่อนำไปเช็ดก็จะเกิดอันตรายต่อหน้าจอได้ ให้หาเป็นน้ำกลั่นที่มีขายตามร้านขายยา หรือปั๊มน้ำมัน ไม่ก็ทำน้ำกลั่นเอาเองเลย

เมื่อได้น้ำมาแล้วก็ให้เติมสารทำความสะอาด โดยทั่วไปนิยมใช้เป็น 2 ชนิดคือ น้ำส้มสายชูกลั่นขาว และ isopropyl alcohol (เลือกได้ตามความต้องการ) ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ช่วยขจัดคราบแบบฝังแน่นได้ดี แต่ไม่แนะนำให้เอามาผสมกัน โดยมีคำแนะนำเพิ่มเติมดังนี้
- กรณีที่เลือกใช้ isopropyl alcohol อย่าผสมกับน้ำกลั่นที่เข้มข้นมากกว่า 50 : 50 กรณีใช้น้ำส้มสายชูกลั่นให้ใช้เริ่มต้นจาก 50 : 50 ถ้าน้ำยาไม่แรงมากพอ ก็สามารถเพิ่มน้ำส้มสายชูกลั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้เลย
- กรณีที่หาไม่ได้จริง ๆ แนะนำให้ใช้วอดก้าแทนได้ (แทน isopropyl alcohol)
- ห้ามนำน้ำยาเช็ดกระจกมาใช้ เนื่องจากถือว่ามีส่วนผสมของสารทำความสะอาดแอมโมเนียอยู่ หน้าจออุปกรณ์พวกจอคอมพิวเตอร์, ทีวี, โน้ตบุ๊ก ฯลฯ เสื่อมสภาพ หรือด่างได้

แนะนำวิธีเช็ดกระจกหน้าจออย่างถูกต้อง
ถึงกระนั้นก็ตาม อยากแนะนำถึงการเช็ดทำความสะอาดจอ monitor อย่างถูกวิธี โดยเริ่มต้นจาการปิดหน้าจอ สังเกตดูว่ามีคราบฝัง สิ่งสกปรกติดตรงไหนบ้าง ต่อจากนั้นก็เอาผ้าแห้งมาเช็ดฝุ่นออก เช่น ผ้าไมโครไฟเบอร์, เสื้อยืดคอตตอน โดยเช็ดลักษณะวงกลมช้า ๆ หน้าจอก็จะไม่เป็นรอย ไม่จำเป็นต้องออกแรงกดใด ๆ

นำน้ำยามาฉีดพ่นที่ผ้า ห้ามฉีดที่หน้าจอโดยตรง จากนั้นก็เช็ดหน้าจอไปในทิศทางเดียวกันได้เลย ถ้ามีคราบฝังแน่นก็อย่าไปออกแรงกด หรือขูดเอาคราบออก รอให้น้ำยาทำปฏิกิริยาเองดีที่สุด ด้วยเหตุว่าคราบจะหลุดออกได้ง่ายมากขึ้น อาจต้องเช็ดเบา ๆ ซ้ำหลายทีเพื่อให้คราบหลุด

แต่หากท่านใดที่คิดว่าอยากซื้อเป็นน้ำยาทำความสะอาดหน้าจอมอนิเตอร์โดยตรง ไม่อยากทำเอง ก็มีให้เลือกซื้อหลากหลาย ทั้งนี้ แนะนำว่าให้อ่านรีวิวจากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ก่อน อาจใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือแผ่นทำความสะอาดโดยตรงมาเช็ดเลยก็ได้ ลดเวลาการซักผ้าออกไปเนื่องจากเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ท่านใดชอบแบบไหนเลือกได้เลย เพื่อหน้าจอที่สะอาดมองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจนเหมือนใหม่

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TVA1101

362


เมื่อพูดถึง “หม้อทอด” ทุกท่านมักรู้สึกคล้ายกันว่าใช้แล้วดีช่วยให้สุขภาพร่างกายของเรานั้นแข็งแรง กระนั้นเครื่องครัวดังกล่าวสามารถช่วยได้จริงหรือเป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น แน่นอนว่าเราอยากให้ทุกคนได้ทำความเข้าใจกันแบบจริงจังถูกต้อง จึงรวบรวมรายละเอียดมาให้ศึกษาผ่านบทความนี้

ความอันตรายของการทานของทอดเป็นประจำ
ต้องบอกเลยว่าการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการทอดนั้นมีโอกาสเพิ่มระดับความดันโลหิต มีคอเลสเตอรอลสูง และเกิดโรคอ้วนได้เป็นอันดับต้น ๆ ทั้งยังมีงานวิจัยระบุว่าการทานอาหารทอดสัปดาห์ละ 1 – 3 ครั้ง ยังเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือดถึง 7% ส่วนผู้ที่ทานทุกวันก็จะมีความเสี่ยงของโรคเพิ่มมากขึ้น 14% เมื่อเทียบกับคนที่ทานของทอดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ดังนั้นการใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้จึงถูกใจคนรักของทอดอย่างมาก

หม้อทอดอีกทางเลือกเพื่อสุขภาพจริงหรือหลอก??
1. ลดความเสี่ยงรับสารก่อมะเร็ง
สารอะคริลาไมด์ที่พบได้ในของทอด คาดว่าเป็นสารก่อมะเร็งอีกชนิดที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อนำอาหารคาร์โบไฮเดรตสูงไปผ่านความร้อน 120 องศาเซลเซียส อย่างเช่น มันฝรั่งทอด เฟรนฟรายส์ อาหารเช้าซีเรียล ฯลฯ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าหม้อทอดไฟฟ้าช่วยลดปริมาณสารที่ว่าในอาหารได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับการทอดด้วยน้ำมันท่วม ๆ

2. ช่วยลดปริมาณแคลอรีของร่างกาย
อีกปัญหาสุขภาพคือการมีแคลอรีมีมากเกินไป เมื่อทำอาหารผ่านอุปกรณ์ชนิดนี้ก็จะช่วยลดปริมาณแคลอรีได้มากกว่า 70 – 80% โดยปริมาณมีน้อยกว่าอย่างที่บอกเมื่อเทียบกับการทอดน้ำมันท่วม ๆ เนื่องจากจะใช้น้ำมันมากถึง 750 มิลลิลิตร ขณะที่การใช้หม้อช่วยทอดแบบไร้มันน้ำไม่ต้องเติมน้ำมันเพิ่ม หรือใช้ประมาณ 15 มิลลิลิตร (1 ช้อนโต๊ะ) เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หม้อทอดไร้น้ำมันยังมีข้อควรรู้และควรระวังอื่น ๆ ช่วยให้ตัดสินใจใช้งานได้ดีมากขึ้น
- การทำงานของหม้อจะเป็นการเพิ่มความร้อนในเวลาอันสั้น ทำให้อาหารไหม้ง่าย ในการใช้งานจึงควรตั้งค่าไฟความร้อนให้ดี ทั้งนี้เพราะความไหม้เกรียมทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้เช่นกัน
- ช่วยลดปริมาณน้ำมันในอาหารนั้น ๆ ได้จริง แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเยอะ รับประทานเป็นประจำ ก็เพราะว่าจะเกิดปัญหาต่อร่างกาย ได้แก่ โรคมะเร็งบางชนิด โรคเบาหวาน โรคหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง
- เลือกวัตถุดิบที่มีผลดีต่อร่างกายจะดีกว่า เช่น ปลาแซลมอน อกไก่ หรือเนื้อที่ไม่มีมันติด เพราะหากทานแต่ของแช่แข็ง มันฝรั่งทอด เฟรนฟรายส์บ่อย ๆ ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

หม้อทอดถือเป็นเครื่องครัวที่น่าสนใจมาก ๆ และการันตีว่าเป็นทางเลือกเรื่องสุขภาพได้จริง แต่ก็ไม่ควรเลือกทานอาหารทอดเป็นประจำ ทั้งนี้เพราะจะส่งผลในระยะยาวได้ แนะนำทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายด้วย เพื่อความแข็งแรงปราศจากโรคภัย

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP080503

363


หากคุณ ๆเป็นอีกคนที่มีความสนใจอยากใช้งานกล้องวงจรปิด หรือ CCTV โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นแบบไร้สาย (Wi – Fi) ทราบหรือไม่ว่ามีให้เลือกแยกออกไปอีกด้วย แต่จะเป็นชนิดไหนบ้างคงมีหลาย ๆ ท่านเกิดคำถามอยู่พอสมควร จึงไม่พลาดในการนำข้อมูลมาให้ศึกษาอย่างละเอียดอีกเช่นเคย เพื่อการเลือกใช้ที่ตอบโจทย์ ได้ประสิทธิภาพการทำงานไปแบบเต็ม ๆ

ทำความรู้จักชนิดของกล้องวงจรปิดชนิดไร้สาย
CCTV ที่เป็นชนิดไร้สายนั้นได้พิสูจน์กันแล้วว่ามีหลาย ๆ ท่านวางใจเลือกใช้บริการ ด้วยความทันสมัย ปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแสนถูก สามารถเลือกนำไปติดตั้งไว้ได้หลากหลายแบบ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้น โดยมีให้เลือกด้วยกัน 2 ประเภทคือ
1. CCTV อนาล็อกชนิดไร้สาย
กล้องวงจรปิดไร้สายอนาล็อกคือ การส่งสัญญาณภาพ และการใช้คลื่นวิทยุความถี่ ที่ปกติแล้วก็จะมีการส่งสัญญาณ 300 ฟุต หรือ 91 เมตร สามารถมองเห็นได้โดยรอบ ในพื้นที่ที่เป็นผนัง ประตู เฟอร์นิเจอร์ หรือพื้นที่เปิดได้หมดเลย และยิ่งมีสิ่งกีดขวางมากก็จะลดช่วงได้ดี ปัจจุบันทำงานบนความถี่ 2.4 ที่เป็นของใช้ภายในครัวเรือน อย่างไมโครเวฟ วิดีโอเกมส์ โทรศัพท์ไร้สาย  ส่วน Wi – Fi ที่เรารู้จักกันดีก็จะทำงานบนความถี่ 900 MHz เป็นสัญญาณที่ดูได้จากสถานที่ที่แตกต่างด้วยสัญญาณอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ข้อเสียคือจะไวต่อการรบกวนจากอุปกรณ์อื่น ๆ ในครัวเรือน

2. CCTV ดิจิทัลแบบไร้สาย
จะเป็นลักษณะของการแปลงสัญญาณเสียง และวิดีโอแบบอนาล็อกเป็นแบบสัญญาณเข้ารหัส โดยจุดเด่นจะส่งสัญญาณได้ทั้งไกลถึง 450 ฟุต สามารถสื่อสารกันได้ 2 ทาง ระหว่างเครื่องรับสัญญาณและกล้อง CCTV โดยจะส่งสัญญาณไม่ว่าไฟจะติดหรือดับได้หมดเลย สามารถรับอุปกรณ์มากกว่า 1 ตัวด้วย
การใช้งานนั้นสามารถเอาไปใช้เฝ้าระวังความปลอดภัยภายในสำนักงาน อาคาร บ้าน หรือสถานที่ที่คิดว่าต้องเฝ้าจับตาเป็นพิเศษ สามารถออกแบบติดตั้งเองได้ ทั้งนี้ เมื่อพูดถึงช่วงสัญญาณกล้องวงจรปิด wifi ที่ใช้ได้ ก็จะอยู่ระหว่าง 250 – 450 ฟุตกลางแจ้ง หรือ 100 150 ฟุตในตัวอาคาร และจะมีความแตกต่างกันระหว่างสัญญาณขึ้นอยู่กับประเภทวัสดุก่อสร้าง และวัตถุที่สัญญาณไร้สายผ่านได้

กล้องวงจรปิดมีความสำคัญต่อทุกท่านอย่างมาก โดยเฉพาะการตรวจดูเป็นหูเป็นตา ทั้งนี้ บางรุ่นก็มีชนิดที่สามารถมองเห็นในแอปพลิเคชันทางมือถือได้ด้วย อยากเช็กข้อมูลช่วงเวลาไหนก็สามารถเปิดเข้าไปได้เลยตลอด 24 ชั่วโมง บางรุ่นมีสีสันสดใส มีเสียงให้ได้ยินร่วมด้วย หรือแค่นำไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ทำการตั้งค่าให้เรียบร้อย เท่านี้ก็เสร็จสิ้น ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินจ้างช่างติดตั้ง ถือว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ได้ดีมีประสิทธิภาพ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO020302

364


จัดเป็นอีกไอเทมที่จะออกไปไหนก็ต้องมีพกติดตัวไว้ตลอดเวลาสำหรับ “แอลกอฮอล์” ทว่าอย่างที่รู้กันดีในปัจจุบันมีให้เลือกทั้งเป็นชนิดเจล VS สเปรย์ ซึ่งทำเอาหลายคนเกิดความสงสัยว่าถ้าจะต้องเลือกใช้จริง ๆ แบบไหนดีกว่ากัน? และเพื่อให้การนำไปใช้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด เราไม่พลาดที่จะนำเอารายละเอียดที่น่าสนใจรวบรวมมาให้ศึกษา

แอลกอฮอล์แบบเจล VS สเปรย์แบบไหนดีกว่า??
1. แบบเจล
เจลแอลกอฮอล์นั้นจะมีลักษณะหนืด ๆ เหนียว ๆ บรรจุอยู่ในหลอดขนาดเล็กเพื่อให้สะดวกต่อการใช้ บีบลงที่ฝ่ามือ ตัวน้ำยาจะออกมาเป็นก้อนจากนั้นก็ถูล้างได้เลยตามต้องการ การันตีความปลอดภัยต่อผิวผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะผิวบอบบางแพ้ง่ายมากน้อยขนาดไหนก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา ทั้งนี้เพราะเป็นชนิด Ethyl ALCOHOL โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้ว่าจะต้องมีความเข้มข้นอยู่ที่ 70 - 75% เท่านั้น ก็เพราะว่าหากว่ามีปริมาณต่ำ หรือสูงไปกว่านี้ Alcohol ก็จะระเหยไปในอากาศอย่างรวดเร็ว และการฆ่าเชื้อก็จะเป็น 0
จุดเด่น : ทำออกมาเพื่อนำไปใช้ล้างมือโดยเฉพาะ มีบางแบรนด์ผสมสารให้ความชุ่มชื้นก็ช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วย แล้วมือก็ชุ่มชื้นด้วย และอ่อนโยนต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย
จุดด้อย : ด้วยความที่เป็นของเหลงหนืดเปิดหลอดบีบใช้แล้วอาจมีเลอะเปื้อน ค้างปากหลอด และไม่สามารถใช้ทำความสะอาดพื้นผิวอื่น ๆ ได้ ถ้าจะใช้ต้องบีบใส่ทิชชู่แล้วเอาไปเช็ด มีความยุ่งยาก

2. ชนิดสเปรย์
ลักษณะของสเปรย์แอลกอฮอล์จะเป็นของเหลวรูปแบบน้ำ ถูกบรรจุอยู่ในขวดโดยใช้หัวสเปรย์ช่วยทำให้เกิดความฟุ้งกระจาย ทำให้พกพาและใช้งานสะดวกมาก ๆ ทั้งนี้ ยังต้องเลือกเป็น Ethyl Alcohol หรือ Isopropyl Alcohol สร้างความปลอดภัยให้กับการใช้ (แต่แบบ Ethyl Alcohol ช่วยฆ่า Covid - 19 ได้ดีกว่า) เช่นกันองค์การอนามัยโลกกำหนดปริมาณที่ต้องมีความเข้มข้น 70% ถึงจะดีต่อการฆ่าเชื้อ
จุดเด่น : ถูกบรรจุในขวดเล็ก ทำให้พกพาไม่ยาก แค่ฉีดก็ฆ่าเชื้อได้แล้ว หรือจะนำมาฉีดพื้นผิวต่าง ๆ อย่าง มือถือ ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ ได้หมดเลยด้วย หยิบจับอะไรแน่ใจมากขึ้น
จุดด้อย : เมื่อเป็นแบบน้ำฉีดไปแล้วก็จะระเหยได้ง่าย แต่ความระเหยนี้เองทำให้มือขาดความชุ่มชื้น ฉีดใช้งานบ่อยผิวก็จะแห้งกร้าน บางคนแห้งแตก ลอกได้เลย

แอลกอฮอล์ทั้งแบบเจล หรือชนิดสเปรย์นั้นมีความแตกต่างกันอยู่ จุดเด่น จุดด้อย รวมทั้งลักษณะของผลิตภัณฑ์ แต่ที่เหมือนกันคือพร้อมช่วยฆ่าเชื้อต่าง ๆ ให้ตายลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อโควิด - 19 ที่ยังคงทวีความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งปัจจุบันความเสี่ยงติดเชื้อก็ง่ายกว่าเดิมไปอีก มีไว้แบบไหนก็ดีเหมือนกันหมด

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0613

365


ท่านใดที่กำลังต้องการใช้งานถังพ่นยาแบบแบตเตอรี่อยู่จะรีบซื้อโดยไม่พินิจพิเคราะห์ถึงปัจจัยต่าง ๆ ก็คงไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณ ๆให้ซื้อถังพ่นที่มีมาตรฐาน ใช้งานกันไปยาว ๆ จึงไม่พลาดที่จะรวบรวมข้อมูลชั้นเยี่ยมเพื่อการศึกษาซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดที่บ่งบอกว่าควรเลือกถังแบบแบตเตอรี่อย่างไรให้น่าใช้งานมากที่สุด จะมีอะไรบ้าง รีบตามมาเลยดีกว่า

ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถังพ่นยาแบบแบตเตอรี่นี่แหละซื้อเลย
1. ความจุของตัวถังที่ใช้
ตัวถังนั้นจะมีส่วนช่วยในการกักเก็บสารเคมีสำหรับใช้ฉีดพ่น ไม่ว่าจะยาฆ่าแมลง สารเคมีกำจัดวัชพืช หรือปุ๋ย หากความจุถังมากโอกาสที่จะใช้งานฉีดพ่นได้มากก็มีสูง ไม่เปลืองพลังงาน ไม่เปลืองเวลาต้องกลับไปเติมสารเคมี บ่อย ปกติรุ่นที่ต้องสะพายหลังก็จะให้บรรจุได้ไม่เกิน 20 ลิตร หรือเล็กกว่านั้นก็ไม่มีปัญหา จัดว่ากำลังพอเหมาะ

2. น้ำหนัก
อย่างที่รู้กันดีว่าการใช้งานเครื่องพ่นยาแบตเตอรี่นั้นมีการสะพายหลัง ดังนั้นตัวชี้วัดสำหรับซื้อใช้งานต่อมาก็คือเรื่องของน้ำหนัก ที่ควรอยู่ประมาณ 10 – 15 ปอนด์ ต้องรู้ว่าสารเคมีที่จะบรรจุในถังมีมากน้อยแค่ไหน เนื่องมาจากตัวคุณเองจะต้องเป็นผู้แบกถังนี้ไปจนกว่าฉีดพ่นจบงาน

3. แรงดันสูงสุด
ต่อมาจะเป็นเรื่องของแรงดันสูงสุด มีหน่วยวัดเป็นปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือ PSI โดยเป็นหน่วยวัดแรงดันมาตรฐาน ยิ่งแรงดันมากก็ต้องมีพลังงานไว้ใช้งานมากตามไปด้วย งานที่รอฉีดพ่นก็จะเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว

4. ความจุของแบตเตอรี่
ไม่ใช่แค่ความจุของตัวถังฉีดพ่นยาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัด แต่ความจุของแบตเตอรี่ก็สำคัญเช่นกัน โดยปริมาณดังกล่าวมีหน่วยวัดเป็นแอมป์ ปริมาณแบตที่มากก็จะสื่อถึงการใช้งานเครื่องที่มีชั่วโมงการทำงานยาวนานกว่า จึงต้องรู้ว่าปกติฉีดพ่นนานเพียงใดเพื่อให้การจ่ายไฟฟ้าเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ

5. ราคา
จบท้ายกันที่เรื่องของราคา ถ้าเป็นแบบสะพายหลังแล้วก็จะมีราคาขายสูงมากกว่าแบบอื่น แต่กระนั้นเองก็ต้องพิจารณาดูวันที่จะซื้อไว้เลย ก็เพราะว่าบางเว็บอาจมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ เอาที่สอดคล้องกับเงินทุน ไม่เดือดร้อนตนเองในอนาคต

แน่นอนว่าการเลือกใช้งานเป็นถังพ่นยาแบบแบตเตอรี่จะให้ความสะดวกสบายที่มากกว่าแบบดึงคันโยกอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการใช้งาน รูปทรง ไปจนถึงราคา (อาจสูงกว่าเพราะว่าความสะดวกสบายแต่ก็คุ้มค่า) อย่างไรก็ตามหลังจากใช้งานแล้วก็ต้องทำความสะอาด รวมถึงตรวจสอบแบตเตอรี่ด้วย อาจต้องถอดหากไม่ใช้งาน และคอยชาร์จไฟเติมให้เต็มอยู่เสมอ เพื่อเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานทำให้ไม่ต้องซื้อเปลี่ยนเรื่อยๆ

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0208

366


สำหรับไอเทมสุดฮิตเวลาที่จะออกไปไหนมาไหนต้องมีติดตัวไปด้วยเสมอนั้นก็คงหนีไม่พ้นกับหน้ากากอนามัยอย่างแน่นอน ซึ่งสมัยนี้มีให้เลือกใช้งานหลากหลายมาก ๆ จนบางคนอาจเกิดความสงสัยว่าสวมแบบไหนช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง เพราะว่าปกติมีทั้งฝุ่น PM 2.5, โควิด – 19 รวมทั้งฝุ่นละอองต่าง ๆ เต็มไปหมด และเพื่อให้การเลือกซื้อใช้งานตอบโจทย์ ก็มีรายละเอียดมาแนะนำ

เปรียบเทียบหน้ากากอนามัย แบบไหนช่วยป้องกันอะไรได้บ้าง?
1. หน้ากากทางการแพทย์
จะเป็นหน้ากากที่ผลิตจากใยสังเคราะห์โดยมีฟิลเตอร์กรองใช้งาน 3 ชั้น คุณสมบัติเด่นช่วยป้องกันหลากหลายทั้ง เชื้อรา แบคทีเรีย ของเหลวจากการไอ จาม ฯลฯ แน่นอนว่าจะช่วยป้องกันโควิด – 19 ได้ดี แต่หากเป็นฝุ่น PM 2.5 ยังช่วยไม่ได้

2. หน้ากาก N95
เป็นหน้ากากอีกชนิดที่ได้รับความนิยมเลือกใช้งานอย่างที่สุดกับ N95 มีความสามารถในการป้องกันได้ทั้งฝุ่น PM 2.5 และโควิด – 19 ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค หรือฝุ่นที่เล็กสุด 0.3 ไมครอนก็ยังไม่อาจเล็ดรอดผ่านหน้ากากที่สวมใส่ไปได้

3. หน้ากากคาร์บอน
มองข้ามไม่ได้เลยจริง ๆ สำหรับแมสปิดปากคาร์บอน ซึ่งตัวฟิลเตอร์กรองอากาศนั้นจะมีอยู่ 3 ชั้น ป้องกันสารเคมีได้เลยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ป้องกันแบคทีเรีย แน่นอนว่าโควิด – 19 ก็ช่วยได้เช่นกัน แต่หากฝุ่น PM 2.5 ยังไม่สามารถป้องกันตามมาตรฐานนัก

4. หน้ากาก FFP1
จัดเป็นหน้ากากที่มีคุณสมบัติการป้องกันที่ช่วยเรื่องของฝุ่นควัน รวมไปถึงเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรียต่าง ๆ ได้เสมือนหน้ากาก N95 แต่ดีไซน์จะต่างออกมา แต่ถึงจะดีไซน์คนละแบบทว่ามาตรฐานการผลิตฝั่งยุโรปนับว่าน่าเชื่อถือ ไว้ใจได้จริง ช่วยป้องกันได้ทั้งฝุ่น PM 2.5 และโควิด – 19

5. หน้ากากผ้า
แท้จริงแล้วหากจะกล่าวว่าหน้ากากผ้าป้องกันโควิด – 19 ได้เพียว ๆ ก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะมีความสามารถในการกรองเล็กสูงสุดเพียง 5 ไมครอน (ขึ้นอยู่กับชนิดเส้นใย) จึงสามารถนำมาใช้ร่วมกับหน้ากากแบบทางการแพทย์ได้เลยจะเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ยังช่วยไม่ได้ แต่ข้อดีของหน้ากากประเภทนี้คือสามารถใช้ซ้ำได้ เพียงแค่ทำความสะอาดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่

6. หน้ากาก Super 3D
ปิดท้ายการเลือกแมสกับ Super 3D กันบ้าง โดยจะมีคุณสมบัติในการป้องกันทั้งฝุ่น PM 2.5 และเชื้อไวรัสโควิด – 19 รูปทรงจะค่อนข้างกระชับ สายคล้องหูไม่รัดแน่นมาก นุ่มสบายไม่เจ็บเวลาต้องสวมใส่นาน ๆ ตลอดวันก็หมดห่วง

จะเห็นได้เลยว่าหน้ากากอนามัยบางแบบก็ไม่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ หรือบางชนิดไม่สามารถป้องกันโควิด – 19 ได้ หนักกว่านั้นคือแบบฟองน้ำจะไม่สามารถป้องกันอันตรายใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ก่อนจะซื้อจึงควรต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์การนำไปใช้ให้ดี ๆ

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TOO020106

367


การทำความสะอาดสิ่งของรอบตัว หรือภายในบ้านกับสถานการณ์โควิด - 19 แบบนี้ต้องให้ความสำคัญอย่างมากที่สุด เพราะว่า 80% ของการติดเชื้ออยู่ที่การสัมผัสโดยมือเรานั่นเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่น่าสนใจอย่างเดทตอลที่หลายท่านยืนยันช่วยได้จริง บทความนี้จึงพาทุก ๆ คนไปศึกษาทำความรู้จักกัน เพื่อการดูแลสุขอนามัยที่ดีต่อไป ลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด - 19

แนะนำผลิตภัณฑ์เดทตอลเพื่อการทำความสะอาดภายในบ้าน
1. สเปรย์สำหรับฆ่าเชื้อ
ผลิตภัณฑ์แรกที่อยากแนะนำมาก ๆ ก็จะเป็นรูปแบบสเปรย์ฆ่าเชื้อ มีส่วนผสมของ Ethyl Alcohol กว่า 70% v/v ดำเนินการผ่านห้องปฏิบัติการ Microbac laboratories Inc. อเมริกา โดยการทดสอบอย่างจริงจัง ผลออกมาพบว่าสามารถฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้มากถึง 99.9% นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการฆ่าเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย  ซึ่งการเลือกใช้แบบสเปรย์นั้นต้องยอมรับว่ามีข้อดีเยอะมาก เพราะว่าเราสามารถฉีดเข้าถึงได้ทุกซอกมุม หรือวัสดุที่ยากต่อการทำความสะอาดอย่าง ผ้า ก็สามารถจัดการได้ง่าย และเร็วมาก แน่นอนว่ามีกลิ่นให้เลือกหลากหลายเลยทีเดียว ในส่วนของการใช้งาน Dettol ชนิดสเปรย์นั้นสามารถฉีดได้ทุกพื้นผิว อาทิเช่น ฝาผนัง, พื้น, วัสดุพื้นผิวนุ่ม อาทิ ผ้าม่าน เบาะ โซฟา ฯลฯ เพียงเขย่าก่อนเปิดใช้งาน และหลังจากเขย่าแล้วก็ให้ฉีดโดยห่างจากพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาด 20% และทำค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นทิ้งไว้ 10 นาทีให้เปียกชุ่ม สุดท้ายจึงเช็ดด้วยผ้าแห้งจนสะอาด

2. น้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดทำความสะอาด
อีกผลิตภัณฑ์การใช้งาน Dettol ก็คือน้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์ ที่ประสิทธิภาพยืนหนึ่งมาก ได้รับความนิยมเลือกใช้งานมาอย่างยาวนาน ช่วยฆ่าเชื้อต่าง ๆ บนพื้นผิวได้อย่างดี อาทิ เชื้อโควิด - 19 ก็ได้ถึง 99.9% นอกจากการใช้งานถูพื้น ซักผ้า ก็ยังใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ จะเช็ดมือถือ โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ได้หมด เพียงใช้ตามคำแนะนำที่มีบอกบนฉลาก คือ
- การซักผ้า : ให้ผสมในปริมาณ 2 ฝา ต่อน้ำ 2 ลิตร (1 ฝา = 21 มิลลิลิตร) หลังจากนั้นให้แช่ทิ้งไว้ 10 นาที เป็นการฆ่าเชื้อโรค แล้วจึงซักทำความสะอาดได้ตามปกติ
- เช็ดถูพื้นผิว หรืออุปกรณ์ทั่วไป : ให้ผสม 4.5 ฝา กับน้ำ 2 ลิตร (โดยที่ 1 ฝา = 21 มิลลิลิตร) แล้วก็เอาไปใช้งานได้เลย หรือจะแช่ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วใช้ผ้ามาเช็ดก็ได้

เดทตอลนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยทำความสะอาดที่น่าสนใจมาก ๆ มีให้เลือกหลากหลายแบบ พร้อมช่วยจัดการความสกปรกทั้งหลาย ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรค รวมไปถึงเชื้อโควิด - 19 ได้อย่างดี สุขอนามัยดีร่างกายก็แข็งแรงดี ไม่เคยใช้ก็ลองปรับใช้ดูได้ไม่เสียหาย สนนราคาไม่แพงอย่างที่หลายท่านคิด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0609

368
“NAKARA เปิดตัวที่ไบเทค บางนา” นำทีม Miss Grand อวดโฉมแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นใหม่แบรนด์ “นาคาร่า"


NAKARA เปิดตัวที่ไบเทค บางนา”
นำทีม Miss Grand อวดโฉมแฟชั่นโชว์คอลเลคชั่นใหม่แบรนด์ “นาคาร่า"
(10 กย. 2565) นาคาร่า แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงน้องใหม่ สวนกระแสโควิด ฝ่าวิกฤตมรสุมน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้ฤกษ์เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ “NAKARA” (นาคาร่า) แบรนด์เสื้อผ้าผู้หญิงภายในงาน “คราฟท์แบงคอก2022” ที่ฮอลล์101-102 ไบเทค บางนา โดยคุณพลอยรัชษ์ พิริยศุภกาญจน์ ผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหารแบรนด์ NAKARA กล่าวถึงคอนเซ็ปของแบรนด์ว่า “อยากสร้างสรรค์งานเสื้อผ้าที่ไม่ใช่เพียงสิ่งที่ถูกจำกัดความแค่เครื่องนุ่งห่ม หรือ สิ่งที่ห่อหุ้มรูปกายภายนอก แต่ยังหมายถึงต้องเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งการสวมใส่ ที่จะทำให้ผู้ที่สวมใส่รู้สึกถึงความมั่นใจ ความมีเสน่ห์ ความงดงามในสไตล์ของตัวเอง สนุกสนานไม่น่าจำเจ เราอยากให้ผู้หญิงทุกคนสวยและทรงเสน่ห์ มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน งามสง่า มีความหวานซ่อนเปรี้ยว เท่ห์ สมาร์ท ที่มีอายุตั้งแต่25 ปีขึ้นไป จนถึงวัยที่ยังรักการแต่งตัว เราไม่มีข้อจำกัดค่ะ ขอเพียงคุณถูกใจและชอบสไตล์เรา เราก็พร้อมจะเป็นจิตวิญญาณที่ดีแห่งการสวมใส่สำหรับคุณ BECAUSE YOU DESERVE IT, WE DO WHAT IS RIGHT FOR YOU. (เพราะคุณคู่ควร เราจึงทำในสิ่งที่ใช่สำหรับคุณ )”











ทางด้าน คุณศรุตยา จิระภาอนุชิต ดีไซน์เนอร์ กล่าวว่า “การออกแบบคอลเลคชั่นนี้มุ่งเน้น การแสดงตัวตนของแบรนด์ให้ความชัดเจนในด้านการแสดงความเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด เรียบหรูดูแพง มีคุณค่าซึ่งคอลเลคชั่นนี้ดีไซน์มาเพื่อผู้หญิงที่รักในคุณค่าของตัวเอง มีเสน่ห์มาดมั่น ดูเรียบแต่หรู” และทั้งสองท่านยังทิ้งท้ายกับโอกาสการเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าว่า “แบรนด์ NAKARA และ HAPPINESS STYLES เปิดพื้นที่สำหรับคนที่รักงานดีไซน์ หรือผู้ที่อยากมีแบรนด์ของตัวเอง เราเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินค่ะว่าเราจะสามารถทำให้ภาพฝันของคุณ เป็นเรื่องที่จับต้องได้ เพียงแค่คุณให้ความไว้วางใจเดินเข้ามาคุยกับเราค่ะ” ผู้ที่มีเงินทุนสนใจธุรกิจนี้แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน ทางแบรนด์ก็พร้อมให้คำแนะนำในการสร้างฝันให้มีแบรนด์เป็นของตัวเองต่อไป



งานนี้ได้รวบรวมนางแบบสาวสวยดีกรีนางงาม “มิสแกรนด์” ระดับประเทศมาร่วมสวมใส่แบรนด์ “NAKARA” พร้อมเดินแบบแฟชั่นโชว์ อวดโฉมดีไซน์เฉพาะตัวของคอลเลคชั่นนี้ สร้างความสนใจในกับผู้คนทั่วฮอลล์ อาทิ

















คุณตุ๊กตา มณีรัตน์ แดงประเสริฐ
3RD RUNNER UP MISS GRAND THAILAND 2019
3RD RUNNER UP MISS UNITED CONTINENTS 2019
และผู้จัดการกองประกวดมิสแกรนด์ตราด 2023
คุณบิว นันทภัค ไกรหา
3RD RUNNER UP MISS GRAND THAILAND 2018
5TH RUNNER UP MISS UNITED CONTINENTS 2018
และ MISS PHOTOGENIC AWARD
คุณสตางค์ ศศิปภา ปภณธีร์ธนาภูมิ
MISS GRAND KHONKAEN 2020
MISS EARTH LAND THAILAND 2021
คุณผ้าไหม อรอนงค์ อินทร์ทุ่ม
MISS GRAND SATUN 2018
คุณบิว พลอยไพลิน วรวงษ์
MISS GRAND TRAT 2022



พร้อมด้วยดารา-นักแสดงร่วมงานเปิดตัวคอลเลคชั่นในครั้งนี้ อาทิ คุณไพโรจน์ สังวริบุตร และ น้องแองเจิ้ล ชาลิสา คูคีรีเขตต์ นักแสดงเด็กจากช่อง7 นอกจากนี้ยังสามารถติดตามข่าวสารของ “นาคาร่า” ได้ที่
FANPAGE HTTPS://WEB.FACEBOOK.COM/นาคาร่า-NAKARA-IS-A-BRAND-OF-WOMENS-CLOTHING-106592288863511
หรือ อินสตาแกรม @NAKARABRAND
ดูคลิปงานนี้ได้ที่ https://youtu.be/4wiouRYTSlU

369


อลิสา จณิน ออกซิงเกิ้ลใหม่ เพลง ERA สังกัดค่ายRiverman Records ค่ายเพลงเก่าแก่ของอังกฤษ เจ้าตัวแต่งเนื้อร้องและทำนองเองอีกเช่นเคย

‘ERA’ ผลงานเพลงใหม่ล่าสุดของหนูเป็นเพลงเเนวฮิปฮอปผสมผสานกับกลิ่นไอของ genre อิเล็กทรอนิกส์เเละร๊อค เนื้อหาของเพลง ‘ERA‘ สื่อถึงการเริ่มต้นใหม่หรือเปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต การเดินไปข้างหน้า เเละการฉลองการเป็นตัวของตัวเอง หนูอยากให้เพลง ‘ERA’ เป็นแรงบันดาลใจเเละกำลังใจให้เราพัฒนาตนเองอยู่เรื่อยๆเเละไม่ยึดติดกับอดีต พร้อมเชื่อมั่นว่าฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอค่ะ”



หนูเชื่อว่า ผลงานเพลงของหนูควรสื่อความหมายบางอย่างแก่ผู้ฟัง คือไม่ใช่แค่ทำเพลงเพื่อความสนุกอย่างเดียวหรือทำเอ็มวีให้สวยเท่านั้น แต่งานศิลป์ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือศิลปะแขนงอื่นๆ สำหรับหนูแล้ว มันควรมีฟังก์ชั่นในตัวมันไปด้วย อย่างน้อยที่สุด มันควรสื่อถึงสิ่งที่เราอยากจะบอกแฟนๆผู้ฟังค่ะ”

“เพลงหนูส่วนใหญ่ เนื้อหาของมันคืออยากส่งสารทางบวกให้คนฟัง ให้มีกำลังใจต่อสู้กับชีวิต ให้อยู่กับชีวิตให้ได้อย่างโอเคกับมัน หรืออย่างน้อยที่สุด ก็อยากให้มันสร้างแรงบันดาลใจให้คนเริ่มต้นใหม่ได้”















“เพลงแร็ปสำหรับหนู มันไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว หรือมีเนื้อหารุนแรง หรือหยาบคาย หนูอยากทำให้คนฟังเห็นว่า เพลงแร็ปก็สามารถมีพลังสร้างสรรค์ทางบวกได้ค่ะ”
ดู MV ERA ได้ที่  https://www.youtube.com/watch?v=D7qxfM7LxZM

ติดตามผลงาน อลิสา จณิน [ Alissa Janine ] ได้ทาง
Facebook : https://www.facebook.com/aliissajanine
Instagram : alissajanine  https://www.instagram.com/alissajanine/

370

GRAND OPENING ร้านอาหาร สยามฟิวชั่น คูซีน[สุขุมวิท24]
“ขนมจีนน้ำยาปู หมูกรอบฮ่องกง” บริการ : อาหารไทย-จีน-อีสาน-ใต้-ซีฟู้ด “อร่อยจนลืมอิ่ม”


โดย หม่อมราชวงศ์ปณิธาน  จรูญโรจน์ ประธานในพิธีเปิด grand opening เปิดร้านอาหารหรูใจกลางเมือง(สุขุมวิท 24)โดย ดร.นวรัตน์  ไชยสุข นายกสมาคมการค้านักธุรกิจสากลWorld Trader Trade Association(WTA) ร่วมกับท่านนพดล  พลเพชร ผู้ประนีประนอม ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คุณวิชัย ชูพงศ์สถิตมั่น (นักธุรกิจชาวใต้หวัน) พลตำรวจตรีนิพนธ์เจริญผล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และคณะกรรมการสมาคมWTA ร่วมมือกันเปิดร้านอาหารอร่อย แบบต้นตำหรับแท้ๆ บรรยากาศสบายๆ ถ่ายภาพได้ทุกมุม ..





















พบกับ 10 เมนูแนะนำ ขั้นเทพ
1.ขนมจีนน้ำยาปู
2.หมูกรอบฮ่องกง 3.หมูตุ๋นฮ่องเต้
4.แกงไตปลาทะเลน้อย (พัทลุง)
5.แกงส้มปลากระพง
6.ข้าวผัดโคตรปู
7.กุ้งผัดพริกเกลือ
8.สตอกุ้งสด
9.ใบเหลียงผัดไข่
10.ผัดต้นอ่อนทานตะวันเห็ดญี่ปุ่น













ในร้านยังมีความอร่อยอีกมากกว่า100 เมนูให้ลิ้มลอง ในราคาที่ทุกคนสัมผัสได้…เอาใจคนชอบของอร่อยหาทานยากเน้นคนรักสุขภาพ ถูกใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติด้วยอาหาร แนวฟิวชั่นที่ผสมผสานระหว่างอาหารไทยและอาหารจีน ได้อย่างลงตัว โดยการที่รวบรวมวัตถุดิบที่สดใหม่ส่งตรงจากแหล่งผลิตและจากสมาชิกของสมาคม(WTA) เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายวัตถุดิบคุณภาพดีมาปรุงอาหารและส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังศูนย์ประสานงานของสมาคมWTA ซึ่งมีอยู่มากกว่า25 ประเทศทั่วโลก

ร้านอาหาร สยามฟิวชั่น คูซีนจึงเป็นONE-STOP-SERVICE Restaurant, Business Matching  , Co working space , Legal and business consulting
อาหารจานเดียวสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ เวลากลางวันฟรีเครื่องดื่ม มีห้องสำหรับจัดงานปาร์ตี้ รับจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ วันเกิด รับปริญญา คู่รัก แต่งงานมีห้อง VIP สำหรับประชุม 10-50 ท่าน คาราโอเกะ  สามารถจัดวงดนตรี พิเศษเมนูตามใจลูกค้า ด้วยเชฟมืออาชีพ ไม่เหมือนใครรับรองได้เลยว่าที่นี่”อร่อยจนลืมอิ่ม”

สำรองที่นั่ง : 083-636-5555
สมาชิกสมาคม WTA
- รับส่วนลด 20% ทันที (เฉพาะค่าอาหาร)
- ฟรีบริการห้องประชุม VIP (จองล่วงหน้า)
Facebook : Siam fusion cuisine
Google maps :  https://maps.app.goo.gl/YC16kaPLk1XHpRo28

371


กล้องวงจรปิดยุคปัจจุบันได้รับความนิยมสูงมาก ด้วยเหตุว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือให้สามารถตรวจจับสิ่งต่าง ๆ ที่เพื่อใช้เป็นหลักฐาน ยิ่งภาพคม ชัด หรือบางรุ่นมีเสียงให้ด้วยก็ดีงามสุด ๆ กระนั้นก็ตามกล้องวงจรปิดแบบ Wi-Fi นั้นมีหลายท่านเลือกใช้งานมาก จึงมีสิ่งที่ต้องรู้เอาไว้ด้วยว่าบางฟังก์ชันเป็นรูปแบบเฉพาะที่มีกับกล้องแบบ Wi-Fi เท่านั้น จึงสัมผัสได้ถึงความสนใจใช้งานมากกว่า

4 ฟังก์ชันที่กล้องวงจรปิดแบบ Wi-Fi มีให้โดยเฉพาะ
1. สามารถหมุนตัวกล้องผ่านแอปได้
สิ่งแรกเลยก็คือเรื่องของฟังก์ชันการหมุนตัวกล้องด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการสั่งการผ่านแอปพลิเคชันเฉพาะของกล้องแบรนด์นั้น ๆ เลย ทำให้สามารถจับตามองเห็นสิ่งรอบตัวกล้องได้ทุกมุม สร้างความสะดวกสบายในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น ในเวลาไม่อยู่บ้านก็สามารถสอดส่องตรวจดูได้ตลอดเวลา บางรุ่นหมุนได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว ถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ

2. สามารถสื่อสารโต้ตอบ 2 ฝั่ง ณ เวลานั้นได้
กล้องวงจรปิดไร้สายมีอีกฟังก์ชันที่จัดว่าน่าสนใจ ก็คือความสามารถในการโต้ตอบสื่อสารกันกับผู้ที่อยู่บริเวณกล้อง และผู้ที่ใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน ทำให้เราพูดคุยสอบถามกับคนในบ้านได้เลย เสมือนเป็นมือถืออีกเครื่องหนึ่งช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุที่มีโอกาสขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะบ้านไหนมีผู้สูงอายุ หรือเด็กซน แนะนำว่าให้ฟังเสียงที่ออกจากลำโพงก่อนดูว่าชัดเจนแค่ไหนก่อนพิจารณาซื้อ

3. ควบคุมได้จากโทรศัพท์มือถือไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็หมดห่วง
ฟังก์ชันในการควบคุมกล้องแบบ Wi-Fi นี้ยังน่าสนใจอีกอย่าง คือสามารถใช้มือถือที่มีแอปพลิเคชันสั่งการ ควบคุมต่าง ๆ ได้จากระยะไกลไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลกก็ตาม อย่างเช่น หันซ้ายขวา บันทึกเป็นทั้งภาพวิดีโอและเสียง หรือแค่วิดีโออย่างเดียว ฯลฯ ใครไม่ค่อยอยู่บ้าน ต้องออกไปต่างจังหวัด หรือต่างประเทศเป็นประจำ ควรต้องมีเลยเชียว

4. มีระบบแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือทันทีที่เกิดเรื่อง
สุดท้ายคือเรื่องของการตรวจจับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่บางรุ่นอาจทำไม่ได้ แต่กล้องวงจรปิด WiFi สามารถใช้งานระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวได้แบบออโต้ เมื่อมีอะไรเคลื่อนไหวก็จะส่งสัญญาณให้รู้ทันทีผ่านมือถือแจ้งเตือนเรื่องที่เกิดขึ้นแบบทันใจ หากใช้เป็นรุ่นที่มีเสียไซเรนด้วยก็จะทำให้มิจฉาชีพตกใจขวัญกระเจิงแน่นอน

อย่างไรก็ดี เราจำเป็นต้องดูข้อมูลอื่น ๆ ที่กล้องวงจรปิดแบบ Wi-Fi ควรมีอยู่อีก เช่น ความละเอียดที่จับภาพ บันทึกวิดีโอ หรือบันทึกเสียงที่ควรชัดเจนมาก ๆ อย่างน้อยต้อง 1080p หรือ Full HD ไปเลย เพื่อให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจน หรือมีปัญหากลับมาย้อนดูก็จะเห็นภาพชัดเจนด้วยเช่นกัน เป็นหลักฐานที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO020302  

372


เบื่อกับพื้นเดิม ๆ จะพื้นปูน หรือพื้นดินก็ตาม อยากหาอะไรมาทำให้น่าสนใจมากขึ้น แนะนำเลือกหญ้าเทียมชนิดม้วนดู ยืนยันว่าปูทีเดียวได้พื้นใหม่ขึ้นมาทันใจ เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่ด้วยความที่เป็นมือใหม่หัดปูไม่รู้จะเลือกแบรนด์ไหนดี ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะว่าเรารวบราวมาให้เลือกบอกเลยว่าดี ๆ ทั้งนั้น ตัดสินใจได้ไม่ยาก

4 หญ้าเทียมแบบม้วน เปลี่ยนพื้นเดิม ๆ ให้สวยเป็นธรรมชาติ
1. หญ้าม้วนมนิลา SPRING (U) SOFT
มาช่วยทำให้พื้นเป็นสีเขียวชอุ่มกันดีกว่า ด้วยยี่ห้อชั้นนำ SPRING (U) SOFT ที่เหมือนหญ้าจริงมาก ปูแล้วได้พื้นเขียวชอุ่มราวกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย หรือดูแลอะไรเลย ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ซื้อทีเดียวเอาอยู่ วัสดุรองพื้นทนทาน แข็งแรง ไม่ฉีกขาดง่าย มาพร้อมรูระบายน้ำ ฝนตกเท่าใดน้ำก็ไม่ขังในหญ้า ขนาด 25 มม. 2 x 25 ม. ราคาขายเพียง 24,000 บาทเศษ

2. หญ้าม้วนมนิลา SPRING (C-SHAPE)
หญ้าเทียมปูพื้นเหมือนจริงยี่ห้อเดิมนี่แหละ แต่มีความแตกต่างอยู่นิดหน่อย คือ มีความแข็งแรงทนทาน ไม่ฉีกขาดง่ายแน่นอน มีความทนทานต่อแสงแดด ทั้งนี้เพราะหญ้ามีส่วนผสมของ UV Resistance ไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ตัดเล็มอะไรเลย แต่ยังคงเขียวชอุ่มตลอดปี ปรับภูมิทัศน์ให้ออกมาแปลกตา จากพื้นเดิม ๆ ที่น่าเบื่อ กลายเป็นธรรมชาติสุดพลัง มีรูระบายน้ำ ไม่ทำให้น้ำขังหญ้าไปอีก ขนาด 30 มม. 2X3 ม. ราคา 3,500 บาท

3. หญ้าม้วนมนิลา ME LIVING
หญ้าม้วนมนิลาแบรนด์ต่อมา ME LIVING สามารถนำมาใช้ปูตกแต่งพื้นให้กลายเป็นธรรมชาติ มองไปแล้วสบายตาสุด ๆ ติดตั้งได้หลากหลายรูปแบบ จะเป็นสนามเด็กเล่น หรือตกแต่งสวนสวย ๆ งานตกแต่งผนัง หรือสนามกอล์ฟได้เลย มีความแข็งแรงทนทาน มีรูช่วยระบายน้ำไม่ทำให้น้ำขังหญ้า ทนทานต่อแสงแดดเนื่องด้วยมีสาร UV Resistance ดูแลรักษาง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องรดน้ำ ไม่ต้องใส่ปุ๋ย ตัดเล็ม ประหยัดเงินไปอีกขั้น ขนาด 35 มม. 2X1 ม. โดยเป็นหญ้าเทียม ราคา 26,000 บาทเศษ

4. หญ้าม้วนมนิลา ME LIVING BIO
ปิดท้ายหญ้าที่ดีที่สุดอีกรุ่น ช่วยตกแต่งพื้นสร้างความสวยงาม ไม่จำเป็นต้องดูแลรักษามาก วัสดุทำจากพลาสติกคุณภาพ นุ่มนิ่มไม่ขาดตัว นอนเล่นได้ แข็งแรง ทนทาน ปัญหาฉีกขาดง่ายไม่เกิด ทนต่อแสงแดดได้เพราะสาร UV Resistance เป็นส่วนผสม ฝนตกก็ไม่ต้องกลัวเนื่องจากมีรูระบายน้ำช่วย ขนาด 15 มม. 2X1 เมตร ราคาหญ้า 17,000 บาทเศษ

ที่จริงหญ้าเทียมไม่ได้มีแค่แบบม้วนเท่านั้น แต่ยังมีเป็นแบบแผ่นที่เอามาปูต่อกันซึ่งราคาก็จะถูกลง เพราะคิดเป็นแผ่นตามขนาด เหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการปูพื้นทั้งหมด อยากได้นิด ๆ หน่อย ๆ หวังว่าการมีหญ้ามาปูอย่างนี้จะทำให้บ้านของท่านน่าอยู่เพิ่มมากขึ้น

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0401

373


เมื่อพูดถึงกล่องกระดาษขึ้นมาแล้ว พ่อค้าแม่ค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนขายของออนไลน์คงสนใจขึ้นมาทันที เนื่องจากนับเป็นอุปกรณ์ทำมาหากินที่ควรต้องให้ความสำคัญ ยิ่งถ้ากลุ่มกล่องพัสดุไปรษณีย์ก็ต้องยอมรับว่ามีให้เลือกหลากขนาด และหลายความพิเศษ แต่ทำไมถึงควรนำมาใช้งาน ลองมาหาคำตอบกันเลยดีกว่า

ความพิเศษของกล่องกระดาษไปรษณีย์
บางคนอาจจะไม่เคยรู้ถึงการเลือกกล่องกระดาษส่งพัสดุว่าสำคัญแค่ไหน เนื่องมาจากคิดว่าแบบไหนก็เหมือนกัน ทั้งที่จริงแล้วต้องบอกว่ามีหลายแบบที่คุณอาจไม่ทราบถึงความพิเศษ หรือมองข้ามไปได้ ได้แก่ กล่องไปรษณีย์ที่มีรูปแบบต่าง ๆ เยอะพอสมควร ทั้งเรื่องขนาด ความหนาของกล่อง รวมถึงวัสดุที่ใช้ทำ น้ำหนัก ความสะดวกสบายต่อการใช้งาน ความแข็งแรงโดยเฉพาะเกรดกระดาษสีน้ำตาลธรรมชาติที่แข็งแรงทนาน เน้น Recycle 100% โดยจะเรียกว่ากระดาษสีน้ำตาลธรรมชาติ KT  ฯลฯ

แน่นอนว่าเราในฐานะพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องจัดส่งของถึงมือลูกค้าควรใส่ใจเลือกเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดมาใช้งาน ยิ่งไปกว่านี้ เรายังสามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้หลายครั้งเลยด้วย เป็นการประหยัดทรัพยากรโลกไปอีก ที่สำคัญยังเป็นกล่องที่ปลอดภัยจากธรรมชาติ เนื่องด้วยมีมาตรฐานระดับสากล FSC คุ้มครองดูแล และอีกหนึ่งความพิเศษคือจะมีที่อยู่ผู้รับ และผู้ส่งให้ได้เขียนกรอกรายละเอียดไว้อย่างชัดเจน พร้อมช่วยให้ดูสวยงามสะอาดตาไปอีก

แนะนำกล่องประเภทไปรษณีย์แพ็คของ
กล่องแบบไปรณีย์ ต้องยอมรับว่ามีให้เลือกหลากไซซ์มาก โดยจะขอพาไปทำความรู้จักหลัก ๆ 2 ตัวเลือกสุดเจ๋ง คือ
- กล่อง MPC มีให้เลือกเยอะ ตัวกล่องไปรษณีย์ขนาดกำหนดตั้งแต่ A, B, C, D ซึ่งความกว้างจะวัดหน่วยเป็น ซม. มีขนาดต่างกันซึ่งจะใช้โค้ดตัวอักษรภาษาอังกฤษ (A = ขนาดเล็กสุด D = ขนาดใหญ่สุด) ระบุเอาไว้
- กล่อง PACK IN มีความแข็งแรงทนทานมาก ก็เพราะว่าใช้เป็นกระดาษ KA ลูกฟูก 5 ชั้น น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้สะดวกสบายไม่ต้องขนให้ปวดหลัง

นอกจากที่จะเป็นกล่องแบบติดสก๊อตเทปปิดเรียบร้อยแล้ว จริง  ๆ ก็ยังมีแบบกล่องฝาครอบด้วย โดยตัวกล่องจะทำจากวัสดุลูกฟูก ประกอบง่าย ใช้เก็บของ น้ำหนักเบา ขนย้ายสะดวก พร้อมช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ ทั้งนี้ เรื่องของขนาดก็จะมีแตกต่างกันออกไป เช่น ขนาด 36.8X42.2X30.5 ซม., ขนาด 31 X 36 X 26 เซนติเมตร, ขนาด 40x45x35 ซม. ฯลฯ

ในการแพ็คสินค้าส่งลูกค้านั้นนอกจากเรื่องของกล่องกระดาษที่ต้องดีมีคุณภาพแล้ว ก็ต้องมีตัวช่วนอื่น ๆ ที่ลดปัญหาสินค้าเสียหายชำรุดด้วย ไม่ว่าจะเป็น กระดาษลูกฟูก, บับเบิ้ล หรือไม่มีจริง ๆ ก็เอาหนังสือพิมมาขยำเป็นก้อนวางป้องกันการกระแทกก็ได้ หวังว่าการใช้งานทุกคนจะปลอดภัยลูกค้ารับไปแกะสบายใจไม่มีบ่นแน่นอน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0801

374


เชื่อเหลือเกินว่าในชีวิตประจำวันของใครหลายคนเลือกใช้ “ทิชชู่เปียก” มากกว่ากระดาษเช็ดประเภทอื่นแล้ว ด้วยความน่าสนใจที่พร้อมทำความสะอาดได้หมดจดเพิ่มขึ้น และมีให้เลือกหลากหลาย มีส่วนผสมที่ตอบโจทย์ กระนั้นหากท่านใดที่สนใจอยากได้มาใช้งานบ้าง แต่ไม่รู้จะเลือกยี่ห้อไหน รุ่นใดดี แนะนำไปร้านสะดวกซื้อมองหา 4 รุ่นนี้ บอกเลยคุณภาพจัดเต็ม!!

มองหาทิชชู่เปียก มองหา 4 รุ่นนี้ได้คุณภาพจัดเต็ม
1. CELLOX
เริ่มต้นกันที่แบรนด์ CELLOX ที่จะใช้เป็นเทคโนโลยี Germ Clear Plus ที่พร้อมลดการสะสมของแบคทีเรียที่มาเกาะติดบริเวณสิ่งสกปรก โดยที่จะมีส่วนผสมที่เป็นน้ำมากกว่า ไม่มีแอลกอฮอล์ จึงไม่ค่อยระคายเคืองผิวมาก สัมผัสนุ่ม หนา เป็นความพิเศษที่พร้อมทำความสะอาดให้เราอย่างหมดจด แบบ 10 แผ่น ราคาถุงละ 29 บาท

2. KLEENEX NATURAL REFRESHING
เป็นอีกกระดาษทิชชู่เปียกที่น่าสนใจเช่นกัน โดยที่จะผสมผสานว่านหางจระเข้ และแตงกวาด้วยกัน มีเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างนุ่มลื่น ด้วยกระดาษที่เป็นเยื่อบริสุทธิ์ได้จากธรรมชาติโดยตรง สามารถเช็ดทำความสะอาดที่ต่าง ๆ ได้เลยตามต้องการกลิ่นหอมมอบความสะอาดให้แบบสดชื่นขั้นสุด แบบ 10 ราคาถุงละ 25 บาทเท่านั้น

3. V CARE EXTRA HYGIENE
จัดว่ามองหาแล้วต้องอยากให้มีเลย ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจของ V CARE EXTRA HYGIENE ที่เนื้อผ้าสัมผัสนุ่ม ช่วยให้การเช็ดทำความสะอาดผ่านไปราบรื่นดี และยังสามารถฆ่าเชื้อโรคได้มากเนื่องด้วยมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม 70% มีน้ำมันแมคคาเดเมียออร์แกนิคมาเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว บรรจุภัณฑ์พกพาง่าย กะทัดรัด จึงสะดวกต่อการใช้งาน แบบ 10 ชิ้นราคาถุงละ 29 บาท ใครต้องการทิชชู่เปียกแอลกอฮอล์นี้อยู่ไม่มียี่ห้อนี้ไม่ได้จริง ๆ

4. DETTOL ANTI-BACTERIAL
ตบท้ายกันที่ยี่ห้อ DETTOL ANTI-BACTERIAL ที่พร้อมช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียได้ดีถึง 99.9% เลยทีเดียว ปลอดภัยมากเพราะว่าไม่มีสารฟอกขาว มีกลิ่นที่หอมสะอาด ทำให้หลังใช้งานไปแล้วรู้สึกสดชื่นมากขึ้น เป็นกระดาษแบบเปียกที่ใช้งานได้หลากหลายพื้นที่ จะเช็ดมือ โต๊ะกาแฟ เคาน์เตอร์ครัว อ่างล้างหน้า หรือในห้องน้ำได้หมดตามต้องการ แบบ 45 แผ่น ราคาสุดคุ้มเพียงแค่ 120 บาทเท่านั้น

และทั้งหมดนี้ก็เป็นทิชชู่เปียกที่เรารวบรวมมาแนะนำ พร้อมช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้อย่างหมดจด ซึ่งแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป หลังแกะใช้งานกันแล้วแนะนำให้ผิดฝาจนสนิทเพื่อเป็นการป้องกันการเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสต่าง ๆ จากที่จะสะอาดกลัวว่าจะสกปรกได้ ทั้งนี้ ควรเก็บให้พ้นมือเด็ก เลี่ยงการใช้รอบดวงตา และไม่แนะนำให้เอาไปผสมกับน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือผงซักฟอกใด ๆ ใช้เสร็จแล้วให้ทิ้งลงถังขยะเป็นการจัดเก็บมาตรฐานความปลอดภัย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0215

375


กระดาษทิชชู่” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เรามักใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเช็ดสิ่งสกปรกต่าง ๆ โดยสามารถใช้ได้กับหลากหลายพื้นที่ขึ้นอยู่กับชนิดการใช้งาน ซึ่งในห้องน้ำเองก็มีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีหากใครใช้เป็นกระดาษแบบม้วน ๆ จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างดี เพราะไม่อย่างนั้นอาจมีความเสี่ยงอาหารเป็นพิษได้

ใส่กระดาษทิชชู่แบบม้วนผิดวิธีระวังเสี่ยงอาหารเป็นพิษ
ในห้องน้ำนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าปกติจะเป็นกระดาษชำระแบบม้วนใหญ่สวมเข้าไปยังกล่องใส่กระดาษซึ่งกล่องนี้จะติดกับผนัง ใช้งานได้สะดวก และปลอดภัย เชื่ออย่างยิ่งว่ายังมีอีกหลายแห่งที่ยังใช้เป็นแบบกระดาษม้วนเล็ก ดึง ๆ เอาได้เหมือนกันโดยเฉพาะห้องน้ำสาธารณะ ทว่าหากใช้ผิดแล้วนั้นโอกาสที่จะเกิดอาการอาหารเป็นพิษมีสูงมาก

ถามถึงเหตุผลที่เป็นก็เพราะในห้องน้ำมีเชื้อ “อีโคไล” เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารส่วนลำไส้ ปนเปื้อนออกมาจากการอุจจาระ แล้วก็จะมาเกาะได้ตามร่างกายโดยเฉพาะมือแล้วดันไปหยิบอาหารใส่ปากกลืนลงไป ก็ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษนั่นเอง ซึ่งกระดาษเช็ดในห้องน้ำจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อนี้ได้ เพราะว่าต้องนำมือไปสัมผัสดึงมัน การสวมใส่กระดาษกับแกนจึงมีความสำคัญมาก

วิธีการใส่ที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
สำหรับวิธีการใส่กระดาษเช็ดในห้องน้ำ แนะนำว่าให้ใส่แบบคว่ำลง เพื่อที่จะดึงกระดาษจากด้านบนได้เลยทันที ทั้งนี้เพราะกระดาษที่อยู่ฝั่งติดกับผนังของห้องน้ำ จะยิ่งมีโอกาสรับเชื้อแบคทีเรียที่กระจายตามห้องน้ำได้ง่ายมาก มีผลวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Colorado กับห้องสาธารณะ พบว่าทั้งหญิงและชาย มีแบคทีเรีย 19 กลุ่มด้วยกัน มักจะสัมผัสตามพื้น ที่จับก๊อก ลูกบิดประตู อุปกรณ์ใส่สบู่ในห้องน้ำ รวมถึงกระดาษเช็ดด้วย

การใส่กระดาษกับแกนรองแบบคว่ำก็จะลดความเสี่ยงได้อย่างง่ายดาย ทว่าปัจจุบันไม่ได้มีแค่กระดาษแบบนี้แล้ว อย่างที่บอกมีแบบเป็นม้วนใหญ่พร้อมฝาครอบก็จะลดความเสี่ยงกระดาษสัมผัสเชื้อโรคได้ แต่กระนั้นก่อนใช้งานหากเห็นกระดาษห้อยออกมาจากฝาครอบ แนะนำว่าให้ฉีกส่วนที่ห้อยออกมาทิ้งไปก่อน

นอกจากนี้ เราสามารถพกของตัวเองไปได้ อย่างกระดาษเช็ดหน้าบรรจุในกล่อง พกพาสะดวกแค่หยิบติดตัวเอาไว้ก็ช่วยลดความเสี่ยงปัญหาติดเชื้อจากแบคทีเรียต่าง ๆ ที่มองไม่เห็นอย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงอย่างไร ยังมีอีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้เมื่อเราใช้กระดาษทิชชู่ในห้องน้ำก็คือการนำทิ้งลงชักโครกแล้วกดลงไป ซึ่งความจริงแล้วไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องมาจากกระดาษจะไปจุกอยู่แล้วทำให้ท่อตัน แม้ปัจจุบันจะมีแบบที่ทิ้งลงชักโครกได้แล้ว แต่เมื่อไปใช้ในที่สาธารณะเราไม่รู้ว่ากระดาษประเภทนั้นทิ้งได้ไหม เนื่องด้วยไม่มีฉลากผลิตภัณฑ์ให้อ่าน ทางที่ดีทิ้งลงถังขยะเถอะนะ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

376


หากท่านเป็นผู้นึงที่รองเท้าเยอะมาก ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนดี ก็อยากเสนอแนะที่เก็บรองเท้าซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “กล่องรองเท้า – ชั้นวาง – ถาดใส่” ก็ตาม สามารถเลือกได้ตามความชอบเลยด้วย ว่าแล้วเราไปดูกันเลยดีกว่า เพื่อให้การเก็บรองเท้าของเราเป็นระเบียบ หยิบใช้ง่ายมากขึ้น

“กล่องรองเท้า – ชั้นวาง – ถาดใส่” แบรนด์ไหนดีเลือกได้ทันใจ
1. STACKO HP5-0040
เริ่มต้นกันที่กล่องใส่รองเท้าแบรนด์ STACKO รุ่น HP5-0040 ขนาด 20.8x32.3x13.2 เซนติเมตร ผลิตจากพลาสติกที่แข็งแรงทนทาน คุณภาพดีมาก อายุการใช้งานก็ยาวนานด้วย มีฝาหน้าที่เปิด – ปิดได้ตามต้องการ จะวางทับซ้อนแค่ไหนก็ไม่แตก ชำรุด ช่วยป้องกันฝุ่นละอองได้ได้เป็นอย่างดี มีช่องสำหรับระบายอากาศให้ด้วย กลิ่นอับที่กลัววางใจไปได้เลย เพิ่มความเป็นระเบียบให้อย่างดีที่สุด

2. กล่องแบบลิ้นชัก STACKO
กล่องต่อมาที่อยากแนะนำ จะเป็นลักษณะของกล่องที่เป็นลิ้นชักชักออกมาได้ ซึ่งจะมีขนาดที่เล็กกะทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก ไม่เกะกะพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน วางซ้อนได้ 6 ชั้น หยิบจับใช้งานง่ายๆ เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ฝาหน้าจะมีความใสมองเห็นรองเท้าที่ใส่ไว้ได้ จึงช่วยให้การใช้งานง่ายมากขึ้น มองเห็นรู้เลยว่าเป็นคู่ไหน อยากใส่หรือเปล่า

3. ชั้นวางรองเท้า 3 ชั้น STACKO SHE15909
นอกจากกล่องรองเท้าใสที่ฝาหน้า หรือไม่ใส่ใด ๆ ก็ตาม ยังมีเป็นชั้นวางรองเท้าด้วย โดยเป็นแบบ 3 ชั้น รุ่น SHE15909 ที่จะเป็นโครงเหล็กคุณภาพดี ทนทาน แข็งแรง แต่น้ำหนักเบาทำให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกมาก ช่วยทำให้รองเท้าคู่โปรดเป็นระเบียบจัดเรียงสวยงามมากขึ้น เหมาะสมกับพื้นอย่าง ห้องพัก หอพัก ที่พื้นที่ใช้สอยไม่มาก จะเอาไปวางทางเดิน หรือห้องแต่งตัวได้หมด

4. ถาดใส่รองเท้า KEYWAY PS-0046
ปิดท้ายกันที่ถาดใส่รองเท้า จาก KEYWAY รุ่น PS-0046 ที่จะใช้วัสดุการผลิตเป็นพลาสติกอย่างดี ช่วยให้เกิดความแข็งแรงทนทานอย่างที่สุด เอามาจัดวางรองเท้า แล้วเก็บเข้าตู้รองเท้าได้เลย สามารถเก็บได้มากถึง 3 คู่ โดยวางทับซ้อนกันได้มากกว่า 2 ชั้นขึ้นไป จึงค่อนข้างช่วยให้ประหยัดพื้นที่ใช้สอยมาก ๆ

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าการเลือกซื้อ “กล่องรองเท้า – ชั้นวาง – ถาดใส่ของคุณ ๆจะได้รับการตอบสนองใช้งานได้อย่างดี เก็บแล้วช่วยเรื่องความเป็นระเบียบ การหยิบจับง่ายขึ้น ทำให้สะดวกต่อการหยิบรองเท้ามาใส่ แต่เมื่อซื้อมาใช้งานแล้วก็อย่าลืมเรื่องการดูแลรักษาให้ดี ๆ ด้วย อย่างถ้าเป็นพลาสติกก็เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดได้ คราบสกปรกไม่ยอมออกเอาน้ำยาล้างกล่องพลาสติกโดยเฉพาะมาใช้ก็ตามเช่นกัน ฯลฯ เพื่อถนอมอายุการใช้งานยาวนานเพิ่มขึ้น

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP1205

377


ใครที่กำลังมองหาเก้าอี้ – โต๊ะพับแต่ไม่รู้จะเลือกแบรนด์ไหนดี ไม่รู้ว่ามีรุ่นไหนให้ใช้งานได้ดีบ้าง เอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ทั้งนี้เพราะเรารวบรวมมาให้เลือกแบบจัดเต็ม คุณภาพสุดเจ๋ง ชนิดที่ได้ยินชื่อแล้วต้องรีบซื้อสินค้ามาใช้งานอย่างเร็วเลย ว่าแต่จะมีแบรนด์ไหน รุ่นไหนน่าสนใจบ้าง เรารีบไปดูกันดีกว่า

4 ยี่ห้อเก้าอี้ – โต๊ะพับ คุณภาพสุดเจ๋ง ซื้อใช้งานไม่ผิดหวัง
1. แบรนด์ New Storm
เริ่มต้นกันที่แบรนด์แรกกับ New Storm ที่มีให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งโต๊ะแบบอเนกประสงค์สี่เหลี่ยม แบบอเนกประสงค์ทรงกลม หรือเก้าอี้แบบพับก็มีด้วยเช่นกัน โดยคุณภาพนั้นค่อนข้างดีด้วยวัสดุที่แข็งแรง ทนทานมาก โครงสร้างที่ขาก็เป็นเหล็กพ่นกันสนิมด้วย ยกตัวอย่าง โต๊ะอเนกประสงค์รุ่น BT-04J ราคาจำหน่าย 1,690 บาท, โต๊ะกลมอเนกประสงค์ HDPE NST-120R ราคาจำหน่าย 3,170 บาท, เก้าอี้พับรุ่น GC-81NW ราคาเพียง 1,020 บาท

2. ยี่ห้อ HDPE
เป็นอีกแบรนด์ที่มีความน่าสนใจมาก ๆ เนื่องจากมีให้เราเลือกหลายขนาด มีการใช้สีฝุ่นอีพ็อกซี่ โครงขาเหล็กหนามาก ๆ ทนทานแข็งแรงขั้นสุด สามารถพับเก็บได้สะดวกมาก ลดพื้นที่การจัดเก็บได้ดี เคลื่อนย้ายสะดวก เช่น โต๊ะอเนกประสงค์ FR-120 ราคาจำหน่าย 2,100 บาท, โต๊ะพับหวาย FR-62 ราคาจำหน่าย 1,350 บาท, HDPE 3 ระดับ SPRING ราคาขาย 1,690 บาท

3. ยี่ห้อ MC
อีกหนึ่งแบรนด์โต๊ะพับอเนกประสงค์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยที่จะมีทั้งชนิดมีที่นั่ง พนักพิง ที่วัสดุจัดทำเกรดพรีเมี่ยม ความยืดหยุ่นสูง ทนทานแข็งแรง วัสดุใช้โครงสร้างและขาเป็นเหล็กด้วย และมีสารป้องกัน UV ทนทานต่อฝน และแสงแดด ยกตัวอย่าง รุ่น MC-20C HDPE ราคา 299 บาท, รุ่น MC-90SP ราคาขาย 890 บาท

4. ยี่ห้อ Spring
สุดท้ายเป็นอีกยี่ห้อที่น่าสนใจมาก ๆ เพราะได้วัสดุที่จัดทำจากวัสดุอะลูมิเนียม ที่มีความทนทานแข็งแรง มีสารป้องกันสนิม น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้สะดวกมาก ๆ เพราะน้ำหนักเบา ใช้งานแล้วไม่ผิดหวัง เช่น รุ่น SPRING TRAVIS ราคา 2,490 บาท, 2 in 1 SPRING BASTIEN ราคาจำหน่าย 15,900 บาท ที่มีทั้งโต๊ะผสานกับเก้าอี้ที่สามารถพับได้หมด, รุ่น SPRING TRAVIS เก้าอี้ปิกนิกแบบพับได้ ราคา 490 บาท, SPRING HDPE โต๊ะที่พับได้แบบไม้ ราคาจำหน่าย 2,390 บาท

แบรนด์โต๊ะพับ รวมถึงเก้าอี้แบบพับได้เหล่านี้การันตีว่ามีคุณภาพสูงสุด พร้อมให้ท่านได้นำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะโต๊ะ หรือเก้าอี้ใช้งานได้หมดเลย แต่กระนั้นก่อนที่เราจะเลือกซื้อได้ก็ต้องมีการพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีด้วย ไม่ว่าจะคุณสมบัติของวัสดุที่ผลิต โครงสร้างขา ตัวล็อก การรองรับน้ำหนักที่เป็นแบบกระจายตัว ลักษณะการใช้ที่สามารถวางไว้ภายใน – ภายนอก ฯลฯ และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือต้องดูแลรักษาให้ดีด้วย เพื่อให้การใช้งานผ่านไปได้ราบรื่นไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อมาเปลี่ยนบ่อย ๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

378


อย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันนั้นหม้อหุงข้าวที่เห็น ๆ กันอยู่นี้มีทั้งแบบธรรมดา และแบบดิจิทัล แน่นอนว่าทั้ง 2 ชนิดมีความต่างกัน และแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างก็ผลิตออกมาให้เลือกหลากหลาย หากคุณสนอกสนใจแต่ไม่รู้จะเลือกยี่ห้อไหน รุ่นใดดี เรารวบรวมข้อมูลสำคัญมาบอกต่อ ทราบรายละเอียดดีก็เลือกซื้อเลือกหาได้คุณภาพ

แนะนำหม้อหุงข้าวแบบธรรมดา VS ดิจิทัล
แนะนำหม้อหุงแบบธรรมดา
- MANUAL TOSHIBA RC-T10CE หม้อหุงข้าวเล็กขนาดความจุ 1 ลิตร อะลูมิเนียมหนา 1 มิลลิเมตร ทนต่อความร้อนได้ดี วัสดุภายนอกแข็งแรง เหล็กเคลือบสี ทนทานสุด ๆ ราคาจำหน่าย 619 บาทเท่านั้น

- MANUAL SHARP KSH-H39 ขนาดความจุ 3.80 ลิตร กำลังไฟ 1,350 วัตต์ ระบบอุ่นเป็นแบบอัตโนมัติ มีระบบตัดไฟแบบ Thermostat ปลอดภัยต่อการใช้งานแน่นอน ราคาจัดจำหน่าย 1,730 บาทเท่านั้น

- MANUAL COCORU RC-016 ขนาดความจุ 1.2 ลิตร ตัวหม้อเคลือบสารกันติด ทำให้สะดวกต่อการล้างทำความสะอาด หุง อุ่น ตุ๋น ต้ม นึ่ง แข็งแรงทนทาน กะทัดรัดเคลื่อนย้ายสะดวก ราคาขาย 599 บาทเท่านั้น

- MANUAL MITSUMARU AP-1830 ขนาด 3 ลิตร กำลังไฟ 1,000 กำลังวัตต์ 220 โวลต์ หม้อด้านนอกเป็นเหล็ก แล้วด้านในจะเป็นอะลูมิเนียม มีระบบตัดไฟเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าปกติด้วย Safety thermal fuse ราคาจำหน่าย 1,120 บาทเท่านั้น

แนะนำหม้อหุงแบบดิจิทัล 
- DIGITAL HITACHI RZ-D18VF หม้อจะเป็นแบบอะลูมิเนียมระดับสูงขนาด 1.8 ลิตร ทนทานแข็งแรง มีโปรแกรมเมนูอัตโนมัติ 20 เมนู ออกแบบให้มีร่องนูนเพื่อกระจายความร้อน ข้าวสุกทั่วถึง ใช้ระบบไมโครคอมพิวเตอร์ช่วยควบคุมอุณหภูมิแม่นยำ ระบบ Double Cook หุงข้าวและทำอาหารได้เลย ราคาขาย 3,390 บาทเท่านั้น

- DIGITAL SHARP KS-COM10 แรงดันไฟฟ้า 220 โวลต์ 50 เฮิรตซ์ ใช้ระบบ Direct Access System กดครั้งเดียวปรุงเมนูอาหารได้ตามต้องการ สามารถตั้งเวลาปรุงอาหารได้ 24 ชั่วโมง ฝาหม้อด้านในมีแผ่นความร้อนทำให้ไอน้ำไม่หยดลงข้าว ทำให้ข้าวไม่บูดไม่เสียง่าย ราคาจำหน่าย 2,270 บาท

- DIGITAL PANASONIC SR-CN108WSN หม้อหุงข้าวไฟฟ้าดิจิทัลความจุ 1 ลิตร หม้อหนา 6 ชั้น 22 มม. มีจอ LED สีขาวเพื่อดูการใช้งาน บอกรายละเอียดอย่างชัดเจน ช่องไอน้ำถอดออกมาทำความสะอาดได้เลย เลือกปรุงอาหารตามเมนูอัตโนมัติที่มีให้ 16 เมนูตามต้องการ ราคาขาย 2,449 บาทเท่านั้น

- DIGITAL TEFAL RK6011TH สำหรับครอบครัวขนาดเล็กอยากได้หม้อระบบดิจิทัลก็มีรุ่นนี้เลย ความจุ 0.7 ลิตร หม้อหนา 2 มม. ผิวเคลือบเซรามิค 6 ชั้น ข้าวไม่ติดหม้อ หน้าจอเป็น LED ปุ่มสัมผัส ด้วยเทคโนโลยี AiIจัดการ สะดวกต่อการใช้งาน ตั้งค่าหุงข้าวได้ 24 ชม. กำลังไฟ 350 วัตต์ ราคาที่ 2,590 บาทเท่านั้น

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแนะนำหม้อหุงข้าวแบบธรรมดา VS ดิจิทัลที่เรารวบรวมมาฝาก คงจะช่วยให้การตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหาหม้อหุงข้าวผ่านไปได้อย่างราบรื่น กระนั้นก่อนตัดสินใจควรไตร่ตรองถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ ความจุ ฟังก์ชันการทำงาน รวมถึงราคาด้วย ทั้งนี้เพราะแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นแตกต่างกันอยู่แล้ว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0810

379


ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเครื่องฟอกอากาศนั้นมีความจำเป็นกับการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก จนกระทั่งมีการพัฒนาให้ตอนนี้สามารถพกพาห้อยคอได้ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญเมื่อมีไว้ใช้งานแล้ว คือวิธีการดูแลเครื่องฟอกอากาศพกพาให้ดี ถูกต้องตามหลักการ เพื่อให้ใช้งานยาวนานมากขึ้น ใม่ต้องเสียสตางค์เพื่อซื้อใหม่บ่อย ๆ

วิธีการดูแลเครื่องฟอกอากาศพกพาให้ใช้งานได้ยาว ๆ
1. ใช้ในพื้นที่ที่เหมาะสม
เริ่มแรกเลยก็คือเราเองจำเป็นต้องมีการปรับการใช้งานของเครื่องให้เหมาะสมด้วย โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น พอเหมาะกับเครื่องที่มีความสามารถช่วยกระจายอากาศดี ๆ แต่ละพื้นที่ ดังเช่น เครื่องที่มีเหมาะกับพื้นที่ 15 ตารางเมตร ก็ควรเลือกอยู่ในพื้นที่ที่มีขนาดประมาณนี้ ไม่ควรใหญ่เกินไป เพราะจะทำให้การใช้งานไม่ตอบโจทย์กับการดูแลตนเอง

2. แผ่นกรองต้องทำความสะอาดเสมอ
เครื่องฟอกอากาศแบบพกพาก็มีแผ่นกรองใช้งานด้วยเช่นกัน ข้อสำคัญคือเราต้องทำความสะอาดแผ่นกรองให้ดี และเหมาะสม ดังเช่น แผ่นแบบหยาบต้องเอามาล้างทำความสะอาด พิจารณาจากวัสดุ ถ้าเป็นฟองน้ำก็เอาไปซักได้เลย เป็นต้น เมื่อเราดูแลความสะอาดเรียบร้อย จะเท่ากับว่าปจัดการแหล่งสะสมเชื้อโรคไปแล้ว ใช้งานต่อได้ยาว ๆ

3. ปรับระดับการทำงานให้ดี
ต้องบอกก่อนว่าเครื่องช่วยฟอกอากาศนี้จะมีระดับการทำงานให้ปรับหลากหลาย เราสามารถเลือกระดับได้ตามคุณภาพของเครื่องที่มี อาทิเช่น เราควรปรับให้เครื่องมีระดับการทำงานสูงเหตุเพราะบริเวณที่เราอยู่มีกลิ่นเหม็น ไม่สะอาด มีกลิ่นอับกลิ่นไม่พึงประสงค์เยอะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เครื่องได้ดี

4. อย่าแกะสับเปลี่ยนชิ้นส่วนเอง
ไม่ควรสับเปลี่ยนชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่มีในเครื่องช่วยฟอกอากาศพกพาด้วยตนเอง ก็เพราะว่าจะไปทำให้เครื่องเสื่อมสภาพได้ อย่างลืมว่าคุณไม่ใช่ช่าง ไม่มีความรู้ ให้เครื่องอยู่แบบเดิมจะดีที่สุด

5. เปิดใช้งานตามช่วงเวลา
สุดท้ายคือควรรู้เวลา และเปิดใช้งานเครื่องฟอกอากาศห้อยคอพกพาอย่างเหมาะสม เช่น เปิดเมื่อเดินทางไปไหนมาไหน พออยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีความเสี่ยงก็ปิดไปก่อนได้ หรือตอนนอนหลับ กลางคืนไม่ได้ไปไหนแล้วก็ปิดเครื่องไปเลย ไม่ควรเปิดทิ้งไว้ตลอดคืน เนื่องด้วยจะทำให้ตัวเครื่องทำงานหนักมากเกินไป แล้วก็จะเกิดปัญหาแบตเสื่อมสภาพได้

วิธีการดูแลเครื่องฟอกอากาศพกพาเหล่านี้เป็นวิธีเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็สามารถนำไปปรับใช้เลือกทำตามกันดู การันตีว่าจะมีเครื่องห้อยคอใช้งานพกพาไปไหนมาไหนอย่างสบายใจยาวนานมากขึ้น ตลอดอายุการใช้งานที่มี ปัจจุบันมียี่ห้อให้เลือกเยอะ ทั้ง JYE DOUGHNUT, SABAIDEE CARE, KB AIR MASK ยังไงก็ลองพิจารณาข้อมูลที่มีก่อนตกลงใจซื้อสินค้า

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0203

380


เมื่อเอ่ยถึง “เก้าอี้สนาม” ขึ้นมาแล้ว เราก็จะเข้าใจได้เลยว่าเป็นเก้าอี้ที่เอาไปตั้งแคมป์เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ทั้งนี้เพราะที่จริงยังมีอีกหลายชนิด ในคราวนี้เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักให้มากขึ้น เพื่อการนำไปใช้ได้ตอบโจทย์มากขึ้น แล้วจะนำไปใช้งานในลักษณะใดได้บ้าง? ไปติดตามกับเราทางนี้ด่วน ๆ

4 การนำเก้าอี้สนามไปใช้งาน เลือกได้ตามต้องการ
1. ใช้สำหรับการตกแต่งบ้าน
สิ่งแรกที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ คือการเลือกเอามาวางตกแต่งประดับบ้านให้ดูมีลูกเล่นสวยงาม หรูหรา แปลกตา สร้างจุดเด่นให้กับบ้านได้ ยิ่งเลือกเป็นเก้าอี้ที่มีวัสดุตกแต่งสวยงาม แข็งแรงทนทาน เอามาวางไว้ในบ้านจะใช้งาน หรือเน้นความสวยงามอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่ต้องไม่ไปขยับเปลี่ยนทิศทางไม่อย่างนั้นมุมองศาตกแต่งบ้านจะไม่เนี๊ยบอีกต่อไป

2. นำไปวางใช้งานนอกบ้านได้
ต่อมาคือสามารถเอาไปวางใช้งานนอกบ้านได้โดยไม่เกิดการชำรุด หรือพังเสียหาย แต่ต้องเลือกชนิดเก้าอี้ให้ดีด้วย เนื่องด้วยวัสดุบางอย่างก็เอาไปวางไม่ได้ อาทิเช่น เก้าอี้ไม้ทั่วไปถ้าถูกแดดนาน ๆ หรือถูกฝนก็จะเกิดปัญหาสีซีด ไม้ผุกร่อน ถูกปลวกแทะ หรือขึ้นสนิม ฯลฯ อย่างนั้นถ้าจะให้แนะนำก็ควรเป็นม้านั่งสนามที่ทำจากไม้สักอันแข็งแรง ทนทานทั้งแสงแดดและฝน ไม่เกิดปัญหาแมลง หรือปลวกมากวนใจ

3. ใช้นั่งพักผ่อนทั้งภายใน – นอกบ้าน
การนำไปใช้งานอีกอย่างคือการใช้เพื่อพักผ่อนโดยสามารถตั้งไว้นั่งเล่นนอนเล่นอ่านหนังสือ ดูทีวี หรือนั่งมองวิวต่าง ๆ ได้เลย แต่ก็อย่าลืมเลือกดูจากวัสดุที่ผลิตด้วย เนื่องจากการวางพื้นที่แตกต่างในบ้าน – นอกบ้าน ก็จะมีสภาพอากาศต่างกันนั่นเอง เลือกที่เหมาะสมกับเราแล้วก็เหมาะกับลักษณะพื้นที่ แต่ถ้าอยากใช้ทั้ง 2 ประเภท ก็มีเก้าอี้ที่วางใน – นอกบ้านได้อย่างเก้าอี้หวาย

4. ที่นั่งสำหรับทานข้าว สังสรรค์ร่วมกัน
สุดท้ายเราสามารถเลือกซื้อเก้าอี้เพื่อมาร่วมวงนั่งทานข้าว สังสรรค์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งปกติแล้วก็มีให้เลือกทั้งแบบมีพนักพิง และไม่มีพนักพิง แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบไหนควรเน้นแข็งแรงทนทานเอาไว้ก่อน เพียงตรวจสอบวัสดุที่ผลิตให้ดี หลาย ๆ วัสดุรองรับน้ำหนักได้มากกว่า 100 กิโลกรัม ก็มี จึงไม่ต้องกังวลใด ๆ เลย

  และทั้งหมดนี้ก็เป็นการเลือกนำไปใช้ของบรรดาเก้าอี้สนามที่มีหลากหลาย ท่านใดคิดว่ามีความจำเป็นก็ลองซื้อมาใช้งานได้ แต่แนะนำว่าให้ไปลองนั่งเอง หรือวัดขนาดที่แน่ ๆ เลย เพื่อให้รู้สัดส่วนการนำมาใช้งาน และจะได้นั่งสบายมีที่เหลือ ๆ หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT060503

381


หากท่านเป็นคนหนึ่งที่กำลังมองหาโรงเรือนเพาะปลูกแต่ไม่รู้จะเลือกแบบไหน อย่างไรดี อีกทั้งบางแบรนด์ราคาขายก็แพงเกินไปมาก อันที่จริงไม่ต้องเป็นกังวลไป เนื่องด้วยเราได้รวบรวมมาไว้ให้แล้วรับรองว่าราคาจับต้องได้ พร้อมนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่จะมีรุ่นที่ถูกใจมากน้อยเพียงใด ไปติดตามพร้อมกันเลยดีกว่า

5 โรงเรือนเพาะปลูกราคาไม่แพง ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
1. SPRING GH-W0002 S
เริ่มต้นกันที่โรงเรือน SPRING GH-W0002 S ที่จัดเป็นโรงเรือนขนาดเล็ก ใช้เหล็กคุณภาพสูง ทำให้ทนทานต่อการสึกกร่อนได้ดี ช่วยระบายอากาศ ไม่อับชื้น แสงแดดส่องถึงได้แบบรำไร ๆ ไม่เป็นปัญหาต่อการเพาะปลูกพืชผัก, ดอกไม้, ปาล์ม, ไม้ผลขนาดเล็ก, ยางพารา เป็นต้น ยิ่งไปกว่านี้ยังมีชั้นวางที่มั่นคงมาก ง่ายต่อการบำรุงรักษา ราคาประมาณ 990 บาทเท่านั้น

2. SPRING SS
กำลังมองหาโรงเรือนปลูกผักรุ่น SPRING SS น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยทำจากพลาสติกใสหนา มาพร้อมโครงสร้างเหล็กคุณภาพสูง มีความทนทาน แข็งแรง มีความโปร่งสบายช่วยระบายอากาศได้เป็นอย่างดี แสงแดดส่องทั่วถึงเหตุเพราะเป็นพลาสติก PVC ทำให้ไม่เกิดการอับชื้น และช่วยป้องกันฝน แมลงต่าง ๆ รวมไปถึงสภาพอากาศแปรปรวนได้ดี ราคาขายไม่ถึง 1,000 บาท

3. SPRING GH-W-0005 M-L SPR
โรงเรือนที่ช่วยให้การเพาะพันธุ์ต้นกล้าผ่านไปอย่างราบรื่น โครงสร้างเหล็กคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ไม่ทำให้เกิดการกัดกร่อน ระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้อับชื้นได้ง่าย แดดส่องถึงแบบรำไร ขนาดสม่ำเสมอ หรือสีสันของผลผลิตที่สดใหม่ช่วยได้อย่างดีเลยทีเดียว โดยสแลนด้านหน้าสามารถพับเก็บขึ้นไปได้ ราคาขายไม่ถึง 2,000 บาท

4. โรงเรือนปลูก 3 ชั้น GH-011 สีเขียว
มาต่อกันที่โรงเรือนขนาดเล็กกันต่อ โดยรุ่นนี้จะเหมาะสำหรับการปลูกต้นกล้าทุกชนิด หรืออยากได้โรงเรือนปลูกต้นไม้แบบกระถางโรงเรือนนี้น่าสนใจ ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง ทนทาน วัสดุเหล็กมีคุณภาพสูง ไม่สึกกร่อนง่าย สแลนสีเขียวช่วยลดการส่องแสงแดดได้ดี สามารถพับเก็บส่วนที่อยู่ด้านหน้าได้ ราคาจำหน่ายไม่เกิน 1,000 บาท

5. SPRING GH-003 สีเขียว
สุดท้ายขอยกให้รุ่น SPRING GH-003 สีเขียว ที่มีการใช้เหล็กทำโครงสร้างคุณภาพสูงมาก ไม่สึกกร่อนได้ง่าย แข็งแรงทนทาน มีชั้นเหล็กที่เปิดช่องว่างไว้ทำให้น้ำไหลผ่านไปได้ง่าย ไม่ท่วมขัง ไม่เกิดการอับชื้น ทำจากสแลนสีเขียว ด้านหน้าพับเก็บขึ้นได้ ลดการส่องแสงแดดถึงตัวผลผลิตได้ดี ราคาขายเพียง 1,700 บาทเศษ

หวังว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปทุกๆท่านที่ต้องการใช้โรงเรือนเพาะปลูกจะเกิดความเข้าใจในแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมากขึ้น และสามารถเลือกหลังที่เหมาะกับพืชผัก หรือผลผลิตของเรามากที่สุด พร้อมช่วยให้สิ่งเพาะปลูกของเราเติบโตอย่างดี ที่สำคัญแต่ละหลังที่แนะนำราคาจับต้องได้อย่างที่บอกไว้ไปอีก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0209

382


เอาใจคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟสามารถทำเองได้ไม่ยาก รสชาติเหมือนออกไปซื้อมาจากร้าน แต่เซฟเงินมากกว่าก็คือการเลือกใช้งานแคปซูลกาแฟนั่นเอง ทว่าปัจจุบันเราสามารถเลือกใช้งานแบบรีฟิล หรือเติมผงกาแฟลงในแคปซูลทำซ้ำได้ด้วย ซึ่งหากท่านใดที่ยังไม่เคยรู้มาก่อน อยากทำความเข้าใจรายละเอียดเพิ่มเติม ก็ไม่รอช้าที่จะรวบรวมมาบอกต่อ เพื่อการใช้งานที่ราบรื่น

กาแฟแคปซูลคืออะไร มีจุดเด่นอย่างไร?
อธิบายให้เข้าใจก่อนเลยว่ากาแฟแคปซูล คือ การนำผงกาแฟบดละเอียดมาใส่เอาไว้ภายในแคปซูล ซึ่งบรรจุภัณฑ์ที่เห็นทั่วไปนี้จะทำจากอลูมิเนียม ส่วนการชงกาแฟจะคล้ายกับการชงแบบปกติ มีการใช้แรงดันน้ำมาช่วยดันผ่านผงกาแฟบดละเอียด
ข้อดีคือจะมีกาแฟที่ทำเองได้อย่างสะดวก รสชาติใกล้เคียงกับร้านประจำ นอกจากนี้ ความบดละเอียดที่มีออยู่ในแคปซูลจะช่วยให้ได้ความสดใหม่ เพราะเก็บกลิ่นหอมอโรม่าของกาแฟไว้ได้อย่างดี ประหยัดอีกต่างหาก

แคปซูลกาแฟแบบรีฟิลตัวช่วยประหยัดค่าใช้งานได้มากขึ้น
ปัจจุบันมีการพัฒนามากขึ้น จึงเกิดเป็นแคปซูลแบบรีฟิล ที่มีข้อดีมากกว่าเดิมในด้านการประหยัดเงินที่เพิ่ขึ้น 2 เท่า พร้อมเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายมาก ไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อย ๆ เอากลับมาใช้ใหม่แทน ทั้งยังได้ชงกาแฟในเวลาที่ต้องการ เพลินกับยามเช้าอันแสนเงียบสงบ ไม่ต้องรอคิวนาน สามารถนำผงบดกาแฟละเอียดมาใส่ในแคซูลได้ด้วย

ฝาปิดก็ใช้เป็นแหวนซิลิโคน มีความกระชับ พลาสติกออกแบบให้มีความต้านทานอุณหภูมิสูง อายุการใช้งานทนทาน ยาวนาน เหตุเพราะแผ่นกรองตาข่ายพลาสติกผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ดี ที่สำคัญการทำความสะอาดของแคปซูลประเภทนี้ยังทำได้ง่ายมาก แค่ให้น้ำไหลผ่านก็ได้แล้ว และยังติดตั้งรวดเร็วสุด ๆ อย่างปัจจุบันกาแฟแคปซูล nespresso ก็มีแบบรีฟิลด้วย ซึ่งขอแนะนำวิธีการใช้งานง่าย ๆ คือ
- เติมผงกาแฟบดละเอียดลงในแคปซูล
- กดกาแฟบดเบา ๆ ลงในแคปซูล
- ต่อไปก็ทำการปิดฝาแคปซูลได้เลย โดยต้องปิดให้เกลียวเข้าหากัน ปิดให้แน่นที่สุด
- ใส่แคปซูลลงในเครื่องชงกาแฟให้เรียบร้อย
- ต่อไปก็เปิดเครื่องทำกาแฟได้เลยทันที รับประกันว่าได้กาแฟที่มีรสชาติหอมถูกปากถูกใจอย่งแน่นอน

เครื่องดื่มอย่างกาแฟเป็นตัวช่วยชั้นดีให้กับวัยทำงาน เนื่องด้วยจะช่วยทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ไม่ง่วง พร้อมทำงานระหว่างวันได้อย่างสบายใจ ยิ่งมีแคปซูลกาแฟแบบรีฟิลให้ทำเองง่าย ๆ ประหยัดเงินไปอีก แต่กระนั้นก็ควรเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ต่อวันไม่ควรเกิน 2 แก้ว เหตุเพราะในกาแฟมีคาเฟอีนอยู่ สะสมมาก ๆ อาจทำให้นอนไม่หลับได้เหมือนกัน

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080202

383


เรื่องความสะอาดของตู้เย็นจัดว่ามีความสำคัญอย่างมาก และไม่ควรมองข้ามยิ่งใครใช้งานตู้เย็น Mitsubishi ไม่ว่าจะ 1 ประตู หรือ 2 ประตูควรต้องไร้กลิ่น ปราศจากคราบต่าง ๆ ด้วย แต่คำถามคือจะต้องทำยังไงบ้าง เชื่อเหลือเกินว่าบางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน ในวันนี้จึงอยากจะมาแนะนำเคล็ดลับความสะอาดตู้เย็นที่เหมาะสม นำไปปรับใช้กันได้ตามต้องการ
เคล็ดลับความสะอาดตู้เย็น Mitsubishi ไม่รู้ไม่ได้!
1. จัดการกลิ่นอับในตู้เย็น
ไม่ว่าท่านจะมีตู้เย็น Mitsubishi 2 ประตู หรือแค่ 1 ประตูก็ตาม เรื่องกลิ่นเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องจัดการให้หมดไป วิธีแก้ไขง่าย ๆ คือ การใช้วัตถุดิบดับกลิ่นมาวางไว้ที่ด้านในตู้เย็น อาทิเช่น เบกกิ้งโซดา ถ่านไม้ หรือผงกาแฟ เมื่อตั้งทิ้งเอาไว้ 3 เดือน ค่อยเปลี่ยนครั้ง หรือจะใช้เป็นผลไม้ พืชสมุนไพรอย่าง มะนาว ส้ม มะกรูดมาวางไว้ที่ 1 – 2 สัปดาห์ก็ได้เช่นกัน

2. ทำความสะอาดด้านในแบบไม่ใช้สารเคมี
บางท่านมีตู้เย็นที่สกปรก เศษอาหาร เศษผงต่าง ๆ เลอะติดเต็มไปหมด จำเป็นต้องนำตะแกรงวางรองชั้นต่าง ๆ มาทำความสะอาด นอกจากการเช็ดพื้นผิวด้านนอกตู้เย็นด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างจานแล้วก็ต้องจัดการด้านในด้วย และมีอีกผลิตภัณฑ์ล้างที่ผสมเองได้เช่นกันคือน้ำเปล่า + น้ำส้มสายชู จะช่วยจัดการคราบสิ่งสกปรกได้ดี ไม่เป็นอันตรายสารเคมีตกค้างแน่นอน

3. จัดการคราบดำฝังขอบยางได้ง่าย ๆ
คราบดำ ๆ ที่เกิดขึ้นกับขอบยางถ้าฝังแน่นลึกต้องทำความสะอาดให้หมดจด เราสามารถทำได้ด้วยการนำยาสีฟันที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ช่วย โดยให้ทาทิ้งไว้บริเวณคราบขอบยางที่มีปัญหา 3 – 5 นาที จากนั้นก็เอาแปรงสีฟันมาขัด ๆ ดู รับรองว่าไม่มีคราบสกปรกดำ ๆ ติดอยู่อีกแล้ว

4. ป้องกันเชื้อราขอบยางไว้ก่อนได้
นอกจากเรื่องกลิ่น หรือการทำความด้านในแล้ว การป้องกันเชื้อราบริเวณขอบยางของตู้เย็น 2 ประตู Mitsubishi หรือ 1 ประตูเองก็สำคัญไม่แพ้กัน เราสามารถจัดการบรรดาคราบเชื้อราฝังตรงขอบยางลึกแน่นได้ง่าย ๆ เพียงใช้น้ำส้มสายชู หรือเบกกิ้งโซดาจัดการ อย่าลืมผสมในน้ำเปล่าแล้วเอามาเช็ดทำความสะอาดขอบยางได้เลย ไม่ทำให้เกิดเชื้อราเป็นจุดดำ ๆ ติดกวนใจ หากเป็นตู้เย็นที่เพิ่งซื้อมาให้ ก็สามารถทำความสะอาดป้องกันการเกิดเชื้อราไว้ก่อนได้ด้วย

การจัดการพื้นที่ที่มีอย่างจำกัดของตู้เย็นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แนะนำเอาใส่กล่องพลาสติกวางทับซ้อนหลาย ๆ ใบแบบไม่อัดแน่น ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ และยังไม่ทำให้เกิดคราบสกปรกที่มาจากอาหาร ผลไม้เลอะตู้ได้ด้วย ส่วนขวดน้ำดื่ม กระป๋อง ก็สามารถเอาคลิปหนีบกระดาษกั้นไว้ได้ ไม่ไหลมากองรวมกันมั่ว

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP09?b=mitsubishi

384


ไหนใครในที่นี้ต้องการเลือกกระทะปิ้งย่างบ้าง? ถ้ายังเลือกไม่ได้เราขอแนะนำให้เลือกแบบ 2IN1 ทีมีทั้งกระทะปิ้งย่าง และหม้อต้มไปเลยรับประกันว่าความคุ้มค่ารออยู่ ทว่าจะมียี่ห้อไหนน่าสนใจบ้าง เชื่อว่าสาวกหมูกะทะคงอยากได้คำตอบ และเราไม่พลาดรวบรวมมาให้เลือกซื้อใช้งานกันแบบฟิน ๆ ถึง 5 ยี่ห้อไปเลย

5 กระทะปิ้งย่างแบบ 2IN1 เลือกซื้อเลือกหาเอาไปใข้งานใม่ผิดหวัง
1. LOCKNLOCK EJP511
เริ่มต้นกันที่แบรนด์แรกกับ LOCKNLOCK EJP511 ที่เป็นกระทะสามารถปิ้งย่างได้ และมีหม้อต้มด้วย วัสดุผลิตจากอลูมิเนียมคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ทนทาน แข็งแรงมาก มีสารเคลือบที่ไม่ทำให้อาหารติดอย่าง Non – Stick โดยกระทะสามารถปิ้ง ย่าง ผัดได้เลยตามต้องการ มีหม้อไว้ต้มระหว่างปิ้งย่างด้วย ปรับความร้อนได้ 5 ระดับ กำลังไฟ 1,200 – 1,400 วัตต์ ราคาขายที่ 1,000 บาทปลาย ๆ

2. AIKO AK-K3322H
เตาปิ้งย่างไฟฟ้ายี่ห้อต่อมาก็คือ AIKO AK-K3322H ราคาเครื่องละไม่เกิน 1,000 บาท โดยจะมีพื้นที่หน้าเตากว้างมาก มาพร้อมช่องช่วยระบายน้ำมันและถาดรองไม่ทำให้เลอะง่าย มีไฟเพื่อแสดงการทำงานอยู่ 2 ด้าน ถอดเอาปีกแยกออกได้ด้วย กำลังไฟอยู่ที่ 750 วัตต์ รองรับได้ทั้งย่าง และต้ม

3. NEWWAVE BBQ-1001
มาถึงกระทะอเนกประสงค์ 2IN1 ที่น่าสนใจและราคาถูกด้วย เพราะเครื่องละ 500 บาทเศษเท่านั้น กำลังไฟอยู่ที่ 1,000 วัตต์ มีการเคลือบสาร Non – Stick 2 ชั้นที่หน้าเตา ใครอยากย่างสเต๊กชิ้นใหญ่ก็ทำได้เลย หรือถ้าใครสนใจใช้หม้อก็มีความจุน้ำได้ 1 ลิตร พร้อมฝาแก้วครอบ อยากจะต้มชาบูหรือปิ้งย่างทำได้ในเวลาเดียวกัน การควบคุมเป็นแบบแยก 2 ฟังก์ชันไปอีก อยากเลือกใช้งานหม้อ หรือเตาตามสะดวก

4. MIZ AP-MC10
ยังไม่จุใจให้ไปอีกกับเตาหมูกระทะไฟฟ้า MIZ AP-MC10 กำลังไฟ 1,200 วัตต์ 220 โวลต์ หม้อต้มขนาดความจุ 1.4 ลิตร มีฝาแก้วปิดมาให้ ผิวหน้าเคลือบเป็นแบบ Coating ไม่ทำให้หน้าเตาติดเวลาปิ้งย่างหมูกะทะ สามารถปรับได้ 2 ระบบด้วยกันแบบยกหม้อ 1 ปุ่ม เตา 1 ปุ่ม ได้รับมอก. 1641-2552 มาด้วย ราคาสุดแสนประหยัดเครื่องละไม่เกิน 1,000 บาท

5. HANABISHI BBQ-11
ปิดท้ายกันที่ HANABISHI BBQ-11 อยากจะต้ม ปิ้งย่างทำได้ในคราวเดียว ร้อนเร็วมาก ๆ กำลังไฟใช้ที่ 1,600 วัตต์ เลือกใช้ฟังก์ชันได้เลยจะต้ม หรือปิ้งย่าง เพราะแบ่งการทำงานแล้ว วัสดุมีเคลือบสารกันติด ทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น ขอบกระทะหรือขอบเตาไม่สกปรก ราคาจำหน่ายเครื่องละไม่เกิน 1,000 บาท

เมื่อรู้ดังนี้แล้วใครที่จะซื้อกระทะปิ้งย่างมาใช้งาน คงจะเลือกได้อย่างตอบโจทย์ ได้ประสิทธิภาพการทำงานแบบ 2IN1 วันไหนเบื่อ ๆ ปิ้งย่างก็มาต้มได้ หรือจะกินทั้งปิ้งย่างและต้มในคราวเดียวกันก็ได้อีก อิ่มท้องอิ่มใจ เงินในกระเป๋าไม่ฉีกด้วย ด้วยเหตุว่าแต่ละเครื่องราคาถูกมาก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0807

385


หลาย ๆ บ้านมีจอมอนิเตอร์กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ้ก คอมพิวเตอร์ หรือโทรทัศน์ซึ่งหลายท่านใช้งานกันแทบจะตลอด 24 ชม. ถึงอย่างไรข้อสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ก็คือเรื่องของการทำความสะอาดที่ควรต้องเป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง ไม่ทำให้เครื่องมีปัญหา เสียหายชำรุด แต่จะต้องทำด้วยวิธีไหน ทำยังไง ไปร่วมไขข้อข้องใจเรื่องนี้พร้อมกันเลยดีกว่า

ทำความสะอาดจอมอนิเตอร์ด้วยวิธีที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องยาก
คุณ ๆสามารถนำวิธีการทำความสะอาดหน้าจอที่ถูกต้องเหล่านี้ไปร่วมใช้ได้เลย ไม่ว่าจะจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ หรือจอโน้ตบุ๊กก็ตาม โดยวิธีการนั้นทำได้ง่าย ๆ คือ
1. ปิดเครื่องแล้วถอดปลั๊ก
เริ่มแรกเลยคือต้องสร้างความปลอดภัยก่อน ให้ปิดเครื่องต่าง ๆ ที่ต้องการทำความสะอาด โดยทำการถอดปลั๊กออกจากเต้าเสียบให้เรียบร้อย หรือถ้าใครเสียบกับปลั๊กต่อก็ต้องถอดออกด้วยเช่นกัน อย่าประมาท

2. ใช้ผ้านุ่มแห้งมาเช็ด
หลังจากที่ถอดปลั๊กแล้ว ให้ท่านใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือที่เรียกว่าผ้าไมโครไฟเบอร์ (ผ้าที่ใช้เช็ดแว่นตา) มาเช็ดหน้าจอทำความสะอาด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ทำให้หน้าจอเกิดริ้วรอยจากผ้าแข็ง ๆ มาขูด กรณีที่หน้าจอของใครมีคราบสกปรกติดฝังอยู่ เช็ดด้วยผ้าแห้งไมโครไฟเบอร์ไม่ได้ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดหน้าจอโดยเฉพาะมาช่วย ฉีดที่หน้าจอก่อนแล้วเอาผ้าไมโครไฟเบอร์นี่แหละเช็ดต่อไป ห้ามออกแรงถู ขัด กดใด ๆ เพราะว่าจะส่งผลต่อจุดพิกเซลที่มีของหน้าจอได้

3. ใช้น้ำยาเช็ดจัดการคราบ
อย่างที่บอกไปคือนำน้ำยาทำความสะอาดโดยเฉพาะของจอ monitor ที่เป็นแบบสำเร็จรูปมาใช้ได้เลย แต่ถ้าไม่ได้ซื้อมาก็มีวิธีการทำน้ำยาด้วยตัวเองโดยให้นำน้ำมาผสมกับน้ำส้มสายชูอัตราส่วน 1 : 1 นำผ้าไปชุบแล้วบิดหมาด ๆ จากนั้นก็เช็ดคราบเปื้อนได้เลย ทำไปจนกว่าจะออกจนหมด
ข้อควรระวังเบื้องต้นในการทำความสะอาดหน้าจอ
จะอย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการเช็ดทำความสะอาดหน้าจอที่ต้องรู้ด้วย คือไม่ควรใช้น้ำยาที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ เหตุเพราะจะไปทำลายสารเคลือบผิวที่หน้าจอได้ หรือมีรอยได้ง่ายอันเนื่องจากจากผิวหยาบมากเกินไป หรือคราบสกปรกที่เช็ดไม่ออกแล้วเอาน้ำยามาใช้ ไม่ควรฉีดพ่นไปที่จอโดยตรง เพราะว่าบางส่วนในน้ำยาจะไหลเข้าช่องว่างจอ ทำให้เกิดความเสียหายได้ รวมทั้งไม่ควรนำผ้าขนหนู หรือทิชชูมาเช็ด เพราะอาจจะทำให้จอเกิดรอยจากผิวสัมผัสที่หยาบได้ง่าย

ท่านใดที่สนใจจะทำความสะอาดจอมอนิเตอร์หลังจากนี้คงจะทำด้วยวิธีการที่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ท่านสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที นอกจากนี้ ยังได้รู้ข้อควรระวังต่าง ๆ ที่ต้องหลีกเลี่ยงไปให้ไกล เพื่อให้การใช้งานจอหลังทำความสะอาดเสร็จต่อไปอย่างราบรื่น

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TVA1101

386


หากคุณ ๆเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจเลือกซื้อแอลกอฮอล์แบบล้างมือมาใช้งาน อยากให้ทำความเข้าใจเรื่องของคุณสมบัติที่ควรมีแบบห้ามพลาดเด็ดขาด เนื่องด้วยบางครั้งอาจไม่เอาใจใส่ได้จนทำให้การทำความสะอาดมือไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีประสิทธิภาพ แต่จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างนั้น ใครใคร่อยากรู้แล้วไปติดตามกันเลยดีกว่า

4 คุณสมบัติของแอลกอฮอล์ชนิดล้างมือที่ห้ามพลาดเด็ดขาด
1. ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ 99.9%
อย่างแรกที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยจริง ๆ คือความสามารถในการฆ่าเชื้อของผลิตภัณฑ์ล้างมือ โดยจะต้องกำหนดอัตราการฆ่าเชื้อให้ได้มั่นใจแล้วถึง 99.9% เนื่องจากว่าผู้ใช้อาจไปสัมผัสเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือไวรัสโดยไม่รู้ตัว เมื่อล้างทำความสะอาดมือก็จะปลอดภัย สะอาดมากขึ้น

2.มี Alcohol ผสมอยู่ 72.4%
ส่วนผสมที่สำคัญอย่าง Alcohol ในผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือก็ตาม ควรต้องมีผสมอยู่ 72.4% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนมาตรฐานแล้ว ถ้ามี Alcochol มากกว่านี้ก็จะทำให้ผิวแห้งง่าย ใครผิวบอบบางแพ้ง่ายก็เป็นปัญหาได้ หรือน้อยกว่านี้ก็จะไม่ได้มาตรฐานการล้างมือ เพราะฉะนั้น ก่อนซื้อควรอ่านสัดส่วนตรงนี้ให้ดี ๆ ด้วย

3. อ่อนโยนต่อผิวเด็ก และผิวแพ้ง่าย บอบบาง
เนื่องมาจากเราทุกคนหลีกเลี่ยงการใช้งานของสิ่งนี้ไม่ได้เลย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกที่มีส่วนผสมลดการเกิดอาการแพ้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นผลเสียต่อผู้มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง หรือผิวเด็ก แนะนำว่าก่อนซื้ออ่านส่วนผสมบนฉลากบรรจุภัณฑ์เสมอ แล้วการใช้งานจะผ่านไปราบรื่น ทั้งนี้หากรู้ตัวว่าผิวแพ้ง่าย บอบบาง หรือต้องซื้อให้ลูกควรมีประเภทที่เคยใช้งานแล้วตอบโจทย์ติดตัวไว้เลย ไม่อย่างนั้นเกิดไปใช้ของสาธารณะแล้วแพ้จะยุ่งเอานะ

4. ซึมแห้งไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ
ต่อให้คุณจะเลือกฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ หรือเจลล้างมือก็ตาม เมื่อสัมผัสกับผิวแล้วต้องแห้งไวซึมลึกสู่ชั้นผิวไปเลย และต้องไม่เหนียวเหนอะหนะหรือทิ้งสารตกค้างใด ๆ ไว้ด้วย เพื่อไม่ทำให้เกิดความรำคาญใจเมื่อใช้งาน และลดความเสี่ยงที่จะเผลอเอาเข้าปากเมื่อใช้มือไปหยิบจับอาหาร ขนมต่าง ๆ

แอลกอฮอล์จัดอยู่ในหมวดผลิตภัณฑ์เพื่อสาธารณสุขแล้ว นอกจากเจลล้างมือ สเปรย์ฉีดพ่นก็ยังมีเป็นน้ำยาทำความสะอาดด้วย โดยจะใช้เพื่อทำความสะอาดพื้นผิวต่าง ๆ หรือสำลีชุบที่จะมีส่วนผสมที่มากกว่า 70% แผ่นเช็ดฆ่าเชื้อที่ช่วยให้เราเอาออกมาเช็ดสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย พกพาไปไหนมาไหนสะดวก รวมถึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนผสมสามารถใช้งานได้ อย่างเช่น น้ำยาบ้วนปาก ผลิตภัณฑ์ยาบางชนิด ฯลฯ ซึ่งหลังจากนี้ก็หวังว่าการเลือกซื้อเลือกหามาใช้งานเพื่อล้างมือของคุณ ๆจะมีประสิทธิภาพขั้นสุด ด้วยสถานการณ์โควิด - 19 ที่ยังคงต้องดูแลตัวเอง

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0613

387


ปัจจุบันโควิด – 19 นั้นมีแต่ดูจะทวีความรุนแรงต่อเนื่องไม่หยุด การใส่หน้ากากอนามัยจึงต้องทำอยู่สม่ำเสมอ กระนั้นข้อสำคัญที่ต้องทราบคือการเลือกใช้งานให้เหมาะรวมไปถึงสวมและถอดอย่างถูกต้อง ยืนยันว่าจะช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ๆ แต่จะทำอย่างไรบ้าง บางท่านอาจไม่เคยรู้มาก่อนเอาเป็นว่าไปติดตามกันดีกว่า

หน้ากากอนามัยชนิดไหนเหมาะกับการป้องกันโควิด – 19
ปัจจุบันจะมีหน้ากากสวมใส่กันได้ 3 รูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีความสามารถในการป้องกันที่ต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจคือ
1. หน้ากากเพื่อกรองอากาศ
หน้ากากเพื่อกรองอากาศ หรือหน้ากากที่จัดอยู่ในกลุ่ม N95 – KN95 – FF – FFP2 จะช่วยป้องกันฝุ่นได้ รวมถึงช่วยบำบัดอากาศ ลดความเสี่ยงการปนเปื้อนต่าง ๆ ของผู้ที่สวมใส่ในบริเวณที่มีมลพิษ และสารที่ติดเชื้อ ก๊าซ ไอระเหยต่าง ๆ ความสามารถในการป้องกัน 99.97%

2. หน้ากากอนามัย
เป็นหน้ากากที่จะช่วยเรื่องการป้องกันสารคัดหลั่งที่มาจากการไอ จาม หรือป้องกันละอองฝอย ป้องกันผู้สวมใส่ที่มาจากการติดเชื้อจำพวกโรคทั่วไป ความสามารถในการป้องกัน 95.90%

3. หน้ากากแบบผ้า
สุดท้ายเป็นหน้ากากแบบผ้าที่จะช่วยป้องกันฝุ่นได้ต่างประเภทขึ้นอยู่กับผ้าที่นำมาทำ และช่วยป้องกันละอองฝอย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันไมครอนเล็กกว่า 0.3 ได้ ดังนั้น หากจะสวมใส่แนะนำให้สวมทับแมสทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวไปก่อน

วิธีสวม – ถอดหน้ากากที่ถูกต้องป้องกันโควิด – 19
- วิธีการใส่หน้ากากที่ถูกต้อง : ทำความสะอาดมือทั้งสองข้างก่อน จากนั้นก็หันด้านที่มีสีออกมา โดยหันด้านสีขาวเข้าหาใบหน้า จับสายแล้วสวมหู กดแกนโลหะลงที่สันจมูกโดยให้แนบกับใบหน้า แล้วดึงหน้ากากลงล่างถึงใต้คางเป็นอันเสร็จ

- วิธีถอดแมสปิดปากที่ถูกต้อง : เริ่มจากให้คุณล้างมือให้สะอาดก่อนอีกเช่นกัน และเลือกพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเท ต่อไปก็ให้นิ้วมาเกี่ยวสายที่คล้องออกแล้วทิ้งลงถังขยะ ห้ามสัมผัสที่ด้านหน้าของหน้ากาก แล้วม้วนให้เป็นก้อนโดยเอาหูคล้องมามัดไว้ จากนั้นล้างทำความสะอาดมือให้สะอาด หลังจากสัมผัสด้านหน้าของหน้ากากมาแล้ว

เราจำเป็นต้องระวังตัวเองให้มากเข้าไว้ ด้วยเหตุว่าโรคโควิด – 19 ยังคงติดต่อกันได้ง่าย ๆ อยู่ กระนั้นยังมีไอเท็มอื่น ๆ ที่ควรพกพานอกเหนือจากหน้ากากอนามัยก็คือ เจล/สเปรย์แอลกอฮอล์ที่เอาไว้ล้างมือหลังสัมผัสสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งตัวช่วยอื่นอย่างการอยู่ห่างกันมากกว่า 2 เมตร การไม่เข้าไปในพื้นที่สุ่มเสี่ยง แออัด กลับจากข้างนอกให้รีบอาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าความเสี่ยงติดเชื้อจะเป็นไปได้น้อยที่สุด ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วย

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO020106

388


การใช้งานผลิตภัณฑ์เดทตอลปัจจุบันมีความสำคัญอย่างมาก ด้วยสถานการณ์โควิด - 19 ที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง การทำความสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ กระนั้นหากคุณไม่รู้จะเลือกซื้อยังไงดี วันนี้เรามีผลิตภัณฑ์การันตีขึ้นแท่น BEST Seller ซื้อใช้งานปลอดภัย คุณภาพสูง แต่จะเป็นแบบไหนบ้าง ราคาจำหน่ายเท่าไหร่ ไปติดตามพร้อมกันเลย

แนะนำผลิตภัณฑ์เดทตอล ขึ้นแท่น BEST Seller
1. น้ำยาฆ่าเชื้อ DETTOL 5,000 มล.
เริ่มต้นผลิตภัณฑ์ BEST Seller อย่างยาฆ่าเชื้อ DETTOL 5,000 มล. ที่พร้อมช่วยฆ่าเชื้อได้ตามต้องการทั้งการเช็ดทำความสะอาดหลายพื้นที่ พื้นผิว หรือจะเช็ดทำความสะอาดกับอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้ภายในครัวเรือน นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยให้แผลที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยสะอาดมากขึ้นได้ด้วย บรรดาเชื้อรา เชื้อโรค เชื้อไวรัสถูกกำจัดได้มากถึง 99% ราคาต่อแกลลอน 1,000 บาทเศษ (แต่หากเป็นปริมาณ 1,200 มล. ก็จะ 500 บาทนิด ๆ หรือปริมาณ 750 มิลลิลิตร ก็จะ 400 บาทหน่อย ๆ)

2. สเปรย์ช่วยฆ่าเชื้อ MORNING DEW DETTOL 450 มล.
ผลิตภัณฑ์สเปรย์ฆ่าเชื้อที่มาจาก Dettol อย่าง MORNING DEW DETTOL 450 มิลลิลิตร ใช้ง่ายมากด้วยเหตุว่าฉีดพ่นได้เลย จะช่วยยับยั้ง และฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้มากถึง 99.9% ไม่ว่าจะมาจากห้องครัว ห้องน้ำ หรือฟูก ลูกบิดประตู ของเล่น หมอน ที่นอน ฝักบัว โถชักโครก คาร์ชีท รถยนต์ ตู้เสื้อผ้า ฯลฯ ที่เป็นจุดสำคัญต่าง ๆ ฉีดเช้า ๆ เสมือนกลิ่นดอกไม้หอมฟอกอากาศที่เป็นอยู่ให้สดชื่นได้มากขึ้น ราคาต่อกระป๋องแค่ 200 บาทเศษเท่านั้น

3. สเปรย์อเนกประสงค์ DETTOL 500 มล.
นอกจากจะเป็นสเปรย์แล้ว ก็จะมีแบบจับฉีดฟอกกี้ด้วย โดยรุ่นนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ พร้อมกำจัดบรรดาคราบสกปรกที่มาเกาะจุดทำครัว ประกอบอาหาร เคาน์เตอร์ครัว โดยจะช่วยยับยั้ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้ถึง 99.9% ปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ไม่มีสารฟอกขาว จึงใช้ทุกจุดที่ประกอบอาหารได้อย่างดี ราคา 100 กว่าบาทเท่านั้น

4. สบู่ก้อน - เจล
เพื่อเป็นการดูแลรักษาความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ DETTOL นอกจากน้ำยาทำความสะอาดโดยตรงทั้ง 3 แล้ว จริง ๆ เราสามารถใช้สัมผัสกับร่างกายล้างสิ่งสกปรกออกจากมือได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยมากขึ้น กับการเลือกสบู่ก้อน หรือสบู่เจลมาใช้นั่นเอง ราคาก็จะแตกต่างกัน เพราะถ้าเป็นชนิดก้อนจะมีราคาประมาณ 20 บาท แต่หากเป็นเจลก็ราว ๆ 90 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณ

ท่านไหนที่อยากมีผลิตภัณฑ์ช่วยทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดมือ หรือตัวก็ตามคงจะรู้จักกันมากขึ้นว่ามีรูปแบบไหนบ้าง พร้อมเลือกซื้อมาใช้งานได้อย่างตอบโจทย์ความถนัด แล้วบ้านที่เคยสกปรก หรือมีคราบติดเกาะจะกลับมาสะอาดในชั่วพริบตา และสุขภาพก็แข็งแรงปลอดภัย ไม่มีเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย ไวรัสไปอีก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0609

389


หม้อทอด” นับว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทำครัวที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิติประจำวันมากเช่นกัน ด้วยเหตุว่าช่วยให้การอุ่นอาหาร ทำอาหารสะดวกเพิ่มขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาสุขภาพที่เกิดจากน้ำมัน กระนั้นท่านใดที่อยากซื้อมาใช้งานอาจจะมีงบประมาณที่จำกัด แต่ไม่ต้องห่วงด้วยเหตุว่าวันนี้เรารวบรวมมาบอกต่อชนิดที่ซื้อใช้งานได้สบายในงบประมาณสบายๆไม่เกิน 5,000 บาท

หม้อทอดในงบไม่เกิน 5,000 บาท พร้อมใช้งานประสิทธิภาพดีงาม
1. NEWWAVE AF-351 4.5 ลิตร
เป็นหม้อทอดไฟฟ้าที่มีขนาดความจุได้ 4.5 ลิตร ใช้งานด้วยระบบลมร้อนที่จะมาช่วยทอดอาหารให้สุกกินได้สบายใจ มีความแข็งแรงทนทานด้วยวัสดุที่ทำมีคุณภาพสูง เลือกทำอาหารได้เองตามต้องการ นอกจากทอดแล้ว ยังอบ ปิ้ง ย่างได้แบบไม่ติดหม้อ รวมถึงสามารถตั้งเวลาการทำงานได้สูงสุด 60 นาที (1 ชม.) อุณหภูมิความร้อนทำอาหารได้ตั้งแต่ 80 – 200 องศาเซลเซียส ราคาเครื่องละ 1,000 บาทปลาย ๆ

2. TEFAL EY501D66 4.2 ลิตร
หม้อสำหรับทอดในงบไม่เกิน 5,000 บาทยี่ห้อต่อมายกให้กับ TEFAL EY501D66 4.2 ลิตร ที่เป็นการทำงานแบบ 2IN1 สามารถทำได้ทั้งการทดแบบไร้น้ำมัน และการย่าง เนื้อจึงมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่มีควันมาวุ่นวายรบกวน สามารถควบคุมการทำอาหารใช้ช่วงเวลาที่ต้องการได้ โปรแกรมระบบหมุนปุ่ม มีอุณหภูมิความร้อนตั้งแต่ 80 – 200 องศาเซลเซียส มีเคลือบสาร Non – Stick ที่หม้อและตะแกรง จึงดูแลง่ายอาหารไม่ติด ราคาเครื่องละ 2,000 บาทปลาย ๆ

3. AIKO AK-7255 5.5 ลิตร
ขยับราคา และขนาดความจุขึ้นมาอีกนิดกับ AIKO AK-7255 5.5 ลิตร ในราคาเครื่องละ 3,000 บาทต้น ๆ สามารถปรับอุณหภูมิได้เลยตามต้องการตั้งแต่ 20 – 200 องศาเซลเซียส ช่วยให้เราสามารถทำอาหารได้ทั้งทอด อบ เบเกอรี่ ย่าง สามารถตั้งเวลาตั้งแต่ 0 – 60 นาที ง่ายต่อการใช้งาน ช่วยลดปริมาณของไขมันได้ถึง 70 – 80% นำหม้อทอด + ตะกร้าทอดถอดออกมาทำความสะอาดง่ายมาก

4. LOCKNLOCK EJF881GRY 7 ลิตร
ปิดท้ายกันที่ LOCKNLOCK EJF881GRY 7 ลิตร หม้อทอดไร้น้ำมันที่มีทั้งระบบนึ่งด้วยไอน้ำ และทอดด้วยลมร้อน สามารถคั่ว อบ ปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง หรือจะอุ่นก็ได้เช่นกัน ปรุงอาหารได้เลยง่าย ๆ ด้วย 8 โปรแกรมที่มี อุณหภูมิกำหนดให้ไว้ตั้งแต่ 80 – 200 องศาเซลเซียส เมื่อดึงตะกร้าออกระบบจะตัดไฟให้ทันทีเพราะมีฟังก์ชัน Auto Stop ราคาจำหน่ายเครื่องละ 4,000 บาทปลาย ๆ

ทั้งหมดนี้ก็เป็นบรรดาหม้อทอดที่รวบรวมมาให้เลือกในราคาประหยัด ซึ่งแต่ละเครื่องก็จะมีความโดดเด่นอันถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทว่าในการใช้งานต้องระมัดระวังให้มาก ๆ โดยอยากแนะนำหลังการใช้งานควรปล่อยเครื่องทิ้งไว้ 30 นาที เป็นการระบายความร้อนแล้วจึงเช็ดทำความสะอาด ทั้งนี้ การเช็ดต้องใช้ฟองน้ำ หรือผ้านุ่ม จากนั้นตากลมในที่ร่มให้แห้งก่อนเสมอแค่นี้ท่าน ก็สามารถใช้หม้อทอดได้อย่างยาวนาน

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP080503

390


ท่านไหนที่กำลังมองหายี่ห้อของถังพ่นยาเพื่อนำไปใช้งานเกษตร พืชผัก หรือเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ตามได้อย่างตอบโจทย์ ในคราวนี้เรามีมาแนะนำกับยี่ห้อ Spring ที่อยากบอกว่าดีมากจริง ๆ แถมมีให้เลือกหลายรุ่นด้วย ว่าแล้วก็ลองไปติดตามดูกันเลย รับรองว่าท่านจะเลือกได้อย่างไม่ลังเล ไม่กลัวผิดพลาดใด ๆ

5 รุ่นขอแนะนำถังพ่นยาแบรนด์ Spring ที่ควรทราบ
1. SPRING SX-16 16 ลิตร
เริ่มต้นกับเครื่องพ่นยาแบตเตอรี่ที่ทำมาจากพลาสติกหนา อัดอากาศเพื่อช่วยให้การฉีดน้ำเพิ่มแรงดันได้มากขึ้น น้ำหนักเบา ใช้งานง่าย เคลื่อนย้าย และจัดเก็บได้สะดวก เหมาะกับงานฉีดน้ำ รดน้ำต้นไม้ พืชผักต่าง ๆ โดยจะใช้เป็นแบตเตอรี่ส่งพลังงานจึงใช้งานได้ค่อนข้างง่าย

2. SPRING SP01508 – BU สีฟ้า 550 มล.
ไม่ได้มีแค่แบบถังพ่นเท่านั้น แต่ Spring ยังมีความน่าสนใจอย่างกระบอกฉีดด้วย ซึ่งผลิตจากวัสดุพลาสติกหนา มีความทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดี ทนต่อแรงอัดบีบลม สามารถฉีดพ่นได้แบบต่อเนื่อง ไม่แตกร้าวง่าย น้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บ เวลาใช้งานก็จะสะดวกมากขึ้น แนะนำใช้ฉีดงานไม้กระถาง ไม้ประดับ พืชผักสวนครัวต่าง ๆ

3. SPRING SX-CS3A 3 ลิตร
เป็นอีกรุ่นของ Spring ที่ใช้งานง่ายอีกเช่นกัน เพราะจะมีเนื้อพลาสติกที่หนามาก ๆ อัดอากาศเพิ่มแรงดันเพื่อฉีดน้ำได้ ดีไซน์ออกแบบใช้งานสะดวก สวยงาม กะทัดรัด สะพายได้นาน เนื่องจากน้ำหนักเบา ไม่ปวดเมื่อย เหมาะกับงานเกษตร ฉีดน้ำรดน้ำต้นไม้ พืชผักสวนครัว หรือพ่นยา พ่นปุ๋ยต่าง ๆ

4. SPRING SX-CS5 5 ลิตร
ถังฉีดพ่นยาของ Spring ที่มีขนาดความจุ 5 ลิตร อย่างรุ่น SX-CS5 นั้น จะทำมาจากพลาสติกเนื้อหนา อัดอากาศเพิ่มแรงดันในการฉีดได้อย่างดี เหมาะกับการทำงานแบบอเนกประสงค์ ที่ใช้รดน้ำต้นไม้ ฉีดน้ำพืชผักต่าง ๆ ใช้งานง่ายมาก จัดเก็บ เคลื่อนย้ายสะดวก ทั้งนี้เพราะน้ำหนักเบา รับรองว่าได้นำไปใช้งานแล้วจะตอบโจทย์อย่างแรง

5. SPRING SP01405 5 ลิตร
ปิดท้ายถังพ่นยี่ห้อ Spring ที่อยากแนะนำก็คือรุ่น SP04105 ต้องบอกคุณภาพเนื้อพลาสติกที่นำมาทำหนามาก แต่น้ำหนักเบา ทำให้การเคลื่อนย้ายผ่านไปได้ด้วยดี เหมาะสมกับการพ่นปุ๋ย ฉีดยา รดน้ำต้นไม้ พืชผักต่าง ๆ ใช้งานง่ายมาก พร้อมอัดอากาศเข้าไปเพื่อทำให้น้ำมีแรงดันมากขึ้น

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังว่าทุก ๆ คนที่ต้องการ หรือมองหาซื้อถังพ่นยาจะเกิดความเข้าใจ และสามารถเลือกรุ่นที่ตอบโจทย์ตัวเองได้มากทุสุด ด้วยรายละเอียดข้อมูลที่เรารวบรวมมาแนะนำนี้ แต่ละเครื่องบอกเลยว่าใช้งานง่าย ทำจากวัสดุดีมีคุณภาพ เคลื่อนย้าย/จัดเก็บได้สะดวก

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0208

391


ร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าทุกประเภทจำเป็นต้องใช้งานกล่องกระดาษไปรษณีย์เพื่อบรรจุสินค้าและจัดส่งลูกค้า ทว่าเรื่องของขนาดกล่องถือเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้เพราะหากเลือกซื้อมาผิดก็อาจเกิดปัญหาใส่สินค้าไม่ได้ หรือขนาดใหญ่เกินไปไม่เหมาะสม ราคาค่าขนส่งแพงกว่าเดิม เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับของขนาดกล่องจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามเด็ดขาด

ขนาดและสัญลักษณ์กล่องกระดาษไปรษณีย์ที่ควรทราบ
ต้องบอกก่อนเลยว่าการให้ความสำคัญกับวิธีเลือกกล่องพัสดุเพื่อใช้ในการส่งสินค้าคือเรื่องดีมาก เนื่องจากจะช่วยให้การจัดส่งสะดวกสบายเพิ่มขึ้น มีความปลอดภัยต่อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ขนาดใหญ่จำเป็นต้องเหลือพื้นที่ในการจัดส่ง ป้องกันการกระแทกอันหมายถึงโอกาสเสี่ยงทำให้สินค้าเกิดการชำรุดเสียหาย กลายเป็นไม่ประทับใจต่อลูกค้า
ทั้งนี้ อย่างที่ทราบกันดีการส่งสินค้าออนไลน์จำเป็นต้องใช้งานกล่องโดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการการป้องกัน  คนขายของออนไลน์สามารถเลือกกล่องได้หลายชนิด ยิ่งแข็งแรงเท่าไหร่นั่นหมายถึงความทนทานและไม่เสี่ยงโดนกระแทก ส่วนใครที่ใช้งานเป็นกล่องของไปรษณีย์เลยก็ต้องศึกษาถึงสัญลักษณ์ เพื่อให้รู้ขนาดกล่องที่มีซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะ
     - กล่องขนาด 14 X 20 X 6 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ A
     - กล่องพัสดุขนาด 17 X 25 X 9 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ B
     - กล่องขนาด 20 X 30 X 11 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ C
     - กล่องไปรษณีย์ขนาด 22 X 35 X 14 ซม. = กล่องเบอร์ D
     - กล่องพัสดุไปรษณีย์ขนาด 24 X 40 X 17 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ E
     - กล่องขนาด 30 X 45 X 20 ซม. = กล่องเบอร์ F
     - กล่องพัสดุขนาด 31 X 36 X 26 ซม. = กล่องเบอร์ G
     - กล่องขนาด 40 X 45 X 34 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ H
     - กล่องพัสดุขนาด 45 X 55 X 40 เซนติเมตร = กล่องเบอร์ I (หนา 5 ชั้น)

ซึ่งกล่องพัสดุทั่วไปกับกล่องไปรษณีย์นั้นมีความแตกต่างกัน ถ้าเป็นกล่องของไปรษณีย์เองจะแข็งแรง และทนทานต่อการกระแทกได้ดี ส่วนใหญ่จะเป็นกระดาษลูกฟูกสีขาวแบบมาตรฐาน หรือเป็นกล่องสีน้ำตาลแต่ความหนาเหมาะสม ลดความเสี่ยงสินค้าเสียหายได้ดีไม่ว่าจะส่งในประเทศ หรือต่างประเทศก็หมดห่วง กระนั้นด้วยความที่กล่องมีมาตรฐาน มีคุณภาพสูงเรื่องของราคาจึงสูงกว่ากล่องทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับผลลัพธ์จัดส่งสินค้าอย่างราบรื่นก็ถือว่าคุ้มมาก ๆ

กล่องกระดาษเป็นสิ่งที่ช่วยจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้อย่างดี ลูกค้ารับสินค้าตรวจสอบแล้วไม่เสียหายก็ประทับใจและกลับมาซื้อได้เรื่อย ๆ ซึ่งการศึกษาเรื่องขนาดอย่างละเอียด เมื่อต้องไปซื้อก็จะสามารถบอกรหัสภาษาอังกฤษได้เลย ไม่จดจำขนาดกว้าง ยาว สูงให้ปวดหัว ทั้งนี้ เผื่อว่าท่านใดอยากมีแบรนด์ หรือโลโก้ติดอยู่บนกล่องก็สามารถทำได้ด้วย ผ่านการตีพิมพ์จากโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน กลายเป็นภาพจำของลูกค้านั่นเอง

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0801

392


ด้วยความสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินไปล้างมือทำให้หลาย ๆ ท่านเลือกที่จะใช้งาน “ทิชชู่เปียก” ซึ่งเป็นรูปแบบของกระดาษชำระที่พัฒนาให้มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นหากใครเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานเพียงเพราะราคาประหยัดกว่าของมียี่ห้อ ต้องระวังอาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนั้นจึงอยากให้ทุก ๆ คนศึกษาทำความเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและคนรอบข้าง

อันตรายของ “ทิชชู่เปียก” ที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อการติดเชื้อ
ต้องอธิบายก่อนเลยว่ากระดาษทิชชูแบบเปียกนั้นนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง ต้องมีการจดทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง อย. หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อนวางจำหน่ายเสมอ ทั้งยังมีส่วนผสมของสารกันบูด ก็เพราะว่าสิ่งนี้จะไปช่วยไม่ให้ยีสต์ แบคทีเรีย หรือจุลินทรีย์เติบโตได้ มีน้ำหอม เพื่อความน่าใช้

รวมถึงปัจจุบันเป็นทิชชู่เปียกแอลกอฮอล์ก็มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ด้วยจึงส่งผลต่อร่างกายโดยเฉพาะท่านไหนที่เลือกใช้แบบไม่ได้มาตรฐานด้วยราคาที่ถูกกว่าของมียี่ห้อจากการผสมสารกันบูดที่ส่งผลได้อย่างไม่น่าเชื่อต่อผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือแพ้การสัมผัสต่าง ๆ รวมทั้งเด็กเล็กซึ่งผิวยังบอบบางจึงแพ้ง่ายกว่าผิวคนอื่น อาการแพ้ที่เกิดขึ้นมีระดับมากน้อยแตกต่างกันออกไป บางท่านเป็นผื่นหนักมากขึ้นตามร่างกาย บางท่านแพ้ชนิดที่หน้าบวม ไปจนถึงหายใจไม่ออก หมดสติก็มี

ใช้งานอย่างมีสติ สังเกตตนเองอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัย
แม้ว่าในเมืองไทยของเราจะยังไม่มีผู้แพ้กระดาษทิชชู่เปียกเกิดขึ้น แต่ก็มีโอกาสอยู่ไม่น้อย จึงอยากย้ำเตือนไปยังผู้ที่หากเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง หรือมีความสงสัยว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นมาจากทิชชูแบบเปียก ไม่ว่าจะเป็นผื่น บวมแดง อยากให้หยุดใช้งานทันที พร้อมรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป

หรือถ้าท่านไหนที่แพ้ง่าย ไม่อยากใช้กระดาษทิชชูแบบเปียกก็เอาสำลีชุบน้ำ หรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดแทนดีกว่า อย่างไรก็ดีหากท่านไหนที่ได้ทดสอบอาการแพ้แล้วไม่เกิดความผิดปกติ ก็ยังคงต้องเคร่งในเรื่องของการตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ทั้งฉลากภาษาไทย, เลขทะเบียน อย. ส่วนผสมที่มี วัน/เดือน/ปีที่ผลิต และหมดอายุ เพื่อความสบายใจในการใช้งานต่อไป เลือกแบบมียี่ห้อยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว

สำหรับการทดสอบอาการแพ้ทิชชู่เปียกนั้น ที่จริง ก็ไม่ได้ลำบาก ก็เพราะว่าให้ท่านนำกระดาษมาลองเช็ดกับบริเวณที่ผิวมีความบอบบาง อาทิ ใต้ท้องแขน และรอดูว่ามีปฏิกิริยา ความผิดปกติอะไรบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่ อย่างเช่น ผื่นแดง คัน บวม ปวดแสบปวดร้อน ฯลฯ หรือลองทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง ถ้าไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ก็เท่ากับว่าเป็นผิวแข็งแรงไม่แพ้ สามารถใช้งานได้เลยตามต้องการ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0215

393


เมื่อการใช้งานกระดาษทิชชู่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของหลาย ๆ คนไปแล้ว กระนั้นก็ตามคุณอาจยังไม่รู้ถึงประโยชน์ที่มากกว่าแค่การเช็ดทำความสะอาด ขอบอกว่ามันอาจทำให้อึ้งได้เหมือนกัน เหตุเพราะแต่ละสิ่งที่จะแนะนำต่อไปนี้ล้วนคาดไม่ถึงเลยเชียว ซึ่งประโยชน์ชวนอึ้งที่ว่านี้จะมีอะไรบ้าง ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย รับรองว่าทราบแล้วเอาไปปรับใช้ดีมากกว่าเดิม

5 ประโยชน์ที่คาดไม่ถึงของการใช้กระดาษทิชชู่
1. ช่วยรักษาความสดใหม่ให้ผัก - ผลไม้
หลาย ๆ ท่านชอบที่จะนำผัก หรือผลไม้ใส่ตู้เย็น แต่ไม่นานพอหยิบออกมากลับเหี่ยวเฉา หรือบางครั้งเน่าเลยก็มี ถ้าต้องการให้ผัก - ผลไม้เก็บรักษาอย่างยาวนาน แนะนำว่าหยิบทิชชูห่อผลเอาไว้ ไม่ว่าจะผัก หรือผลไม้ใดก็ตาม ซึ่งจะทำให้ผักและผลไม้มีอายุยาวนานมากขึ้น เนื่องจากช่วยซับความชื้น และไอน้ำในตู้เย็นได้ดี สดใหม่เหมือนเพิ่งซื้อ

2. ช่วยอบเบคอนแบบไร้น้ำมัน
เปลี่ยนการทำให้สุกด้วยการทอดมาอบในไมโครเวฟได้อย่างสบายใจ เพียงเลือกกระดาษชำระแบบแผ่นหนาที่ใช้สำหรับทำอาหารมาวางรองจาน 2 แผ่น แล้วเอาเบคอนมาวางเรียงตามต้องการ ต่อไปก็นำกระดาษอีก 2 แผ่นวางไว้ด้านบนของเบค่อน แล้วอบเวลา  1 นาที ไม่ควรลืมเปิดดูเป็นระยะ ๆ ตรวจสอบความกรอบของเบค่อน ถ้าไม่กรอบก็อบต่ออีก 3 - 4 นาที เท่านี้ก้ได้เบคอนกรอบ ๆแบบไร้น้ำมันกันแล้ว

3. ซับเอาความมันออกจากน้ำซุปได้ดี
ทุกคนสามารถนำทิชชูแบบหนาใช้สำหรับทำอาหารมาไว้ในกระชอนและตั้งไว้ใกล้หม้อน้ำซุป เมื่อน้ำซุปมีไขมันเยอะแล้วก็เทน้ำซุปลงหม้อโดยผ่านกระชอนที่มีกระดาษวางอยู่ แน่นอนว่าน้ำซุปที่ไหลผ่านไปก็จะหลงเหลือไขมันไว้บนทิชชู สามารถเอาไปทิ้งได้เลย ไม่มีเล็ดรอดไปจากกระดาษแน่นอน

4. จัดการครอบบนจักรเย็บผ้าได้
สามารถนำทิชชู่เช็ดหน้า หรือทิชชูประเภทอื่นมาใช้จัดการคราบสกปรกบนจักรเย็บผ้าได้ วิธีการนั้นให้คุณนำกระดาษมาซ้อนกัน 1 ปึกเล็ก เพื่อให้เป็นผ้าแทน แล้วก็เดินจักรตามปกติ เย็บไป 2 - 3 ฝีเข็ม เท่านี้คราบเปื้อนสกปรกที่จักรก็ไม่เกิด สามารถเย็บบนเนื้อผ้าได้อย่างสบายใจ

ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่ากระดาษทิชชู่ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันจะมีความสามารถช่วยด้านอื่นนอกจากเช็ดสิ่งสกปรกอีกมาก ไม่ใช่ทั้ง 4 นี้เท่านั้นเพราะยังช่วยได้อีกเยอะ ไม่ว่าจะตรวจสอบเมล็ดพันธุ์พืช, ทำความสะอาดที่เปิดกระป๋อง, กำจัดเส้นในในฝักข้าวโพดดิบ, คงความสดใหม่ของขนมปัง, ป้องกันสนิมจากกระทะเหล็ก ลองทำกันดูนะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

394


รองเท้าที่ทุกท่านสวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ รองเท้าส้นสูง รองเท้าแตะ ใด ๆ ก็ตามควรต้องมีการดูแลรักษาที่เหมาะสมเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานให้คงอยู่เป็นรองเท้าคู่โปรดของตนเองต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในตัวช่วยดูแลรักษารองเท้าเหล่านี้ให้อยู่นาน ๆ ก็คือ “กล่องเก็บรองเท้า” ซึ่งจัดเป็นอุปกรณ์เสริมที่ไม่อาจมองข้ามเด็ดขาด

จะดูแลรักษารองเท้าให้ใช้งานยาว ๆ อย่ามองข้าม “กล่องเก็บรองเท้า”
กล่องใส่รองเท้าเป็นอีกอุปกรณ์เสริมในการช่วยจัดเก็บรองเท้าให้เข้าที่อย่างสะดวกๆ และเป็นระเบียบมาก ๆ เพราะจะมีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมซึ่งในบางรุ่นสามารถใส่กล่องกระดาษของรองเท้าเข้าไปได้เลย ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีการเคลือบสารป้องกัน UV ไปอีก ทำให้รองเท้าที่จัดเก็บมีอายุยาวนานเพิ่มมากขึ้น รองเท้าที่เข้าไปอยู่ในกล่องก็ลดการสัมผัสกับเศษผง ฝุ่น สิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้สบาย เมื่อต้องการหยิบออกมาใส่ก็ไม่มีปัญหาความสกปรกกวนใจ

ส่วนใครที่คิดว่าตัวเองมีรองเท้าเยอะมาก แล้วจะเปิดกล่องเลือกคู่ผิดทำให้เสียเวล่ำเวลา ก็อยากบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวลอีกต่อไป ก็เพราะว่ามีหลาย ๆ แบรนด์ที่ทำเป็นกล่องรองเท้าใส มองเห็นรองเท้าข้างในกล่องได้ เวลาหยิบออกมาใส่ก็ไม่เสียเวล่ำเวลาเพราะรู้แล้วว่ากล่องนี้เก็บรองเท้าคู่ไหน

ตัวอย่างที่ขอนำเสนอคือกล่องรองเท้ายี่ห้อ STACKO ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ทั้งฝาหน้าเลื่อนออกมาได้ หรือเป็นกล่องเปิดฝาบน เมื่อต่อกันก็จะลงล็อคกล่องพอดีไม่มีเคลื่อนที่ร่วงลงมา มีสีสันและขนาดให้เลือกซื้อเยอะซึ่งในกรณีนี้รวมแบบกล่องใสมองเห็นรองเท้าด้านในได้ด้วย

การทำความสะอาดกล่องรองเท้าสำหรับผู้ใช้งาน
ในส่วนของการทำความสะอาดกล่องรองเท้าก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน กล่องโดยมากต้องยอมรับว่าผลิตจากวัสดุพลาสติกจึงทำความสะอาดง่าย เพียงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดให้แห้งมาเช็ดให้ทั่วทั้งภายนอกภายใน
ยิ่งในยุคการแพร่ระบาดของโควิด - 19 เช่นนี้ จำเป็นต้องพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์ให้ทั่วเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคอย่างดีที่สุด และไม่แนะนำให้เอากล่องบางยี่ห้อที่ไม่ได้เคลือบสารป้องกัน UV ไปวางในบริเวณถูกแสงแดดส่องเป็นเวลานาน ๆ เพราะว่าถ้าเป็นแบบนั้นแล้วกล่องจะเกิดปัญหาเปราะ มีรอยแตกร้าว รั่ว เสื่อมสภาพได้ไวมากขึ้น

จะเห็นได้เลยว่ากล่องเก็บรองเท้ามีความสำคัญกับรองเท้าคู่โปรดอย่างที่สุด หากใครที่มีหลายคู่ต้องดูแลอย่างดีด้วยอุปกรณ์เสริมนี้เลยเชียว ด้วยคุณสมบัติในการป้องกันฝุ่นละออง สิ่งสกปรก ไปจนถึงแสงแดดที่จะส่องเข้ามาทำให้รองเท้าเกิดความเสียหาย เสื่อมสภาพเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยจัดเก็บรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ ไม่เกะกะอีกต่อไป ใครต้องการใช้อยู่แล้วก็อย่าลังเลอยู่เลย เพราะการตกลงใจครั้งนี้ถูกต้องมาก ๆ แล้ว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP1205

395


ใครที่ต้องอยู่หอพัก อพาร์ตเม้นท์ หรืออาคารชุดอาจจะไม่มีครัวให้ใช้งาน แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการทำอาหารเพียงแค่คุณ ๆมีหม้อหุงข้าวแบบไฟฟ้ารับรองว่าจะทำได้หลากหลายเมนูเลยทีเดียว รับประกันความอิ่มอร่อยด้วยฝีมือตัวเอง ซึ่งจะมีเมนูอะไรบ้างนั้น ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

4 เมนูเด็ดทำได้จากหม้อหุงข้าวแบบไฟฟ้า
1. ขนมจีบหมู
เริ่มต้นกันที่เมนูเบา ๆ อย่างขนมจีบหมู มีส่วนประกอบอาหารมี หมูสับ แครอทสับ กระเทียมเจียว แผ่นแป้งเกี๊ยว ซีอิ๊วหวาน ซึ่งวิธีการทำนั้นก็แค่นำแผ่นแป้งเกี๊ยวมาห่อหมูสับ พร้อมกับใส่แครอทสับลงไปด้วย นำน้ำเปล่าใส่หม้อแล้วก็วางถ้วยขนมจีบไว้กลางหม้อ โดยระดับน้ำควรน้อยกว่าถ้วยเล็กน้อย หุงไว้ราวๆ 10 นาที  ได้ขนมจีบสุก ๆ โรยกระเทียมเจียว กินคู่ซีอิ๊วหวานได้เลย

2. เมนูไก่นึ่งห่อผักกาดขาว
เมนูที่ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าจัดการอันแสนจะอร่อยรสเลิศก็คือไก่นึ่งห่อผักกาดขาว โดยเตรียมส่วนประกอบ ได้แก่ ผักกาดขาว สันในไก่ พริกไทย เกลือ น้ำจิ้มสุกี้ วิธีการทำให้ผสมไก่กับเกลือ และพริกไทย จากนั้นเติมน้ำใส่หม้อลงไปแล้วต้มจนเดือด นำผักกาดไปลวกให้นิ่มแล้วแช่ใส่ตู้เย็น นำเนื้อไก่ใส่ในผักกาด ห่อให้ได้ทรงกลม แล้วนำไปใส่ในถาดหม้อหุงข้าวที่ถาดรอง นึ่งจนสุก หั่นเป็นชิ้นกินคู่กับน้ำจิ้มสุกี้ได้เลย

3. เมนูข้าวหน้าปลาซาบะ
เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ทำจากหม้อหุงข้าวได้ง่าย ๆ โดยเตรียมส่วนประกอบเป็นข้าวญี่ปุ่น ปลาซาบะ งาดำ ซอสญี่ปุ่น ข้าวโพด วิธีการทำง่ายมากๆ แค่เริ่มแล่ปลาซาบะเป็นชิ้นยาวแล้วหุงข้าวญี่ปุ่น อย่าลืมซาวน้ำออกสัก 4 – 5 รอบก่อน หุงจนได้ความนุ่มฟู ผ่านไป 10 นาที ก็นำปลาที่เตรียมไปวางบนข้าวแล้วหุงต่อได้ เมื่อได้ข้าวญี่ปุ่นเม็ดงามก็โรยงาดำ และราดซอสญี่ปุ่นนำปลามาวางบนข้าว อิ่มอร่อยแน่นอน

4. เมนูต้มจืดเต้าหู้หมูสับ
ปิดท้ายกันที่เมนูต้มตืดเต้าหู้หมูสับ ที่แม้ว่าหม้อหุงข้าวเล็กแค่ไหนก็ทำได้ เตรียมส่วนประกอบได้แก่ หมูสับ ผักกาด เต้าหู้ แครอท และสาหร่าย วิธีการทำให้เริ่มต้มน้ำในหม้อจนน้ำเดือด แล้วนำหมูสับ แครอท ผักกาดใส่ลงไป เมื่อน้ำเดือดอีกรอบก็เอาเต้าหู้ใส่ไปอีกครั้ง รอ 5 นาทีแล้วตักใส่ชามโรยสาหร่ายลงไป มีน้ำซุปร้อน ๆ ซดทานกับข้าวอร่อยอย่าบอกใคร

นอกจากจะใช้หม้อหุงข้าวทำเมนูอาหารคาวแล้ว อันที่จริงยังทำของหวานได้ด้วย อาทิ แพนเค้ก เค้กกล้วยหอม เค้กกล้วยไข่ กล้วยบวชชี พุดดิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วงใบเตย ฯลฯ การันตีการทำอาหารแบบชิลล์ ๆ ด้วยฝีมือแสนอร่อยของตัวเอง ไม่มีครัวก็ไม่ง้อบอกเลย

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0810

396


หากท่านเป็นคนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟมาก ๆ และเลือกที่จะใช้แบบแคปซูลกาแฟด้วยความสะดวกสบายแค่นำไปใส่เครื่องทำกาแฟก็ออกมาพร้อมดื่มแล้ว ซึ่งจะบอกว่าถ้าเลือกยี่ห้อดี ๆ การันตีรสชาติไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เริ่มอยากรู้แล้วไหมว่าแบบไหนจะมีรสชาติถึงใจ ลองนำเอาข้อมูลทั้ง 5 แบรนด์ที่จะพูดถึงต่อไปนี้ไปลองเปรียบเทียบแล้วเลือกซื้อกันตามสะดวกเลย

5 แคปซูลกาแฟรสชาติถึงใจ คนรักกาแฟต้องซื้อ!!
1. เดแคฟเฟอิน ILLY 21 แคปซูล
เริ่มต้นกันที่ยี่ห้อแรก มีให้ทั้งหมด 21 แคปซูล มีลักษณะเป็นการสกัดคาเฟอีนเอาไว้อย่างละเอียด ปริมาณคาเฟอีนน้อยมากแค่ 0.05% เท่านั้น และคงความเป็นกาแฟคั่วกลางที่รสชาติไม่ธรรมดา อยู่ระหว่างความเข้มข้น และอ่อนละมุน สดชื่นด้วยดอกไม้นานาชนิด 1 แคปซูลมีปริมาณกาแฟ 7 กรัม

2. VITTORIA COFFEE VCC-0002
ต่อกันกับยี่ห้อที่ 2 บอกเลยว่าเรื่องรสชาติไม่ธรรมดาอีกเช่นกัน โดยจะอยู่ในรูปแบบกาแฟแคปซูลที่ผสมผสาน คาเฟอีนสกัดจากธรรมชาติ บวกกับอาราบิก้า 100% มีรสชาติที่เข้มข้นขั้นสุด หอมละมุน ดื่มง่าย ปลอดคาเฟอีน 99.9% และไม่มีสารเคมีผสมเลย 100% ใครที่ชื่นชอบกาแฟคือดีมาก แอบกระซิบว่ามีเฉพาะของเอสเพรสโซสไตล์อิตาลี 1 กล่องมี 12 แคปซูล

3. NESTLE สตาร์บัคส์ เอสเพรสโซ โรสต์ เอสเพรสโซ
สำหรับแบรนด์นี้จะแพ็คให้ด้วยกัน 12 แคปซูล มีความหอมหวานแบบกาแฟที่ผ่านการกักเก็บกลิ่นหอมหวนสดใหม่ แค่สอดแคปซูลลงในเครื่องก็พร้อมดื่มภายในไม่กี่อึดใจ ฟินไปกับรสชาติกาแฟแบบเน้น ๆ ได้ตลอดวัน ท่านไหนไม่อยากพลาดรสชาติที่ไม่ธรรมดาต้องลองชงดื่มกันหน่อยแล้ว

4. NESTLE NEW AMERICANO
ด้วยคุณสมบัติกาแฟที่ผสมผสาน 2 สายพันธุ์ทั้งโรบัสต้า และอาราบิก้าที่มีความเข้มข้น 10 จาก 11 ของระดับกาแฟดำ มีฟองละเอียด และแฝงไปด้วยความนุ่มนวลของมวลดอกไม้ ง่ายต่อการเตรียมชง แค่เพียงสอดแคปซูลกับเครื่องชง ใน 1 กล่องมีให้เลือก 16 แคปซูล เลยทีเดียว

5. ILLY IPERESPRESSO BRAZIL 21 แคปซูล
ปิดท้ายกันที่ ILLY IPERESPRESSO BRAZIL 21 แคปซูล ที่ใช้เป็นกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าบด 100% มีค่าคาเฟอีนไม่เกิน 1.5% กลิ่นหอมอโรม่าเข้มข้น สัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนลิ้น เตะจมูก ได้ความรู้สึกกาแฟสไตล์อิตาเลียนแท้ที่ผสมผสานอย่างลงตัว กลมกล่อม ใน 1 แคปซูลมี 7 กรัม

กาแฟชนิดนี้ยังมีให้เลือกหลายรสชาติ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งยี่ห้อที่ยังไม่ได้พูดถึงคือ กาแฟแคปซูล nespresso  ทั้งนี้อยากให้คุณได้ลองในรสชาติที่ชื่นชอบแล้วจะติดใจ เป็นทางเลือกให้กับคนรักกาแฟ สามารถชงดื่มได้เองตามต้องการ ที่สำคัญในการเลือกซื้อเลือกหาควรเป็นยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน รับรองความปลอดภัยมาอย่างดีด้วย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP080202

397


ห้ามพลาดกับ 4 ยี่ห้อเก้าอี้ – โต๊ะพับคุณภาพดีเยี่ยม เหมาะสมกับการซื้อใช้งานอย่างที่สุด เมื่อท่านจำเป็นต้องเลือกซื้อเลือกหาขึ้นมาจริง ๆ ทว่าจะมียี่ห้อไหน ความน่าสนใจเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามรายละเอียดแบบเจาะลึกผ่านบทความนี้ดีกว่า การันตีว่าคุณจะสามารถตกลงใจซื้อได้ชนิดที่ไม่มีลังเลอีกต่อไป มีของดีอยู่กับตัวสบายใจ

แนะนำ 4 แบรนด์เก้าอี้ – โต๊ะพับคุณภาพดีเยี่ยม
1. ยี่ห้อ Spring สีเงิน
เป็นชุดสนามที่มีทั้งโต๊ะ และเก้าอี้สามารถพับได้ แบ่งเป็นเซตเก้าอี้ 4 ที่นั่ง และโต๊ะ 1 ตัว ท๊อปโต๊ะได้รับการผลิตจาก MDF คุณภาพดีเยี่ยม โครงสร้างเป็นแบบอะลูมิเนียม และเหล็ก แต่น้ำหนักเบา เปลี่ยนที่ได้สะดวกสบาย มีการรองขาด้วยพลาสติกแข็ง 20 จุด ป้องกันการลื่น และพื้นผิวที่ใช้งานเป็นรอย โต๊ะสามารถรองรับน้ำหนักได้ 30 กก. ส่วนเก้าอี้รองรับได้ 70 กิโลกรัม ต่อตัว ราคาชุดละไม่เกิน 1,300 บาท

2. ยี่ห้อ JKN C-200 สีขาว
เป็นเก้าอี้พับที่เหมาะกับการนั่งพิง ซึ่งวัสดุที่ใช้เป็นพลาสติกขนาดพิเศษแบบ HDPE มีความแข็งแรง ทนทาน ความยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหักชำรุดง่าย ๆ ทั้งยังมีสารเคลือบป้องกัน UV ไปอีก ทนต่อแสงแดด และฝนได้ดี ขาและโครงสร้างทำจากเหล็ก ที่ป้องกันการขึ้นสนิมด้วยระบบ Powder Coated รองรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 120 กิโลกรัม (แบบกระจายน้ำหนัก)

3. แบรนด์ NEWSTORM BT-06FJ 180 ซม.
ท่านไหนที่กำลังมองหาโต๊ะแบบพับได้กึ่งอเนกประสงค์ ต้องไม่พลาดยี่ห้อ NEWSTORM BT-06FJ 180 เซนติเมตร หน้าโต๊ะใช้พลาสติก HDPE 100% ทนทาน แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 210 กิโลกรัม (แบบกระจายตัว) มีสารเคลือบป้องกัน UV ที่ทนต่อสภาพอากาศทั้งฝน หรือแสงแดด จะใช้ที่ร่มหรือกลางแจ้งได้เลย ทั้งขาและโครงโต๊ะใช้เหล็กกล้าคุณภาพดีเยี่ยมมาเป็นวัสดุหลัก

4. แบรนด์ HDPE SURE FR-120 สีดำ
จบท้ายที่โต๊ะพับอเนกประสงค์ยี่ห้อ HDPE SURE FR-120 ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 150 กก. (แบบกระจายน้ำหนัก) โดยการดีไซน์เป็นลักษณะขึ้นรูปลายหวายทำจากวัสดุพลาสติก HDPE โครงขาเหล็กหนา 1 มิลลิเมตร แข็งแรงทนทาน ทนกับทุกสภาพอากาศได้ดี มีการพ่นเคลือยสีฝุ่นอีพ็อกซี่ด้วย ติดแน่นลอกยาก ขาโต๊ะมีปุ่มยางรองขา ป้องกันรอยขีดข่วนที่พื้นได้ดี เหมาะกับการใช้งานแบบตั้งขายสินค้า จัดงานทั่วไปที่จะอยู่ภายใน หรือภายนอกอาคารได้หมดไม่มีปัญหา

ทั้งหมดนี้ก็เป็นทั้งเก้าอี้ และโต๊ะพับซึ่งแต่ละยี่ห้อมีความน่าสนใจเอามาก ๆ พร้อมช่วยให้การนำไปใช้งานรองรับน้ำหนักมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงยังมีปัจจัยอื่น เช่น ความแข็งแรงทนทาน หรือการป้องกันรอยขีดข่วนที่พื้น มั่นใจได้เลยว่าการเลือกซื้อกับยี่ห้อที่ได้มาตรฐาน จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง แอบบอกว่าตกลงใจซื้อครั้งเดียวใช้ได้นานหลายปีเลย

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

398


สนใจเลือกเครื่องฟอกอากาศพกพาแบบห้อยคอที่ได้คุณภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพินิจพิจารณาจากหลายปัจจัยเป็นองค์ประกอบร่วม แล้วจะใช้งานอุปกรณ์ชนิดนี้ให้โดนใจเลือกยังไงดี?? เชื่ออย่างยิ่งว่ามีหลายท่านที่สนใจใช้งานเกิดความสงสัยนี้ จึงไม่อยากให้คุณเลือกแบบผิด ๆ ถูก ๆ อีกต่อไป ขอรวบรวมข้อมูลอันดี ๆ มาบอกต่ออย่างละเอียด

5 วิธีการเลือกเครื่องฟอกอากาศพกพาแบบห้อยคอ ใช้งานปัง ๆ
1. ประสิทธิภาพในการใช้งาน
อย่างแรกที่ต้องพิจารณาให้ดีเลยก็คือเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน ปกติแล้วต้องดูว่ารุ่นที่จะซื้อนั้นมีประจุไฟฟ้าลบ หรือไอออนเท่าไหร่ เพียงพอต่อการใช้งานไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการกำจัดมลพิษขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งจะระบุเอาไว้ตามสเปก ทั่วๆ ไปแล้วมาตรฐานแนะนำว่าต้องมีประมาณ 6 ล้านประจุ / ลบ.ซม. ทั้งนี้ ห้ามลืมดูระยะพื้นที่ครอบคลุมด้วย เนื่องจากถ้าประสิทธิภาพมากก็นำติดตัวไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้สบาย

2. ขนาดและการออกแบบ
ด้วยความที่เป็นเครื่องฟอกอากาศห้อยคอการออกแบบจึงควรต้องมีความสวยงาม และกะทัดรัด สายห้อยอาจต้องมีความเรียบหรู ดูดี เสมือนเป็นอีกไอเท็มที่พกพาไปไหนพร้อมกันกับชุด กับสไตล์การแต่งตัวของผู้ใช้งาน

3. การใช้งานไม่ซับซ้อน
สำคัญสุด ๆ ในการจะเลือกซื้อก็คือขั้นตอนการใช้งานที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเพศทุกช่วงอายุ เอาแค่การกดปุ่มใช้งานไม่วุ่นวาย มีไม่กี่ปุ่มก็พอ แต่ก็ควรมีโหมดการปรับสภาพอากาศแบบอัตโนมัติ หรือโหมดปรับการทำงานที่เลือกได้หลากหลาย นอกจากใช้งานง่ายยังไม่ต้องกลัวพังเร็วด้วย

4. ระยะเวลาในการใช้
ระยะเวลาที่ใช้งานเครื่องฟอกอากาศแบบพกพาห้อยคอก็สำคัญ หากเป็นการใช้งานที่ต้องติดตัวไปทั้งวัน คงไม่สะดวกหากแบตเตอรี่หมดง่ายเกินไป และจะหาที่ชาร์จก็ลำบาก เพราะฉะนั้นอยากแนะนำให้เลือกเครื่องที่การชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้งที่ไม่ต่ำกว่า 8 ชม. และการชาร์จให้แบตเตอรี่เต็มแต่ละครั้งไม่ควรนานมากเกินไป

5. การดูแลรักษา
เพราะจำเป็นต้องนำเครื่องออกไปใช้งานนอกบ้านทุก ๆ วัน ดังนั้น การดูแลรักษาจึงต้องมีความสะดวก สามารถใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ มาเช็ดทำความสะอาด หรือจะใช้เป็นผ้าแห้งเลยก็สามารถลบฝุ่น คราบสกปรกออกจากเครื่องได้ง่าย ๆ หรืออาจจะเป็นรุ่นที่มีเคสคลุมช่วยป้องกันสิ่งสกปรก

ย้ำอีกครั้งเมื่อคุณต้องการซื้อเครื่องฟอกอากาศพกพาเพื่อใช้งานในทุกวัน อยากให้นำวิธีการซื้อเหล่านี้ไปปรับดูไม่มากก็น้อย เพื่อให้ได้รุ่นที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเหมาะสมกับการใช้งานของตนเองมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องไปเสียสตางค์ซื้อเครื่องใหม่บ่อย ๆ

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/APP0203

399


ความสบายนับว่าเป็นอีกปัจจัยที่โดดเด่นในการเลือกใช้งานเก้าอี้สนาม เพราะส่วนมากเบาะที่ใช้จะไม่แข็งจนเกินไปและพร้อมรองรับน้ำหนักตัวบุคคลได้ ซึ่งหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าเก้าอี้ประเภทนี้มีทั้งทรงเตี้ยและทรงสูง คำถามคือรู้หรือไม่ว่าทั้ง 2 ทรงเหมาะกับลักษณะการใช้งานแบบไหน เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ที่สุด แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีข้อมูลมาอธิบายสร้างความเข้าใจอีกเช่นเคย

การเลือกเก้าอี้สนามแบบทรงเตี้ย VS ทรงสูงให้ตอบโจทย์
เมื่อพูดถึงเก้าอี้ที่สามารถนำไปใช้งานนอกบ้านได้แล้ว นอกจากเก้าอี้หวาย ก็มีเก้าอี้ประเภทสนามที่ได้รับความนิยม เพราะว่ามีทั้งความสบาย น้ำหนักเบา การพับเก็บสะดวกพกพาไปได้ทุกพื้นที่ หรือใช้งานเสร็จแล้วจะเก็บก็เคลื่อนย้ายได้ทันที ทว่าในลักษณะการใช้งานเลือกเก้าอี้นั้นมีทั้งทรงเตี้ย และทรงสูง คุณสมบัติย่อมแตกต่าง ซึ่งหากท่านใดอยากรู้ว่าแบบไหนใช้งานอย่างไร ไปติดตามกันเลยดีกว่า
1. เก้าอี้ทรงเตี้ย
เริ่มต้นกันที่เก้าอี้แบบสนามทรงเตี้ยที่จะเหมาะกับการนำไปใช้งานนั่นชิลล์ ๆ ริมทรายหาด หรืออ่านนิยาย มองวิวตามสวนสาธารณะซึ่งต้องนั่งเป็นเวลานาน ๆ ทั้งนี้เพราะด้วยความสูง 30 เซนติเมตร หรือบางรุ่นก็ต่ำกว่า ทำให้ได้รับความผ่อนคลายแบบเต็ม ๆ ไม่รู้สึกเมื่อยเมื่อต้องใช้งานนาน แต่กระนั้นเก้าอี้ทรงเตี้ยนี้ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่ต้องนั่งลงไปแล้วลุกขึ้นมาบ่อย คนไม่อยู่กับที่นาน หรือบุคคลที่ช้อเช่าไม่ค่อยดี เหตุเพราะการลุกขึ้นต้องใช้แรงเยอะ และจะเกิดอาการปวดได้ง่าย ๆ

2. เก้าอี้ทรงสูง
เป็นอีกเก้าอี้ที่เน้นความสะดวกสบายเมื่อต้องเคลื่อนไหว หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ อย่างเช่น จัดงานปาร์ตี้ หรือการสังสรรค์นอกสถานที่ กิจกรรมริมทะเล ฯลฯ เพราะความสูงของม้านั่งสนามดังกล่าวจะอยู่มากกว่า 40 ซม. ทำให้การลุกนั่งสบายขึ้น ปวดเข่าปวดข้อก็นั่งได้เนื่องจากตอนลุกไม่ต้องใช้แรงเข่ามากมาย พกพาไปไหนมาไหนสะดวกด้วย ส่วนมากออกแบบเพื่อพับเก็บได้ น้ำหนักเบา ไม่เป็นปัญหาต่อการเคลื่อนย้าย

เก้าอี้สนามสามารถนำไปใช้งานได้ทั้งพื้นที่ร่ม และพื้นที่กลางแจ้ง ซึ่งการมีให้เลือกใช้งานในคุณสมบัติที่แตกต่างต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และเมื่อรู้เช่นนี้ก็หวังว่าการใช้งานเก้าอี้ดังกล่าวจะตอบโจทย์มากขึ้น ไม่มีอาการปวดเข่า ช่วยให้การลุกนั่งสะดวกสบาย สำคัญสุด ๆ อีกสิ่งคือเวลาเลือกซื้อเลือกหาก็อยากให้สังเกตยี่ห้อ หรือรุ่นที่น่าเชื่อถือ เปิดขายมาอย่างยาวนานแล้ว เพื่อคุณภาพของวัสดุใช้งานที่ดี ประสิทธิภาพคงทน ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่บ่อย ๆ

แวะชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT060503

400


อยากได้กระทะปิ้งย่างมาใช้งานสร้างความอร่อยแบบไม่ต้องไปถึงร้าน จะรับประทานตอนไหนเลือกเวลาไหนได้หมดไม่มีปัญหา ทั้งนี้เพราะนี่คือบ้านเราเอง แต่เจ้ากรรมยังไม่รู้ว่าชนิดไหนมีความน่าสนใจ ฟังก์ชันเด็ดมากน้อยเพียงใด จึงไม่อยากให้คุณต้องผิดพลาดในการซื้อและได้รวบรวมมาให้ถึง 4 ยี่ห้อด้วยกัน รับรองว่าต้องเลือกได้สักรุ่นแล้วงานนี้

4 กระทะปิ้งย่างคุณภาพจัดเต็ม พร้อมให้ซื้อใช้งาน
1.  AIKO BL-K6230
เป็นเตาปิ้งย่างแบบไฟฟ้าที่มีหม้อชาบูให้ด้วยแบ่งเป็น 2 ช่อง ปรับความร้อนแบบแยกได้ระหว่างเตาปิ้งหรือหม้อชาบูไม่มีปัญหา ซึ่งปรับได้ทั้งหมด 5 ระดับ วัสดุทำมาจากอลูมิเนียมเคลือบ Marble Style Coating ไม่ทำให้อาการติดกระทะได้ จะเลือกย่าง ปิ้ง ทอด ต้ม ผัด ก็ไม่มีปัญหา กำลังไฟที่ 2,200 วัตต์ ความถี่ 50/60Hz และแรงดันไฟฟ้า 220 – 240 v ราคาไม่เกิน 1,500 บาท

2. HANABISHI BBQ-01S
ร่วมอิ่มอร่อยไปได้กับทุกเมนูอาหารปิ้งย่างที่มีทั้งหม้อต้ม และปิ้งย่างของเตาหมูกระทะไฟฟ้า HANABISHI BBQ-01S วัสดุที่ใช้ทำเป็นแบบเคลือบสารกันติด กินง่าย ไม่ทำให้ขอบกระทะติด หรือขอบเตาปิ้งติดเนื้อ ติดผัก ทำความสะอาดรวดเร็ว ดีไซน์ออกแบบเรียบหรู ใช้งานง่าย จะทานคนเดียว กับครอบครัว หรือกับเพื่อนได้เลยไม่มีปัญหา กำลังไฟที่ 1,600 วัตต์ ขนาด 1.8 ลิตร ราคาไม่เกิน 1,000 บาท ด้วยซำ

3. LOCKNLOCK EJG232
เผื่อท่านใดอยากได้เป็นแบบเตาปิ้งย่างโดยเฉพาะไม่มีหม้อชาบูด้วย รุ่น LOCKNLOCK EJG232 จัดว่าน่าสนใจ ด้วยสามารถปรับความร้อนได้ 3 ระดับ ผิวกระทะได้รับการเคลือบสารที่ช่วยให้อาหารไม่ติดเตาระหว่างใช้งานอย่าง Non-Stick PFOA FREE จะเลือกทำเมนูปิ้ง ย่าง ทอด ผัดได้หมด กำลังไฟอยู่ที่ 1,200 – 1,400 วัตต์ ราคาเพียง 1,500 บาทเศษเท่านั้น

4. NEWWAVE BBQ-201S
ตบท้ายกันที่เตาปิ้งย่างไฟฟ้า รุ่น NEWWAVE BBQ-201S ซึ่งเป็นเตาปิ้งขนาด 42 เซนติเมตร และหม้อต้มความจุ 2 ลิตร สามารถปิ้งย่าง และต้มได้พร้อมกัน เตาเป็นแบบเคลือบลายหินอ่อน และสาร Non-stick ทำให้การทำความสะอาดหลังกินเสร็จง่ายมาก ไม่มีอะไรติดกระทะ ถาดรองน้ำมัน 2 ถาด ถอดล้างได้สบาย ปุ่มควบคุมความร้อน 2 เตาแยกกัน ถ้าอุณหภูมิสูงผิดปกติก็มีระบบ Safety Thermal Fuse ตัดไฟทันที กำลังไฟอยู่ที่ 2,000 วัตต์ ราคาไม่เกิน 2,000 บาท

กระทะปิ้งย่างในปัจจุบันมีทั้งชนิดกระทะอย่างเดียว หรือมีทั้งกระทะและหม้อชาบูไปในตัว และยังปรับระดับความร้อนแบบแยกจากกันไปอีก หวังว่าการนำข้อมูลเหล่านี้มานำเสนอจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มีเตาไว้ปิ้งย่างทานหมูกระทะแสนอร่อยตามชอบ

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0807

หน้า: 1 ... 3 4 5 6 7 [8] 9 10 11 12 13 ... 25