ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - น้ำฟ้าหยด

หน้า: [1]
1
"Bistro M" เต็มอิ่มไปกับอาหารชั้นเลิศ ที่จะเปลี่ยนมื้ออาหารของคุณให้กลายเป็นมื้อแสนวิเศษในทุกๆ มื้อ




หนีความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน แล้วมาดื่มด่ำกับอาหารชั้นเลิศที่เชฟรังสรรค์จากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ที่ “Bistro M” ห้องอาหารนานาชาติใจกลางเมืองตั้งอยู่ในโรงแรม Marriott Executive Apartments Sukhumvit Park ในซอยสุขุมวิท 24 เพียงแค่มาทานอาหารที่ “Bistro M” คุณจะได้ทานอาหาร A-la-carte ชั้นเลิศ ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ และ การรังสรรค์อาหารด้วยวิธีการอันไม่ยึดติด แปลก ใหม่ ไม่ซ้ำใคร จะเปลี่ยนให้มื้ออาหารธรรมดาของคุณกลายเป็นอาหารมื้อพิเศษในทุกๆ มื้อ



สำหรับชื่อ “Bistro” ของร้านนั้นหมายถึงห้องอาหารที่สามารถทานได้ทุกวัน เปรียบเสมือนครัวในบ้านที่นอกจากจะได้ทานอาหารอร่อยแล้ว ยังรู้สึกอบอุ่นเหมือนทานอาหารอยู่ที่บ้านอีกด้วย แถมยังใช้การตกแต่งแบบโปร่งโล่งสบาย ทำให้บรรยากาศการทานอาหารนั้นเหมาะสำหรับการพักผ่อน อีกทั้งในส่วนของครัวก็เป็นครัวแบบเปิด ที่สามารถมองเห็นกระบวนการครีเอทเมนูต่างๆ ของพ่อครัวได้ด้วยตาของท่านเอง ดั้งนั้นจึงมั้นใจได้ว่าอาหารทุกจานสะอาด ปลอดภัย นอกจากนี้ภายในครัวยังมีเตาโอเว่นที่สามารถครีเอทพิซซ่าได้มากมายหลายหน้าทีเดียว

[imghttp://static.wongnai.com/wdiary/211/BistroM_7.jpgimg]http://สำหรับลูกค้าหน้าใหม่ที่มาห้องอาหารครั้งแรกแล้วยังไม่รู้ว่าจะสั่งทานอะไร ทางร้านก็ยังมี “Special Blackboard” ที่ลิสต์เมนูเด็ดในแต่ละวันไว้ให้เลือก โดยเมนูอาหารบนบอร์ดนี้เชฟจะครีเอทเมนูใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งแต่ละเมนูก็ยึดตามของสดใหม่ในฤดูกาลขณะนั้น แล้วมาครีเอทปรุงแต่งรสชาติเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยไม่ยึดติดเพียงแค่เมนูเดียว ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้มีรูปแบบของอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา


Pizza parma ham

เริ่มจากเมนูแรกที่ใครมาเป็นต้องสั่งทานกันทุกโต๊ะ กับ “Pizza parma ham” ถือเป็นพิซซ่าที่ขายดีที่สุดเป็นเมนูที่หากใครได้ทานจะต้องติดใจ พิซซ่าแป้งบางกรอบแบบฉบับดั้งเดิมของอิตาเลี่ยน ผสานเข้ากับความลงตัวของหน้าพิซซ่าที่ประกอบไปด้วย พาม่าแฮม, เห็ด, ผักร็อคเก็ต, ชีสมอสซาเรลล่า และซอสมะเขือเทศ รสชาติของแฮมที่ออกเค็มนิดๆ บวกกับชีสมอสซาเรลล่าเยิ้มๆ ที่ส่งกลิ่นหอม ตัดกับรสเปรี้ยวของซอสมะเขือเทศเล็กๆ เป็นรสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัวจนต้องเดินไปหยิบมาทานอีกชิ้น




ผัดกะเพราเนื้อแกะ

มาลิ้มลองรสชาติแบบแปลกใหม่ กับ “ผัดกะเพราเนื้อแกะ” ลืมไปได้เลยกับผัดกะเพราแบบเดิมๆ ใบกะเพราทอดกรอบ ผัดกับเนื้อแกะชิ้นหนานุ่ม ชิ้นใหญ่เต็มๆ คำ อีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นสาบเพราะไม่หลงเหลืออยู่เลยสักนิด หากได้ลองทานคุณจะหลงรักเนื้อแกะเพราะเนื้อนุ่มหวานสุดๆ ยิ่งทานกับข้าวหอมมะลิร้อนๆ สักถ้วยเป็นอันติดใจ หากใครไม่ชอบทานเผ็ดก็สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ว่าอยากลดหรือเพิ่มความเผ็ดอยู่ในระดับใด



สเต็กปลาแซลมอน

ขยับมาที่สเต็กกันบ้าง “สเต็กปลาแซลมอน” ปลาแซลมอนสีส้มสดชิ้นใหญ่ คัดมาแต่ส่วนเนื้อเน้นๆ แล้วปรุงรสชาติด้วยพริกไทยดำและเกลือ จึงค่อยนำมากริลล์ในระดับ Medium rare เพื่อให้ได้รสชาติและคงความชุ่มฉ่ำจากเนื้อที่อยู่ด้านใน ความอร่อยอยู่ที่น้ำซอสรสชาติออกเค็มๆ หวานๆ ได้กลิ่นหอมพริกไทยดำนิดหน่อย ทานคู่กับสเต็กปลาแซลมอนรับรองได้เลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน




Spicy linguini carbonara

“Spicy linguini carbonara with pepered, bacon, dried chili and parmesan flakes” (เส้นลิงกวินีครีมซอสใส่พริกแห้ง เบคอน ไข่แดง และพาร์เมซานชีส) หากพูดถึงคาโบนาล่าหลายๆ คนคงกลัวว่าจะทานแล้วเลี่ยน แต่คาโบนาล่าของที่นี่มีการใส่พริกแห้งเพื่อเพิ่มความสไปซี่เล็กๆ และเป็นการช่วยตัดความเลี่ยนลง ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม ไม่รู้สึกเลี่ยนแบบคาโบนาล่าปกติ สำหรับเส้นลิงกวินีก็เหนียวนุ่ม อร่อยได้เรื่อยๆ จนหมดจาน
สำหรับใครที่กระเพาะใหญ่คาดว่าทานอาหารจานเดียวคงไม่อิ่มท้อง ทางโรงแรมก็ยังมีส่วนของบุฟเฟ่ต์เอาใจคนกระเพาะใหญ่กันอีกด้วย ซึ่งในส่วนของบุฟเฟ่ต์มี 2 เวลาให้เลือกทานด้วยกัน
ทั้ง “Lunch Buffet” ในวันจันทร์ - ศุกร์ ( เวลา 12.00 - 14.00 น.) ราคา ท่านละ 550++ บาท และ “Dinner Buffet” ในวันศุกร์และเสาร์ (เวลา 18.00 - 22.00 น.) ราคา ท่านละ 990++ บาท ซึ่งในส่วนของ Dinner Buffet มีโปรโมชั่นถึงสิ้นเดือนเมษา นี้เท่านั้น !




Honey glazed ham



Pork satays


Stir fried noodles with mixed seafood


ในส่วนของบุฟเฟต์ก็มีอาหารให้เลือกทานมากมายละลานตา ไม่ว่าจะเป็น “Honey glazed ham” แฮมอบน้ำผึ้งที่เชฟหั่นให้ทานกันแบบสดๆ ชิ้นหนานุ่มพอดีคำ น้ำผึ้งที่แทรกซึมเข้าไปในแฮมนั้นทำให้แฮมมีรสหวานนิดๆ เค็ม หน่อยๆ ถูกปากเป็นที่สุด หรือจะทาน “Pork satays” หมูสะเต๊ะกลิ่นหอมจากผงกะหรี่ และมีความเหนียวนุ่มเกิดคาด จิ้มทานกับน้ำจิ้มรสชาติเข้มข้นที่เสิร์ฟมาคู่กัน อีกทั้งยังมีมุม Salad Bar, BBQ Lover, Pasta Station, Tom-Yam Corner และ Pizza Corner ให้เลือกอิ่มอร่อยจนไม่รู้จะเริ่มทานอะไรก่อนเลยทีเดียว



Green tea macaron



Tiramisu


Blueberry cheese cake


Mojito

สำหรับของหวานก็ไม่น้อยหน้าเพราะมีให้เลือกหลากหลาย โดนใจสาวกของหวานกันเต็มๆ ทั้ง “Blueberry cheese cake” เนื้อแน่น แป้งนุ่ม หอมชีสและบลูเบอรี่สุดๆ “Tiramisu” ด้วยความนุ่มละมุนของมูส บวกกับแป้งนุ่มๆ เบาๆ ของเลดี้ฟิงเกอร์ รสชาติหวานนุ่มละมุนลิ้น อย่าลืมทาน “Green tea macaron” มาการองชาเขียวที่ผิวด้านนอกจะมีความบางกรอบ แต่เมื่อกัดลงไปจะรู้สึกได้ถึงความนุ่มหนึบหนับของเนื้อแป้ง บวกความอร่อยของไส้ชาเขียวด้านใน ทำให้ขนมชนิดนี้เป็นที่ถูกใจใครต่อใคร ความสดใหม่ของวัตถุดิบ การรังสรรค์อาหารด้วยวิธีการอันไม่ยึดติด แปลก ใหม่ ไม่ซ้ำใคร และให้ความสำคัญกับลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด ล้วนทำให้ “Bistro M” เป็นห้องอาหารที่คุณไม่ควรพลาด
การเดินทาง
หากใครเดินทางมาทาง BTS ให้ลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วออกประตูทางออก 4 จากนั้นจึงนั่งมอเตอร์ไซค์วินจากปากซอยสุขุมวิท 24 บอกว่าไปโรงแรม Marriott ในราคาเพียง 10 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีรถตุ๊กตุ๊กให้บริการ โดยจุดรับ-ส่ง จะอยู่ทางด้านข้างหน้าเอ็มโพเรียม หน้าธนาคารกรุงเทพ ไว้ให้บริการอีกด้วย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามผ่านทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/marriottsukhumvitpark หรือทาง website :www.bistrombangkok.com


ค้นหาอ่านรายละเอียด  "Bistro M"  เพิ่มเติมได้ที่  http://www.wongnai.com/articles/bistro-m-restaurant
emo32 emo32 emo32 emo32 emo32 emo32 emo32 emo32

2
อร่อยพอดีคำกับเมนูทาปาส ที่ห้องอาหาร Eat & Drink โรงแรม U Chiangmai

“ทาปาส” อาหารคำเล็ก ๆ ถ้าจะเปรียบกับอาหารจีนก็ประมาณติ่มซำ ทว่าเป็นติ่มซำแบบสเปนรับประทานเล่นเป็นคำ ๆ แต่ที่ “ยู เชียงใหม่” เป็น ทาปาส เวอร์ชั่น Western และ Loc
วันนี้อยู่กันที่ โรงแรม ยู เชียงใหม่ โรงแรมหรูกลางใจเมืองที่มีความน่าสนใจและเอกลักษณ์ด้วยดีไซน์การออกแบบที่นำเอาลักษณะเด่นของมรดกทางวัฒนธรรมมาผสมผสานกับสิ่งอำนวยความสะดวกของยุคปัจจุบัน ซึ่ง Boutique Hotel แห่งนี้มีทั้งการออกแบบ ที่ผสมผสานระหว่างบ้านเก่าที่มีอยู่ดั้งเดิม อีกทั้งสามารถเดินชมความงามของวัดต่างๆที่อยู่ใกล้เคียง และที่สำคัญคือ ถนนหน้าโรงแรมคือส่วนหนึ่งของถนนคนเดินในวันอาทิตย์ สามารถเดินเล่น เลือกซื้อสินค้าแล้วเดินกลับเข้าที่พักด้วยความสะดวกสบาย



แต่ที่ๆ เราจะพาไปรู้จักกันจริงๆ เป็นส่วนของห้องอาหารที่อยู่ด้านหน้าของโรงแรมที่มีชื่อว่า Eat & Drink โดยชั้นล่างจะเป็นห้องอาหารซึ่งบริการอาหารทุกมื้อรวมถึงอาหารเช้า เปิดบริการตั้งแต่ 6.00 น. ถึง 23.00 น. ส่วนชั้นบนจะเป็นบาร์ของโรงแรม ให้บริการเครื่องดื่มนานาชาติ และอาหารว่าง เปิดให้บริการตั้งแต่ 17.00 น. ถึง 24.00 น.



เริ่มกันที่ Eat มีเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง “ทาปาส” (เริ่มขาย 1 เมษายน 2557) อาหารคำเล็ก ๆ ถ้าจะเปรียบกับอาหารจีนก็ประมาณติ่มซำ ทว่าเป็นติ่มซำแบบสเปนรับประทานเล่นเป็นคำ ๆ แต่ที่ “ยู เชียงใหม่” เป็น ไทย ทาปาส เวอร์ชั่น Western และ Local Thai ในราคาเมนูละ 160 บาท
เริ่มกันที่เมนูแรกเป็น Veggie Stick - Fresh vegetables served with dipping sauce เป็นผักสดกรอบๆ ทานคู่กับฮันนี่มัสตาด ที่มีรสหวาน หอมกลิ่นน้ำผึ้ง


Veggie Stick - Fresh vegetables served with dipping sauce


ต่อมาเป็น Tomato Bruschetta (สลัดมะเขือเทศ) - Grilled garlic bread top with chopped tomato, onion and basil เป็นสลัดมะเขือเทศหั่นลูกเต๋าเสิร์ฟบนขนมปังกระเทียมกรอบซึ่งมีขอบหนากรอบและเนื้อขนมปังเหนียว จึงช่วยให้ซึมซับซอสได้มากขึ้น โดยที่เนื้อขนมปังไม่ยุ่ย


Tomato Bruschetta (สลัดมะเขือเทศ) - Grilled garlic bread top with chopped tomato, onion and basil


Calamari Fritti (ปลาหมึกชุปแป้งทอด) - Deep fries calamari served with fresh wedge lemon and tartar sauce ปลาหมึกชุบแป้งทอดที่อาจดูเหมือนเป็นเมนูธรรมดาๆ แต่ขอบอกว่ารสชาติไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เพราะเป็นหมึกกล้วยหั่นมาเป็นวงๆ ชุบแป้งปรุงรสทอดมาจนเหลืองกรอบ ส่งชิ้นหมึกชุปแป้งทอดเข้าปากเคี้ยวกรอบนอกนุ่มในเนื้อแน่นหนึบ จิ้มกินคู่กับกับตาต้าซอสเพื่อเพิ่มรสชาติ


Calamari Fritti - Deep fries calamari served with fresh wedge lemon and tartar sauce


Chicken Satay (ไก่สะเต๊ะ) - Grilled chicken satay served with peanut sauce หากคุณชอบทานหมูสะเต๊ะแต่กลัวน้ำหนักขึ้น แนะนำให้ทานไก่ย่างสะเต๊ะ เนื้อแน่นๆ ย่างจนสุกเหลือง ราดซอสเสิร์ฟเพื่อให้เนื้อไก่ชุ่มชื้น ทานคู่กับผักดอง กินกี่ไม้ก็อร่อย


Chicken Satay (ไก่สะเต๊ะ) - Grilled chicken satay served with peanut sauce


Goong Sauce Makham Deep fried shrimp with tamarind sauce served in short glass กุ้งทอดซอสมะขาม เมนูกุ้งทอดอีกหนึ่งเมนู ที่มีกลิ่นไอความเป็นไทยด้วยซอสมะขามรสชาติแบบไทยๆนั้นเอง กุ้งคลุกแป้งให้เคลือบตัวกุ้ง นำไปทอดให้พอสุก ราดด้วยน้ำซอสมะขามเปียก รสชาติเปรี้ยวหวาน โรยด้วยผักชี หอมเจียว เสิร์ฟมาในแก้วช็อต แค่นี้ก็ได้เมนูกุ้งทอดจานอร่อย ไม่ว่าจะทานกับข้าวหรือทานเปล่าๆ ก็อร่อยทั้งคู่


Goong Sauce Makham Deep fried shrimp with tamarind sauce served in short glass (กุ้งทอดซอสมะขาม)


จบกับ ทาปาส ทางเรายังไม่หนำใจ ขอสั่งเมนู A La Carte มาลิ้มลองกันต่อ กับ Fettuccine Tomato Sauce 240 บาท – เฟตตูชินีเส้นเหนียวนุ่มกำลังดี ผสมผสานกับซอสมะเขือเทศสีแดงสด รสชาติยังอร่อยไม่แพ้พาสต้าจานไหน เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังกระเทียมหน้าพาเมซานชีสกรอบๆ ได้กลิ่นหอม รสชาติเข้มข้น


Fettuccine Tomato Sauce

ปิดท้ายเมนูจากห้อง Eat กับ ซีซ่าสลัดอกไก่ย่าง ราคา 240 บาท ซึ่งจะว่าไปสลัดผักก็มีอยู่มากมายหลายสูตร แต่สลัดสูตรเด็ดที่ดูจะเป็นที่ถูกอกถูกใจ ติดลิ้นของคนไทยไม่น้อยก็คงหนีไม่พ้นซีซาร์สลัด (Caesar Salad)  ที่จานนี้มาพร้อมกับเบค่อนเพิ่มความกรุบกรอบมีจุดเด่นอยู่ที่ผักกาด Romaine เศษขนมปังกรอบ พาร์มีซานชีส และน้ำสลัดรสเค็มๆ มันๆ กลมกล่อมกำลังดี ถูกเสิร์ฟมาในจานสี่เหลี่ยมไซส์ XL ที่ทานคนเดียวไม่น่าจะหมด


ซีซ่าสลัดอกไก่ย่าง


หลังจากเอร็ดอร่อยไปกับเมนูอาหารคาว และพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศเดินขึ้นไปชั้นบน ก็จะเจอในส่วนของ “Drink” บาร์สไตล์โมเดิร์นที่ตกแต่งสวยงาม ให้บริการของทานเล่น และเครื่องดื่มสารพัดชนิด อาทิ ไวน์คุณภาพชั้นเลิศ และค็อกเทลต่างๆ บรรยากาศของบาร์ตกแต่งอย่างเป็นกันเอง ซึ่งมีทั้งบริเวณโซฟานุ่มๆ หรือจะเลือกพื้นที่สังสรรค์หน้าเคาน์เตอร์บาร์ก็ได้

โดยเมนูเครื่องดื่ม ทางโรงแรมจัดมาให้เรา5 ตัวด้วยกัน เริ่มที่เมนูแรกเป็น U Delight (U Signature Drink) ราคา 195 บาท หรูหรา และความทันสมัย มีสีขาวตัดสลับสีชมพูอ่อนหวานอำพันชวนดื่มพร้อมรสชาติที่นุ่มหอม



U Delight (U Signature Drink)

ถัดมาเป็น Mango Mojito ราคา 225 บาท เป็นค็อกเทลรับลมร้อนสุดคลาสสิคเกิดมาเพื่อดับกระหายในวันที่อุณหภูมิพุ่งกระฉูด เสน่ห์ของโมฮิโต คือ ความซ่า มีกลิ่นของสาระแหน่ หรือพืชตระกูลมินท์ เช่น สเปียร์มินท์ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น เพราะความซ่า หอมของมินท์จึงทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ดื่มง่าย ไม่ระคายคอ เพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้นด้วยมะม่วงสุกลงไปในแก้ว


Mango Mojito

ยังไม่หมดเท่านี้ ขอแนะนำเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นหลากสีสัน เช่น Blue Moon (U Signature Drink) 195 บาท ที่มาพร้อมกับสีฟ้าสดใส หรือจะเป็น Chiang Mai Sky 195 บาท รสนุ่มกลมกล่อม มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยการตกแต่งปากแก้วด้วยเกลือ และถ้าหากใครยังไม่เต็มอิ่มกับค็อกเทลรสนุ่ม ทาง Drink ก็ยังมีเครื่องดื่ม Sambuca Shot on Fire 185 บาท ในแก้วช็อต จะเป็นเหล้าที่มีรสหอมหวานคล้ายๆเมทอลและจุดไฟมาให้ เพิ่มความซู่ซ่าได้อเป็นอย่างดี


Blue Moon (U Signature Drink)


Chiang Mai Sky


Sambuca Shot on Fire


ยังมีอีกหลากหลายเมนูทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มให้เลือกสรรอีกมากมาย เอาใจคนรักบรรยากาศแบบบูติก สไตล์ล้านนาที่ผสมผสานด้วย สีสันเรียบง่ายสบายตา เน้นบรรยากาศที่อบอุ่นแบบไทยควบคู่กับการบริการระดับสากล สัมผัสทัศนียภาพเมืองเชียงใหม่ทั้งกลางวัน กลางคืน หรือ ตกดึกจะมานั่งกินลม ชมวิวที่บริเวณห้องอาหาร "กินและดื่ม" ที่อยู่บริเวณด้านหน้า นั่งดู ผู้คนที่หลั่งไหลมาเดินช้อปปิ้งที่ถนนคนเดินท่าแพ (วันอาทิตย์) นับเป็นอีกสถานที่ ที่ไม่ควรพลาด !




อ่านรายละเอียดห้องอาหาร Eat & Drink โรงแรม U Chiangmaiเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/eat-drink
emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44

3

ร้านอาหารเกาหลีสุดอินเทรนด์



กระแสซีรีส์เกาหลีกลับมาฮอตฮิตติดลมบนอีกครั้งหนึ่งแล้ว ช่วงนี้สาวๆ คงอยากจะไปกินข้าวกับโอปป้าโทมินจุน และโอปป้าคิมทันกันเป็นแถวๆ ส่วนหนุ่มๆ ก็คงไม่พ้นต้องฝันถึงซงอีกับชาอึนซังกันอยู่แน่ๆ และนอกจากซีรีส์จะกลับมาฮิตติดลมบนแล้ว ระยะนี้ร้านอาหารเกาหลีก็เริ่มเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน แถมยังมีร้านอาหารเกาหลีเปิดใหม่หลายร้าน ที่นำเสนอคอนเซปท์ใหม่ๆ แตกต่างจากร้านอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิม ส่วนร้านอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิมที่เปิดมาก่อนหน้านี้ ก็ยังคงความเป็นต้นตำรับอาหารเกาหลีเอาไว้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง...แล้วร้านอาหารเกาหลีร้านไหนกันล่ะ ที่อร่อยเด็ด และอินเทรนด์สุดๆ จนห้ามพลาด...เรามีคำตอบมาให้แล้ว


1.ร้าน Dak Galbi Korean Restaurant เซ็นทรัล ลาดพร้าว

“ทัคคาลบี้” แต่เดิมคือ ไก่หมักผัดกับซอสพริกเกาหลีและผักต่างๆ แต่นำมาปรับให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น ด้วยการเพิ่มเมนูเนื้อ หมู และซีฟู้ดเข้าไปด้วย โดยนำเนื้อสัตว์ไปหมักกับซอส แล้วเสิร์ฟมาบนกระทะเหล็กใบยักษ์ พร้อมด้วยผักนานาชนิด เช่น เห็ดออรินจิ เห็ดเข็มทอง ถั่วงอกหัวโต กระหล่ำปลี ต้นหอมญี่ปุ่น เสริมด้วยมันเทศ ข้าว มาม่าเกาหลี จากนั้นก็เอาทุกอย่างมาผัดๆ ในกระทะยักษ์ที่อยู่บนโต๊ะ จนทุกอย่างเข้ากันดี แล้วก็ตามด้วยการสั่งซุปกิมจิรสเข้ม หรือซุปสาหร่ายมาซดเพื่อความคล่องคอ จัดเป็นร้านอาหารเกาหลีที่ถ้วนไปกินแล้วได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่แน่นอน



ร้าน Dak Galbi Korean Restaurant เซ็นทรัล ลาดพร้าว


ร้าน Dak Galbi Korean Restaurant เซ็นทรัล ลาดพร้าว


ร้าน Dak Galbi Korean Restaurant เซ็นทรัล ลาดพร้าว

อ่านรายละเอียดร้าน Dak Galbi Korean Restaurant เซ็นทรัล ลาดพร้าว
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/28278zJ



2.ร้าน School Food Mercury Ville

เพิ่งเปิดตัวกันไปเมื่อปีที่แล้ว กับร้านอาหารเกาหลีสไตล์โมเดิร์น ที่นำเอาความเป็นฟิวชั่นมาครีเอตเป็นอาหารเกาหลีในรูปแบบที่เรายังไม่เคยกินที่ไหนกันมาก่อน ออกแนวตะวันตกพบตะวันออก ส่วนเมนูที่ไอเดียล้ำๆ น่าสนใจไปลิ้มลองก็มีทั้ง “คาโบนาราต๊อกโปกิ” ที่เอาต๊อกโปกิมาราดครีมชีสข้นๆ แบบคาโบนารา หอมหวลชวนกิน หรือ “Squid Ink Maki” ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาหมึก ที่มีความพิเศษตรงตัวข้าวที่เอาไปคลุกกับ “หมึกดำ” จากสเปน เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจมากๆ นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ อีกมากมายที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตกไว้อย่างลงตัว แถมร้านยังเดินทางสะดวก เพราะมีทางเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าชิดลม เข้าไปในตัวอาหารเมอคิวรี่ วิลล์เลย ไม่ต้องเดินตากแดด


ร้าน School Food Mercury Ville


ร้าน School Food Mercury Ville


ร้าน School Food Mercury Ville

อ่านรายละเอียดร้าน School Food Mercury Ville
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/141709sX



3.ร้าน Youreaguan

“ยูเรกวาน” ร้านอาหารเกาหลีตำรับชาววัง ที่ได้รับการจัดอันดับจากรัฐบาลเกาหลีให้เป็น 1 ใน 8 ร้านอาหารเกาหลีในประเทศไทยที่ได้รับการแนะนำสู่ครัวโลกประเภทอาหารเกาหลี ซึ่งถ้าใครอยากจะลองแปลงร่างเป็นสาวชาววังเกาหลียุคโบราณแบบเต็มที่กันสักหน่อย ก็ต้องมาที่สาขาแรก ในซอยสุขุมวิท 59 ที่ตกแต่งตัวร้านทั้งภายนอกและภายในได้เหมือนพระราชวังเกาหลีโบราณเลย แถมยังมีมีเมนูโบราณอย่าง “คลู จอล พันแต จีโกกิ” หรือ “นพเก้า” ซึ่งเป็นเมนูเพื่อสุขภาพของพระจักรพรรดิ เป็นแผ่นแป้งกลมๆ พร้อมเครื่องห่ออีก 8 ชนิด คือ ปูอัดฉีกเป็นเส้น หมูสับ พริกหยวก เห็ดหอม ไข่เจียวไข่ขาว ไข่เจียวไข่แดง ผักและแครอท หรือถ้าชอบกินปิ้งย่าง ที่ “ยูเรกวาน” ก็มีบุฟเฟต์ชุดเนื้อรวม ชุดหมูรวม และชุดรวมที่มีครบทั้งเนื้อ หมู ไก่ และซีฟู้ด ในราคา 289 - 599 บาทเท่านั้น



ร้าน Youreaguan


ร้าน Youreaguan


ร้าน Youreaguan

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/3358zW



4.ร้าน Cheo Ga Jib

“ซอกาจิบ” ร้านอาหารเกาหลีในย่านรัชดา ที่มีเจ้าของเป็นคนเกาหลีแท้ๆ รสชาติของเนื้อ หมูหมัก ซุปกิมจิ และเครื่องเคียงต่างๆ จึงเหมือนกับยกโต๊ะกินข้าวของคนเกาหลี มาไว้ที่ร้านอย่างไรอย่างนั้นเลย เช่น กิมจิ ก็เป็นสูตรของร้าน อร่อยไม่เหมือนที่ไหน หมูและเนื้อก็หั่นชิ้นใหญ่และหมักจนชุ่มฉ่ำเข้าเนื้อ แถมมีสูตรสไปซี่ ที่หมักกับพริกเกาหลี ซึ่งเผ็ดใช้ได้ทีเดียว และเมื่อสั่งปิ้งย่าง ทางร้านจะมีเครื่องมาให้ประมาณ 7 อย่าง พร้่อมน้ำจิ้มอีก 3 ชนิด นอกจากนี้ยังมีเมนูที่หากินยากในเมืองไทย เพราะไม่ค่อยมีร้านไหนทำกัน นั่นคือ “ปูผัดซอสเกาหลี” อร่อยแท้แน่นอนอาจุมม่าเพราะมาเอง



ร้าน Cheo Ga Jib


ร้าน Cheo Ga Jib


ร้าน Cheo Ga Jib

อ่านรายละเอียดร้าน Cheo Ga Jib
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/6236WX




5.ร้าน Kyochon สุขุมวิท 12

ไก่ทอดสไตล์เกาหลีที่ทอดแบบหนังบางกรอบและเคลือบซอสรสชาติต่างๆ จนทั่วทั้งชิ้นไก่ ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดจากแดนกิมจิที่เริ่มได้รับความนิยมในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงกับทำให้ “เคียวโชน” แบรนด์ไก่ทอดอันดับหนึ่งของเกาหลี ต้องบินลัดฟ้าพาไก่ทอดเกาหลีสูตรเด็ดมาเปิดสาขาในประเทศไทย พร้อมด้วยพาเอาหนุ่มๆ วง “Super Junior” มาเป็นโปสเตอร์โฆษณาโปรโมทร้านด้วย ไก่ทอดเกาหลีร้าน “เคียวโชน” นี้มีให้เลือก 3 แบบ คือ Original (เค็มหวาน), Red (เผ็ด) และ Honey (น้ำผึ้ง) มีดิปปิ้งให้เลือก 3 ชนิด คือ Red Dipping Sauce, Jambalaya Sauce และ Honey Mustard Sauce พร้อมด้วยเครื่องเคียงอย่างผักดอง และ Potato Wedges ชิ้นโต แถมเค้ายังมี Delivery ด้วย แค่โทรสั่งก็นั่งรอความอร่อยอยู่ที่บ้านหรือที่ออฟฟิศได้แล้ว



ร้าน Kyochon สุขุมวิท 12


ร้าน Kyochon สุขุมวิท 12


ร้าน Kyochon สุขุมวิท 12

อ่านรายละเอียดร้าน Kyochon สุขุมวิท 12
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/26722Ub


อ่านรายละเอียดร้านอาหารเกาหลีสุดอินเทรนด์เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/korean-food-in-trend



emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35 emo35

4
เดทนี้มาแรงกับร้านพิชิตใจสาว

ร้านอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยพิชิตใจสาวในเดทนี้ งั้นต้องรีบมาดูกันเลยว่าร้านไหนที่จะช่วยคุณได้สำหรับความรักในครั้งนี้

1.ร้าน Watermark IL Ristorante Italiano

จิบไวน์เคล้าอาหารอิตาเลียนรสชาติเยี่ยม บรรยากาศสงบเป็นส่วนตัวค่ำคืนนี้มีเพียงสองเราเท่านั้น!


ร้าน Watermark IL Ristorante Italiano


ร้าน Watermark IL Ristorante Italiano


ร้าน Watermark IL Ristorante Italiano

อ่านรายละเอียดร้าน Watermark IL Ristorante Italiano
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/9054nK


2.ร้าน Sirocco Lebua at State Tower

ร้านอาหารฝรั่งเศสระดับโลก บรรยากาศสูงเสียดฟ้า ชั้น 63 ของโรงแรมเลอบัว



ร้าน Sirocco Lebua at State Tower


ร้าน Sirocco Lebua at State Tower


ร้าน Sirocco Lebua at State Tower

อ่านรายละเอียดร้าน Sirocco Lebua at State Towerเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/7MK


3.ร้าน Red Sky Centara Grand at Central World

บรรยากาศชวนประทับใจบน ชั้น 55 ของเซ็นทาราแกรนด์ เหมาะมากสำหรับคู่รักแสนหวาน


ร้าน Red Sky Centara Grand at Central World


ร้าน Red Sky Centara Grand at Central World


ร้าน Red Sky Centara Grand at Central World

อ่านรายละเอียดร้าน Red Sky Centara Grand at Central World
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/7165ew


4.ร้าน Buri Tara Wine Bar & Restaurant

ดินเนอร์เบาๆ จิบไวน์ดีๆ ท่ามกลางบรรยากาศริมน้ำ เรียกว่าไม่มีอะไรจะโรแมนติกไปกว่านี้อีกแล้ว



ร้าน Buri Tara Wine Bar & Restaurant


ร้าน Buri Tara Wine Bar & Restaurant


ร้าน Buri Tara Wine Bar & Restaurant

อ่านรายละเอียดร้าน Buri Tara Wine Bar & Restaurant
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/10113gs


5.ร้าน Crystal Café CDC

เรียบ หรู กับอาหารสไตล์อเมริกัน เป็นที่ถูกปาก ถูกใจอย่างยิ่งสำหรับหนุ่มสาวสุดเดิร์นอย่างเราๆ



ร้าน Crystal Café CDC

[imghttp://photo.wongnai.com/photos/2014/03/22/29103835382742ffaf461e507414aff4-s.jpg]http://[/img]
ร้าน Crystal Café CDC


ร้าน Crystal Café CDC

อ่านรายละเอียดร้าน Crystal Café CDC
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/9213zI


ค้นหาและอ่านรายละเอียดเดทนี้มาแรงกับร้านพิชิตใจสาวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/restaurant-for-a-date


emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33

5
Umenohana ร้านอาหารแบบไคเซกิชื่อดังของญี่ปุ่น กับสุดยอดเมนูปูและเมนูเต้าหู้รสเลิศ



“Umenohana” ร้านอาหารแบบไคเซกิดั้งเดิม ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 40 ปี และมีสาขาอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นกว่า 70 สาขา ได้นำเอาวัฒนธรรมการทานอาหารแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เดินทางมาเปิดสาขาที่ประเทศไทยแล้ว และนับว่าเป็นร้าน “Umenohana” ในต่างประเทศสาขาแรก โดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของการปรุงอาหาร การออกแบบร้าน และการบริการในแบบดั้งเดิม เพื่อให้ได้มาตรฐานเดียวกันกับร้าน “Umenohana” ที่ประเทศญี่ปุ่น



การเสิร์ฟอาหารแบบ “ไคเซกิ” เป็นการเสิร์ฟอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยในหนึ่งชุดของ “ไคเซกิ” จะมีอาหารหลากหลายเมนูรวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วย อาหารเรียกน้ำย่อย, อาหารนึ่ง, อาหารอุ่น, ปลาดิบ, อาหารจานหลัก, อาหารต้ม, อาหารย่าง, อาหารทอด, ข้าว, ซุป, ผักดอง และของหวาน โดยจะเสิร์ฟทีละจานๆ ไปจนจบคอร์ส ซึ่งข้อดีของการรับประทานไคเซกิก็คือลูกค้าจะได้อร่อยและเพลิดเพลินกับเมนูอาหารที่หลากหลายมากกว่า 10 เมนูในคอร์สเดียว และอาหารแต่ละจาน มีการจัดวางที่สวยงามราวกับงานศิลปะอีกด้วย ลูกค้าจึงได้รับทั้งความอร่อยและความเจริญตาไปพร้อมๆ กัน



นอกจากนี้การเสิร์ฟอาหารแบบ “ไคเซกิ” จะค่อยๆ ทยอยเสิร์ฟให้ลูกค้าทีละจาน โดยคำนึงถึงจังหวะการรับประทานของลูกค้าเป็นสำคัญ เมื่อลูกค้าทานจานหนึ่งใกล้เสร็จพนักงานจึงจะจัดเตรียมเมนูถัดไป ทำให้ลูกค้าได้รับประทานอาหารร้อนที่ร้อนจากเตา อาหารที่เสิร์ฟเย็น ก็ยังคงความเย็นสดใหม่จนถึงที่โต๊ะลูกค้า

“Umeyu Zen” ชุดไคเซกิกับความอร่อยดั้งเดิมของ “Umenohana”

“Umeyu Zen” (ราคา 2,950 บาท) “อุเมะยูเซน” ชุดไคเซกิที่ประกอบด้วยเมนู Signature ทุกอย่างของร้านครบทั้งเมนูเต้าหู้ขึ้นชื่อของร้าน และเมนู signature อื่นๆ ที่ปรุงจากเนื้อวากิว ปูทาราบะ ชนิดที่หาทานได้เฉพาะที่ “Umenohana” เท่านั้น โดยชุดอุเมะยูเซนทั้งหมดประกอบด้วย



ชุดไคเซกิ “Umeyu Zen”


(ด้านหน้า) “Zuwai Kani Yuba Maki” (ด้านหลัง) “Mineoka Tofu” และ “Yubani”

“Mineoka Tofu” เมนูเรียกน้ำย่อยที่ขึ้นชื่อของทางร้าน ได้ชื่อว่าเต้าหู้จากรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นทรงสีเหลี่ยมสีขาวเหมือนเต้าหู้ แต่อันที่จริงทำมาจากนมและครีมสด มีรสนุ่มนวลละมุนละไม และมีความครีมมี่  ด้านบนราดด้วยซอสมิโซะรสยูสึ ยิ่งเพิ่มความหอมหวานจนแทบจะทานเป็นขนมได้เลยทีเดียว

“Zuwai Kani Yuba Maki” เนื้อปูสึวาอิกับแอสพารากัสพันด้วยฟองเต้าหู้ ราดด้วยน้ำซอสที่มีส่วนผสมของพอนสึให้รสสัมผัสที่บางเบาและสดชื่น

“Yubani” ฟองเต้าหู้นำเข้าโดยตรงจากครัวกลางของอุเมะโนะฮานะที่ญี่ปุ่น สัมผัสนุ่มลื่นดุจแพรไหม ปรุงรสด้วยวาริโจยุ (โชยุสูตรที่ผสมเองของทางร้าน) โรยด้วยผิวยูสึขูดทำให้มีกลินหอมสดชื่นอ่อนๆ

“Sashimi” ซาชิมิรวม 3 ชนิด คัดสรรเนื้อปลาเกรดดีโดยปลาสดสั่งนำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง  ประกอบด้วยปลาทูน่า คัมปาจิ และชิมะอาจิ(ปลาไท)

*ทั้งนี้ปลาอาจจะเปลี่ยนแปลงโดยใช้ปลาเกรดเดียวกันตามความเหมาะสม (หากปลาบางชนิดหมด ชนิดของปลาอาจมีเปลี่ยนแปลง แต่ทางร้านจะคัดปลาเกรดเดียวกันมาเสิร์ฟให้ลูกค้าแทน)



“Sashimi”

“Tofu Shumai” ขนมจีบเต้าหู้สูตรเฉพาะ ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของ “Umenohana” ไส้ในเป็นไก่สับ ผสมเนื้อกุ้ง เต้าหู้และหอมหัวใหญ่  ห่อด้วยแป้งขนมจีบหั่นฝอย นำไปนึ่งให้ร้อน เสิร์ฟคู่กับซอสพอนสึ  เนื้อนุ่มละมุนแทบละลายในปาก



“Tofu Shumai”


“Kuroge Wagyu Yogan Yaki”  เนื้อวากิวที่นำเข้าจากเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เป็นเนื้อเกรดดีได้จากวัวที่เลี้ยงมาเป็นอย่างดีจนได้เนื้อวัวที่มีไขมันแทรกอยู่เป็นชั้นเหมือนหินอ่อน สัมผัสนุ่มลิ้น เสิร์ฟพร้อมหินลาวาร้อนๆ ให้ลูกค้าได้ย่างเนื้อด้วยตัวเอง สุกมากน้อยได้ตามความต้องการ ทั้งยังได้กลิ่นหอมของการ์ลิคบัตเตอร์สูตรพิเศษที่ทำเองของทางร้านขณะย่างอีกด้วย




“Kuroge Wagyu Yogan Yaki” ลายของเนื้อสวยงามราวกับหินอ่อน


“Zuwai Kani Su” ปูสึวาอิเย็น ทานคู่กับคานิสึเป็นซอสรสเปรี้ยวอ่อนๆ ทำให้สัมผัสรสชาติความหวานของปูสึวาอิได้อย่างเต็มที่



“Zuwai Kani Su”

ของหวาน สามารถเลือกได้ว่า จะสั่ง “Mineoka Fruits” เต้าหู้มิเนะโอกะอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกไปปรับทำเป็นของหวานโดยแช่ไว้ในไซรัปจนเนื้อชองเต้าหู้มิเนโอะมีรสหวานอ่อนๆราดด้วยผลไม้รวมนาชนิด ทานแล้วรู้สึกสดชื่น หรือ “Tofu Pudding” พุดดิ้งเต้าหู้เนื้อนุ่มละมุนที่ทางร้านทำเองราดด้วยไซรับคุโรมิตสึและโรยหน้าด้วยผงคินาโกะ หรือ ไอศกรีมชาเขียว/วานิลลา



“Mineoka Fruits”


“Kani Moriawase” เมนูปูเลิศรส 6 ชนิด

คนที่รักในการทาน “ปู” ญี่ปุ่น ขอแนะนำ “Kani Moriawase” (ราคา 3,850 บาท) สุดยอดเมนูปูที่รวบรวมความอร่อยจากปูทาราบะและปูสึวาอิไว้ถึง 6 แบบด้วยกัน ได้แก่ “Taraba Kani Yaki”  ปูทาราบะย่าง, “Taraba Kani Su” ปูทะราบะต้ม (เสิร์ฟแบบเย็น), “Taraba Kani Tempura” เทมปุระปูทาราบะ, “Zuwai Kani Su” ปูสึวาอิต้ม (เสิร์ฟแบบเย็น), “Zuwai Kani Tempura” เทมปุระปูสึวาอิ และ “Kani Chirashi Sushi” ข้าวซูชิทรงเครื่องหน้าเนื้อปู โรยหน้าด้วยไข่หวาน สาหร่ายโนริอบแห้งและไข่ปลาแซลมอน

เมนูนี้เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 2 ชนิด ไว้ทานกับเมนูคานิสึ (ปูต้ม) และเทมปุระ โดยน้ำจิ้มสำหรับปูต้มจะรสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย และน้ำจิ้มสำหรับเทมปุระ  ต้องใส่หัวไชเท้าบดลงไปผสม

“Kani Moriawase” จัดเป็นสุดยอดเมนูปูที่ใช้ปูนำเข้าจากฮอกไกโดล้วนๆ เพื่อคนรักปูโดยเฉพาะ



“Kani Moriawase”

ที่ลูกค้าสามารถทำฟองเต้าหู้ได้เอง

หนึ่งในเมนูที่ลูกค้าสั่งมากที่สุด คือ “Hikiage Yuba” (ราคา 450 บาท) เมนูฟองเต้าหู้ที่ลูกค้าสามารถทำฟองเต้าหู้ได้ด้วยตัวเอง โดยต้มน้ำเต้าหู้เข้มข้นทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จนโปรตีนจากถั่วเหลืองลอยขึ้นมาบนผิวหน้า แล้วค่อยๆ จับตัวเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นจึงใช้ตะเกียบค่อยๆ แซะ แล้วลอกฟองเต้าหู้ขึ้นมาใส่ในถ้วย จากนั้นจึงเทวาริโจยุ (โชยุสูตรที่ผสมเองของทางร้าน) ลงไปเพียงเล็กน้อย และฝนผิวของส้มยูสุลงไปเพื่อให้มีกลิ่นหอม เป็นเมนูที่ให้ทั้งความสดชื่น และความสดใหม่จากฟองเต้าหู้และกลิ่นหอมๆ ของส้มยูสุ แถมยังได้ประโยชน์จากโปรตีนของถั่วเหลืองอีกด้วย โดยเมนูนี้สามารถต้มน้ำเต้าหู้ให้กลายเป็นฟองเต้าหู้ได้สูงสุด 7-8 ครั้ง



“Hikiage Yuba”

ซึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ “เต้าหู้” ของ “Umenohana” เป็นเต้าหู้รสเลิศ ต่างจากเต้าหู้ทั่วไป คือ การใช้เมล็ดถั่วเหลืองที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นในการผลิตน้ำเต้าหู้และเต้าหู้ของร้านเท่านั้น ซึ่งเมล็ดถั่วเหลืองจากญี่ปุ่นจะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว อีกทั้งยังให้โปรตีนสูงและมีขนาดใหญ่กว่าเมล็ดถั่วเหลืองโดยทั่วไป ด้วยเหตุนี้เมนูเต้าหู้ทุกชนิดของ “Umenohana” จึงมีเนื้อที่เนียนนุ่มละมุนราวกับทำจากน้ำนม และยังมีรสชาติอร่อยในตัวเอง แม้ไม่ปรุงรสเพิ่มก็ยังอร่อย



ฟองเต้าหู้ที่ได้ ปรุงรสด้วยวาริโจยุ และผิวส้มยูสึ

ยก “Umenohana” สาขาแรกจากญี่ปุ่นมาไว้ที่เมืองไทย

ด้วยการยกต้นแบบมาจากร้านสาขาแรกของ “Umenohana” ที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีต้นบ๊วยอยู่กลางร้าน ให้สมกับชื่อร้าน “Umenohana” ที่แปลว่า “ดอกบ๊วย” ดังนั้นร้าน “Umenohana” สาขาประเทศไทย จึงลงทุนยกต้นบ๊วยจริงๆ มาตกแต่งไว้ตรงกลางร้านด้วยเช่นกัน รวมถึงการตกแต่งร้านสไตล์ญี่ปุ่น Traditional ที่อิมพอร์ตของตกแต่งทุกอย่างมาจากญี่ปุ่นทั้งสิ้น แม้กระทั่งจานชามที่ใช้ก็นำเข้าจากญี่ปุ่น และเป็นการสั่งทำพิเศษสำหรับ “Umenohana” เท่านั้น บรรยากาศของ “Umenohana” จึงมีความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอยู่อย่างครบถ้วน ราวกับกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ปาน




นอกจากนี้การบริการของพนักงาน ก็ยังมีเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่น เพราะพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่เรื่องการเปิดปิดประตูห้อง การเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า และการเก็บจานอาหารไปจากโต๊ะ ซึ่งจะต้องรู้จังหวะและมีขั้นมีตอนตามมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติของชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ถือเป็นมารยาทอันดีและความใส่ใจในการบริการ ที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าของ “Umenohana” ได้เป็นอย่างดี
ลองแวะมาสัมผัสกับความประณีตในรสชาติของอาหารแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม และการบริการอันสุภาพนุ่มนวลตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นแท้ๆ ที่ “Umenohana” ดูสักครั้ง เพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในชีวิต หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/umenohana

emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44

6

รวมร้านบรรยากาศดีไว้นั่งชิลล์กับเพื่อน



เย็นๆ หลังเลิกงาน บางทีก็อยากจะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ใช่มั้ยล่ะ แต่พอจะให้เลือกร้าน ก็อาจจะนึกไม่ออกว่าจะเอาร้านไหนดีนะ เพราะมีให้เลือกแยะแยะมากมายไปหมด แต่การไปแฮงค์ เอาท์กับเพื่อน ส่วนใหญ่แล้วก็คงหนีไม่พ้นต้องหาร้านที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ใช่มั้ยล่ะ บวกกับต้องเป็นร้านที่อาหารอร่อยและบรรยากาศดี ชวนให้นั่งนานๆ ด้วย "วงใน" จึงรวบรวมร้านเบียร์น่านั่งสำหรับคอเบียร์ และร้านไวน์ชิคๆ สำหรับคนชอบจิบไวน์ และร้านอาหารที่มีค็อกเทลเก๋ๆ มาให้เป็นตัวเลือกสำหรับการนัดรวมตัวกับผองเพื่อนนะ


1.ร้าน Brew Beers & Ciders

*ทีเด็ด* เบียร์กล้วย เบียร์ช็อกโกแลต เบียร์คาราเมล ท็อฟฟี่- สวรรค์ของคนรักเบียร์ เพราะมีเบียร์ให้เลือกหลายหลายยี่ห้อ และมีเบียร์แปลกๆ ให้ลองเยอะเลยทีเดียว เช่น เบียร์อังกฤษที่ทางร้านเพิ่งนำเข้ามาสดๆ ร้อนๆ เมื่อตอนต้นเดือนพ.ย. ซึ่งน่าสนใจมาก และใครที่เป็นคอเบียร์ ไม่ควรพลาด เพราะเบียร์ตระกูลอังกฤษที่เพิ่งนำเข้ามา นั้นมีรสชาติและกลิ่นที่เหมือนกับขนม!!! อาทิ “Bombardier” เบียร์กลิ่นคาราเมลจางๆ ผสมดอกฮอบส์ , เบียร์กลิ่นกล้วยหอม “Wells Banana Bread Beer”, เบียร์ดำรสช็อกโกแลต “Young’s Double Chocolate Stout“, เบียร์รสคาราเมล ท็อฟฟี่ “Well’ s Sticky Toffee Pudding Ale” ที่มีกลิ่นคาราเมลและกลิ่นวานิลลาผสมกลมกลืนอยู่ในรสชาติของเบียร์ด้วย รสชาติของเบียร์ออกหวาน แต่ไม่มากนัก...เบียร์แต่ละอย่างรสชาติเหมือนขนมซึ่งสาวๆ น่าจะชอบได้ไม่ยาก



ร้าน Brew Beers & Ciders


ร้าน Brew Beers & Ciders


ร้าน Brew Beers & Ciders

อ่านรายละเอียดร้าน Brew Beers & Ciders
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/11239sD
2.ร้าน Beers Cellar Tree Square

*ทีเด็ด* ร้านสไตล์ผับอังกฤษ กับเบียร์ผลไม้มาใหม่ เอาใจสาวๆ - “Beer Cellar” กำลังนำเสนอ “BrewDog” เบียร์หน้าตาซ่าส์ๆ จากสก็อตแลนด์ ซึ่งที่ร้านเอามาให้คอเบียร์ได้ดื่มดัน ถึง 7 ชนิดเลยทีเดียว อาทิ “BrewDog Punk IPA” เบียร์สีทองที่มีกลิ่นหอมของ Tropical Fruit และคาราเมล, “BrewDog Dead Pony Club” เบียร์ที่มีกลิ่นหอมของลิ้นจี่ผสมกลมกลืนอยู่ด้วย เหมาะกับสาวๆ ยิ่งนัก, “BrewDog 5 a.m. Saint” เบียร์ที่มีกลิ่นสลับซับซ้อนของลิ้นจี่และท็อฟฟี่ คาราเมลอยู่ด้วยกัน รสขมนิดๆ แต่ก็ยังดื่มง่าย และ “Brewdog Golding” เบียร์สีทองฟองน้อย มีกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์ น้ำผึ้ง แบล็คเบอร์รี่ ลูกพลัม และเปลือกไม้รมควัน เบียร์ตัวนี้กลิ่นแรง หอมติดจมูก …พิเศษ!! ช่วงนี้เค้ามีโปรโมชั่น 2 ขวดฟรี 1 ขวดให้คอเบียร์ช่วยกัน “Keep Water, Drink Beer” เป็นอีกหนึ่งร้านเบียร์ที่มีเบียร์น่าสนใจมานำเสนออยู่มิได้ขาด คอเบียร์ควรจัดไว้ในลิสต์อีกหนึ่งร้าน


ร้าน Beers Cellar Tree Square


ร้าน Beers Cellar Tree Square


ร้าน Beers Cellar Tree Square

อ่านรายละเอียดร้าน Beers Cellar Tree Square
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/122994eB

3.ร้าน PinT Park Lane

*ทีเด็ด* - เบียร์ดี ดนตรีสด กับแกล้มเด็ด - ถ้าชอบร้านสไตล์ English Pub ก็เลี้ยวมาที่ร้าน “Pint” ได้เลย ร้านนี้อยู่ที่พาร์ค เลน เอกมัย เป็นร้านที่มีให้เลือกทั้งอิน ดอร์ และเอาท์ ดอร์ และมีดึกๆ มีดนตรีสดให้ฟังด้วย ร้องเพราะใช้ได้ทีเดียว ส่วนเบียร์ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของงานนี้ ก็มีทั้งเบียร์สดและเบียร์ขวดหลากหลายยี่ห้อให้เลือก ทั้งเบียร์ลาว, Stella Artois, Hoegaarden, Leffe, Erdinger, Paulaner, Warsteiner, Sapporo, Yebisu ลองถามพนักงานดูว่าเบียร์ยี่ห้อไหนมีแบบสดบ้าง เพราะบางยี่ห้อก็มีแต่แบบขวด ส่วนกับแกล้มก็เน้นอาหารฝรั่งซะส่วนใหญ่ เช่น มันฝรั่งทอดจิ้มกับดิปรสชาติต่างๆ หรือไส้กรอกรวมแกล้มกับกิมจิ


ร้าน PinT Park Lane


ร้าน PinT Park Lane


ร้าน PinT Park Lane

อ่านรายละเอียดร้าน PinT Park Lane
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/9474st


4.ร้าน BEERVAULT Four Points by Sheraton Bangkok

*ทีเด็ด* เบียร์เด็ดๆ จากทั่วโลก กับโปรมา 4 จ่าย 3 - ที่นี่เบียร์กว่าร้อยยี่ห้อ จาก 13 ประเทศทั่วโลก เบียร์จากประเทศไหน ก็คงไม่น่าสนใจเท่ากับเบียร์จากประเทศที่เราไม่ค่อยคุ้นเคยว่าประเทศนั้นมีเบียร์เจ๋งๆ ให้ลองดื่มด้วยเหรอ เช่น เบียร์จาก ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เม็กซิโก ฮอลแลนด์



ร้าน BEERVAULT Four Points by Sheraton Bangkok


ร้าน BEERVAULT Four Points by Sheraton Bangkok


ร้าน BEERVAULT Four Points by Sheraton Bangkok

อ่านรายละเอียดร้าน BEERVAULT Four Points by Sheraton Bangkok
เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/119239fV


5.ร้าน 8owls Japanese Dining Bar

ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ ที่นำเสนออาหารในสไตล์ฟิวชั่นแปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใคร แตกต่างจากอาหารญี่ปุ่นที่คุ้นเคย แถมหลายๆ เมนูยังเป็นเมนูที่คนกินสามารถเล่นสนุกไปพร้อมๆ กับการกินได้ด้วย เช่น "Maki Me" มากิที่มีสาหร่ายแผ่น มาให้ห่อและผักต่างๆ กับปลาแซลมอนคลุกวาซาบิมายองเนส หรือ "Wagyu Beef Tartar" ทาร์ทาร์วากิวที่ให้คลุกส่วนผสมทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วกินคู่กับ " Rice Cracker" พร้อมลิ้มรสเบียร์สด จากเบียร์อันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น “Hitachino Nest Beer” ซึ่งที่นี่มีรสชาติให้ลิ้มลองกันถึง 8 แทปกันเลยทีเดียว พร้อมเบียร์ฮิตาชิโนะแบบขวด และไอศกรีมที่ทำจากเบียร์ฮิตาชิโนะ



ร้าน 8owls Japanese Dining Bar


ร้าน 8owls Japanese Dining Bar


ร้าน 8owls Japanese Dining Bar

อ่านรายละเอียดร้าน 8owls Japanese Dining Bar
เพิ่มเติมได้ที่


ค้นหาและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ [url]http://www.wongnai.com/listings/chill-out-with-friend]



ค้นหาและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/chill-out-with-friend


7
ตู้กับข้าว อาหารไทยรสชาติดั้งเดิม ที่ใส่ใจในอาหารทุกจานเหมือนคุณย่าทำให้ทาน





“ภายในร้านบรรยากาศสบายๆ”

คนไทยสมัยก่อนจะทำอาหารรับประทานกันเองที่บ้าน ทุกบ้านจะมีตู้กับข้าวไว้เก็บอาหารที่ปรุงแล้ว เวลาใครก็ตามรู้สึกหิว ก็จะต้องเดินไปเปิดตู้กับข้าวเพื่อหาอาหารอร่อยๆ ฝีมือคุณแม่หรือคุณย่าที่ทำเอาไว้ ตู้กับข้าวจึงเป็นตัวแทนของความอร่อยและรสชาติที่เราคุ้นเคย นอกจากนี้ตู้กับข้าวยังเป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นที่สมาชิกทุกคนในบ้านมารวมตัวกันเพื่อรับประทานอาหารแต่ละมื้อกันอย่างพร้อมหน้า ร้านอาหารของเราจึงอยากดึงเอาความรู้สึกอบอุ่นและรสชาติอาหารไทยที่คุ้นเคยของตู้กับข้าวมาไว้ที่นี่

การตกแต่งของร้านจะเป็นสไตล์ Minimalistic คือเน้นความเรียบง่ายแต่ดูดี แต่ก็แอบมีลูกเล่นอย่างการใส่ตู้กับข้าวแบบสมัยก่อนเข้ามาด้วย ครัวเป็นครัวเปิดเพื่อให้แขกสามารถมองเห็นว่าใครเป็นคนทำอาหารให้ทานเหมือนที่สมัยก่อนลูกๆ นั่งดูคุณแม่หรือคุณย่าทำอาหารที่บ้าน บรรยากาศในร้านเหมาะกับทุกเพศทุกวัย เหมาะทั้งกับการมานั่งพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงหรือทานอาหารกับครอบครัว

สูตรอาหารของทางร้านเป็นสูตรที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยคุณย่า ที่ใส่ใจในอาหารทุกจานเหมือนเวลาที่คุณย่าทำอาหารให้ลูกๆ หลานๆ ของตัวเองรับประทาน นอกจากนี้ยังไม่มีการใส่ “ผงชูรส” ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าอาหารทางร้านสะอาด ปลอดภัย อร่อย และมีคุณภาพ



“เบคอนพันแหนม”

เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับอาหารจานแรก “เบคอนพันแหนม” (ราคา 110 บาท) การผสมผสานระหว่างอาหารเอเชียและตะวันตกได้อย่างลงตัว แหนมถูกพันด้วยบาบีคิวเบคอนเสิร์ฟมาในขนาดพอดีคำ เมื่อทานเข้าไปคำแรกจะสัมผัสได้ถึงความเค็มและมันนิดๆ ของเบคอน จากนั้นจะได้รสเปรี้ยวเรียกน้ำลายของแหนม ทานเข้าด้วยกันแล้วเป็นอะไรที่เข้ากันอย่างลงตัว เป็นจานแรกที่ทานเพลินและเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี



“หมูคลุกฝุ่น”

ต่อกันด้วย “หมูคลุกฝุ่น” (ราคา 100 บาท) เนื้อหมูติดมันนิดหน่อยหัั่นเป็นชิ้นยาวพอดีคำถูกนำไปหมักกับเครื่องเทศหลากหลายชนิดจนเข้าเนื้อ จากนั้นจึงนำมาทอดในน้ำมันจนกรอบ แล้วนำไปคลุกกับข้าวคั่วและใบมะกรูด ทำให้เวลาทานเนื้อข้างนอกจะกรอบ ข้างในนุ่มแถมยังหอมกลิ่นเครื่องเทศและใบมะกรูดอบอวลหอมกรุ่นไปทั่วปาก เพิ่มรสชาติด้วยการจิ้มซอสพริกที่เสิร์ฟมาคู่กันก็อร่อยไปอีกแบบ เป็นจานที่ความหอมจะตรึงตราตรึงจนอยากกลับมาทานอีก



“ลาบไก่กรอบ”

ใครชอบทานลาบต้องไม่พลาดจานนี้ “ลาบไก่กรอบ” (ราคา 150 บาท) เนื้อไก่ถูกทอดมาจนหนังข้างนอกกรอบ ส่วนเนื้อข้างในนุ่ม จากนั้นนำมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงต่างๆ จนเข้ากัน รสชาติเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ เหมาะกับคนทานรสชาติจัดจ้าน อีกทั้งยังหอมและได้รสกรุบกรอบของข้าวคั่ว จะทานเป็นกับแกล้มหรือทานกับข้าวเหนียวก็อร่อยอย่าบอกใคร



“ข้าวผัดกระเทียมหมูย่าง”

อย่าเพิ่งกินกันจนอิ่มเพราะยังมีเมนูข้าวอย่าง “ข้าวผัดกระเทียมหมูย่าง” ราคา 160 บาท ข้าวผัดกระเทียมมีความร่วน ผัดออกมาแล้วไม่มัน ทีเด็ดอยู่ที่การใส่กระเทียมสดที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปในข้าว ทำให้หอมกลิ่นกระเทียมเป็นพิเศษ ส่วนหมูย่างเนื้อเน้นๆ มันน้อยๆ รสชาติออกหวานนิดๆ ทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วที่มีรสเปรี้ยวนำตามด้วยหวานและเผ็ด รสชาติตัดและเข้ากันอย่างลงตัว



“ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ”

นอกจากเมนูข้าวแล้วก็ยังมีเมนูเส้นอย่าง “ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ” (ราคา 135 บาท) ซึ่งมีทีเด็ดอยูที่เส้น ! ซึ่งทางร้านจะนำเส้นใหญ่ไปผัดจนข้างนอกกรอบแต่ข้างในยังคงความเหนียวนุ่มหนึบหนับ จากนั้นจึงใส่ผงกระหรี่และหมูสับ แล้วโรยด้วยหอมเจียวเพื่อเพิ่มความหอม เวลาทานให้ตักทุกอย่างเข้าด้วยกันจะทำให้ได้รสชาติครบรส หรือจะทานกับซอสสูตรพิเศษของทางร้านที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นย่า รสชาติเค็มและเปรี้ยวนิดๆ เป็นจานที่เส้นกรอบเหนียวนุ่มที่ไม่เคยทานมาก่อนแนะนำให้ลองทานกันดู



“ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่”

ปิดท้ายด้วย “ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่” (ราคา 150 บาท) ที่หากมองแค่ภายนอกแล้วไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นมากนัก แต่พอได้ลองทานแล้วจะรู้สึกถึงเส้นที่แปลกและแตกต่างออกไป เส้นที่ใช้เป็นเส้นแบบเดียวกับ “ก๋วยเตี๋ยวหมูสับ” ที่ข้างนอกมีความกรอบส่วนข้างในเหนียวนุ่มเคี้ยวกันเพลินๆ แถมยังได้กลิ่นหอมของเส้น นอกจากความเหนียวแล้วก็ยังได้ความกรอบจากถั่วงอก เนื้อไก่และปลาหมึกก็ให้ในปริมาณที่เยอะสมราคา หากอยากลองทานคั่วไก่ที่ต่างออกไปต้องจานนี้เลย

หากท้องหิวลองมาเปิด “ตู้กับข้าว” ตู้นี้รับลองว่าจะนอกจากจะอิ่มแล้วยังได้ทานแต่ของอร่อยและมีประโยชน์ที่คุณจะต้องติดใจแน่นอน หากสนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/tuu-gub-kao

emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49

8
ลิ้มรสความอร่อยกับอาหารสไตล์อิซากายะแบบครอบครัวที่ “Manten” ตึก Fifty Fifth ทองหล่อ




“Manten” ร้านอาหารน้องใหม่สไตล์อิซากายะ ที่ไม่ได้มีเพียงปิ้งย่างและอาหารทานเล่นแบบทั่วไปเพราะทางร้านได้เพิ่มเมนูประเภทข้าวลงไปด้วย ทำให้เหมาะสำหรับการทานอาหารแบบครอบครัว และด้วยการตกแต่งของร้านที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นญี่ปุ่นอยู่ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ ภายในร้านแบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกันทั้งแบบ indoor และ outdoor ยิ่งอากาศเย็นๆ แบบนี้ นั่งรับลมที่ริมระเบียงของทางร้านกันแบบเพลินๆ



“ยากิโซบะ”

เริ่มต้นกันที่เมนูแรก ซึ่งเป็นเมนูที่หลายๆ คนต่างติดใจในรสชาติ  “ยากิโซบะ” ราคา 150 บาท เสิร์ฟมาบนกระทะร้อนส่งกลิ่นหอมชวนน่ารับประทาน ยากิโซบะเส้นเหนียวนุ่มถูกผัดเข้ากับกุ้งตัวโตเนื้อเด้ง และเบคอนชิ้นใหญ่จุใจ ราดด้วยน้ำซอสสูตรเฉพาะจากโอซาก้าที่เป็นจุดเด่นของทางร้านทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อมถูกปาก เพิ่มความหอมขึ้นไปอีกกับการโรยปลาแห้งไว้ด้านบน เป็นเมนูที่ทานง่ายไม่ว่าจะเป็นเด็กและผู้ใหญ่



“ซูชิรวม”

ต่อกันด้วย “ซูชิ” ของขึ้นชื่อจากประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ว่าใครก็ต่างติดใจในรสชาติ สามารถเลือกสั่งได้ทั้งแบบเป็นคำและเป็นเซ็ตตามใจชอบ ซึ่งในครั้งนี้เชฟเลือกให้มาแบบเป็นเซ็ต โดยคัดเลือกจากเมนูเด็ดยอดนิยมจากทางร้าน อดใจไม่ไหวแล้วมาทานกันเลยดีกว่า

เริ่มด้วยคำแรกที่มีความคาวน้อยที่สุดกับ “เอ็นกาวะ (Fin of Flatfish)” ราคา 150 บาท หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ครีบปลาตาเดียว” เอ็นกาวะสีขาวนวลชิ้นใหญ่ และยาวพอดีคำ ถูกนำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้น้ำมันละลายออกมาเพื่อเพิ่มความหอมมากยิ่งขึ้น เวลาทานแล้วได้รสชาติที่เค็มๆ มันๆ แถมยังสัมผัสได้ถึงความสดของเนื้อปลา ใครชอบทานเอ็นกาวะห้ามพลาด

คาวขึ้นมาอีกหน่อยกับ “ตับห่าน (Foie Gras)” ราคา 280 บาท ฟัวการ์ชิ้นใหญ่และหนาเต็มปากเต็มคำ เมื่อนำเข้าปากแล้วสัมผัสได้ถึงความละเอียดของฟัวการ์ ตามด้วยความนุ่มแทบจะละลายในปาก และความหอมของกลิ่นย่าง เป็นอันประทับใจไม่รู้ลืม

ปิดท้ายด้วย “ท้องปลาแซลมอน (Fatty Salmon)” ราคา 120 บาท หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “แซลมอนอะบุริ” เป็นส่วนที่มีไขมันแทรกซึมอยู่แทบจะทุกส่วน ถูกย่างให้แบบครึ่งสุกครึ่งดิบ เวลาทานไขมันจะแตกตัวออกแทบจะทันทีที่นำเข้าปาก และละลายหายไป ทำให้สัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำและความหอมของกลิ่นย่างจนแทบอยากจะสั่งมาทานอีกชิ้นเลยทีเดียว



“โอโคโนมิยากิ”

“โอโคโนมิยากิ” ราคา 180 บาท หรือที่รู้จักกันดีในชื่อพิซซ่าญี่ปุ่น เพราะเป็นของขึ้นชื่อจากโอซาก้า ทางร้านจึงเน้นเป็นสไตล์โอซาก้าที่มีความนุ่มและกรอบมากกว่าปกติ โอโคโนมิยากิของที่นี่แป้งจะน้อย จัดแต่เครื่องเน้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง, เบคอน, ขิงดอง และผักที่เป็นส่วนผสมหลัก ทางร้านเลือกใช้ไข่โปะหน้าทำให้ได้รสชาติมากกว่าที่เราผสมเข้าไป จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็อยู่ที่ซอสเช่นกัน ซึ่งทางร้านได้เลือกใช้ซอสสูตรเฉพาะของทางร้านที่มีรสชาติกลมกล่อม อร่อยกำลังดี



“สเต็กวากิว”

“สเต็กวากิว” สามารถเลือกทานได้ตามขนาดซึ่งมีให้เลือกถึง 3 ไซส์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ไซส์ S (80 กรัม) ราคา 850 บาท/ไซส์ M (150 กรัม) ราคา 1,450 บาท/ไซส์ L (300 กรัม) ราคา 2,500 บาท ทางร้านได้สั่งเนื้อวากิวส่งตรงมาจากญี่ปุ่น และได้เลือกใช้เนื้อในส่วนของ “สันใน” ถือเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด นุ่มขนาดที่ว่าเอาเข้าปากแล้วแทบจะละลายในปาก นอกจากนี้ยังหอมกลิ่นพริกไทยดำที่โรยมาด้วยกัน เพิ่มความอร่อยขึ้นไปอีกโดยการจิ้มกับน้ำจิ้มสูตรพิเศษ 2 ชนิดของทางร้าน อย่างแรกเป็นน้ำจิ้มหอมหัวใหญ่กับต้นหอมไทยสับละเอียดคลุกด้วยกันแล้วนำไปชุบน้ำเกลือ ทำให้เวลาทานจะได้รสชาติออกเค็มๆ อย่างที่สองเป็นซอสสูตรพิเศษของทางร้านที่มีรสชาติกลมกล่อม ใครชอบทานรสชาติแบบไหนสามารถเลือกได้ตามใจชอบเลย



“สลัดปลาเงิน ซอสงาขาวญี่ปุ่น”

ปิดท้ายด้วยอาหารเพื่อคนรักสุขภาพ “สลัดปลาเงิน ซอสงาขาวญี่ปุ่น” ราคา 250 บาท ผักสดกรอบหลากหลายชนิดราดด้วยน้ำสลัดงาขาวญี่ปุ่นที่ถือเป็นตัวชูโรงของเมนูนี้ ทำให้ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความเป็นญี่ปุ่นด้วยการใส่ปลาเงินทอดที่มีความกรอบเป็นพิเศษ ทำให้เมนูนี้ถือเป็นเมนูที่อร่อยแถมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย

ทางร้านยังมีโปรโมชั่นพิเศษต่างๆอีกมากมายทั้งในช่วง "Lunch Promotion" (11.00-14.00 น.) เมื่อสั่งชุดอาหารกลางวันชุดไหนก็ได้ รับส่วนลด 20% หรือ Sushi Lunch Set ที่ลดเหลือเพียง 259 บาทเท่านั้น อีกทั้งยังมี "Evening Promotion" (14.00-22.00 น.) ที่ลด 25% สำหรับซูชิและ Rolled Sushi นอกจากนี้เมื่อสั่งเบียร์ 1 เหยือก แถมเบียร์อีก 1 แก้วไปเลย !

สำหรับใครที่ไม่สะดวกมาทานที่ร้านก็ยังมีบริการแบบ Delivery ในบริเวณระแวกใกล้ๆ อีกด้วย หากใครอยากพาครอบครัวมาทานอาหารสไตล์อิซากายะอร่อยๆ บรรยากาศดีๆ ลองแวะมาที่ร้าน “Manten” ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ตึก Fifty Fifth ทองหล่อ ตอบโจทย์ของคุณได้แน่นอน หรือค้นหาและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/manten

emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33

9
ร้านน่ารัก น่าพาแฟนไปเดทในวันวาเลนไทน์ by Between App

กำลังมองหาร้านสำหรับพาหวานใจไปเดทในวันวาเลนไทน์นี้อยู่ใช่ไหม "วงใน" ร่วมกับ "between app"(www.between.us - app สำหรับคู่รักอันดับ 1 ของเอเชีย ที่เป็นเหมือนขวดแก้วแห่งความทรงจำให้คู่รักใช้เก็บโมเมนท์ดีๆ ที่มีระหว่างกัน) ขอแนะนำ 10 ร้านน่ารักๆ ที่บรรยากาศเป็นใจ แถมมีขนมอร่อยๆ ชา กาแฟเลิศ เพื่อให้คุณพาหวานใจไปสร้างบรรยากาศแห่งรักให้อบอวลอยู่รอบๆ ตัว ให้คนอื่นอิจฉาเล่นๆ


1.ร้าน La Mind Café and Dessert

ชวนหวานใจไปนั่งจิบชา กาแฟที่ “La Mind” ร้านสไตล์คลาสสิคและอ่อนหวานแบบ English Cottage ที่มีมุมหวานๆ น่ารักๆ ให้เลือกนั่งได้ตามอัธยาศัย เช่น มุมโซฟาที่มีน้องหมีวางไว้ให้หยิบมากอดแน่นๆ หรือเก้าอี้ลายดอกไม้หวานๆ หรือจะเลือกนั่งที่เก้าอี้เหล็กที่ให้อารมณ์เหมือนกำลังนั่งอยู่กลางสวนก็ได้ พร้อมจิบชายี่ห้อดังจากอังกฤษ “Harrods” ที่มีให้เลือกทั้ง เอิร์ลเกรย์, อิงลิชเบรคฟาสต์ และ "ชากุหลาบ" หอมกลิ่นกุหลาบกรุ่นๆ เอาใจสาวๆ สุดๆ แล้วชี้ชวนกันสั่งเบเกอรี่อร่อยๆ ที่ประยุกต์ใส่ความเป็นไทยลงไป เช่น “เค้กชาไทย” และ “เค้กมะตูม” หรือจะลองเบเกอรี่สไตล์ฝรั่งอย่าง “Banana Choc" เค้กอร่อยที่แปลงร่างมาจากบานอฟฟี่ เป็นเค้กที่รวมร่างมาจากช็อกโกแลตสปองจ์เค้ก กล้วยหอม ครีมสด และครีมดาร์กช็อกโกแลต นั่งเดทจิบชา ชิมเค้กเพลินๆ ละมุนละไมสมชื่อร้านจริงๆ



ร้าน La Mind Café and Dessert


ร้าน La Mind Café and Dessert


ร้าน La Mind Café and Dessert

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/18409ud


2.ร้าน Cherubin

หากหวานใจของใครเป็น “Chocolate Lover” และหลงรักตุ๊กตาหมีเอามากๆ พามาร้าน "เชรูแบง" เลย!!! รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน เพราะการตกแต่งของร้านนี้ จะมีตุ๊กตาวางอยู่ทั่วทุกอณูของร้าน ให้นั่งดูกันเพลินไปเลย ทั้งบนชั้น บนโซฟา ในตะกร้า และแม้กระทั่งบนเสา แล้วยังมีหลากเมนูเบเกอรี่อร่อยๆ ที่มีช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบให้สาวกช็อกโกแลตได้เพ้อคลั่งกับความอร่อยกันได้อย่างเต็มที่ เช่น “French Chocolate Cake” ที่มีช็อกโกแลตละลายเยิ้มอยู่ข้างในตัวเค้ก ส่วนแป้งด้านบนจะหนานุ่มและกรอบนิดๆ ด้านนอก ดูเผินๆ จะเหมือนช็อกโกแลตลาวาที่หั่นออกมาเป็นชิ้นๆ, “Brownie Cheesecake” ชีสเค้กทื่ด้านบนท้อปด้วยบราวนี่ชิ้นหนาๆ แล้วราดซ้ำด้วยซอสช็อกโกแลตอีกที และ “Caramelly Monkey” เค้กหลายเลเยอร์ ที่ด้านล่างสุดเป็นโอรีโอบดละเอียด วางทับด้วยเค้กช็อกโกแลตเนื้อเนียนนุ่ม แล้วตามด้วยมูสคาราเมลหอมๆ ที่มีกล้วยหอมสดแอบซ่อนอยู่ด้านใน เป็นเมนูที่หวานแหววด้วยคาราเมลและกล้วย



ร้าน Cherubin


ร้าน Cherubin


ร้าน Cherubin

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/5517Lf


3.ร้าน Panary Cafe

เมื่อก้าวเท้าเข้าไปสู่ร้าน “Panary Cafe” จะรู้สึกเหมือนกับเดินเข้าไปในบ้านฮอบบิท เพราะร้านตกแต่งให้น่ารักด้วยสีสันสดใสและลายเพนท์บนผนัง โต๊ะและเก้าอี้หลากสไตล์แต่ยังคุมโทนอบอุ่นเหมือนบ้าน ด้วยการใช้ไม้เป็นวัสดุหลัก แถมด้วยการประดับประดาโคมไฟสไตล์ DIY ที่เอาขวดโหลมาใส่หลอดไฟลงไป แถมท้ายด้วยการพรางเสากลางร้านให้ดูเหมือนต้นไม้จำลอง ด้วยแผ่นไม้ชิ้นเล็กหลายๆ ชิ้นเรียงติดกัน และนอกจากจะเพลินกับการตกแต่งของร้านแล้ว ยังมี “Dutch Baby Pancake” ให้กินกันเพลินๆ ด้วย แพนเค้กชนิดนี้เป็นแพนเค้กสัญชาติเยอรมันที่ปะยุกต์มาจากขนมของชาวอเมริกัน ทำให้แพนเค้กของที่นี่ แตกต่างจากแพนเค้กทั่วไปที่เคยกินมา เพราะแป้งแพนเค้กจะถูกเทลงไปในกระทะเหล็ก จนเมื่อสุกได้ที่ แพนเค้กก็จะออกมามีรูปร่างเหมือนกระทะ คือเป็นแพนเค้กที่ก้นลึก ขอบหนา แล้วยังเอามาประยุกต์เป็นได้ทั้งเมนูอาหารคาวและเมนูอาหารหวาน ทั้งอร่อยและเฮลท์ตี้ แถมแปลก รับรองหวานใจต้องชอบแน่นอน



ร้าน Panary Cafe


ร้าน Panary Cafe


ร้าน Panary Cafe

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/132501Wn


4.ร้าน Karmakamet Diner

ร้าน "Karmakamet Diner" นี้โรแมนติกทั้งตัวร้านและการตกแต่งที่ให้บรรยากาศวินเทจๆ รวมไปถึงธีมของทุกสิ่งทุกอย่างในร้าน ตั้งแต่เมนู และแผ่นรองจานที่เลียนแบบหนังสือพิมพ์สมัยก่อน และแผ่นรองแก้วที่เอาซองจดหมายจริงๆ มาใช้ แถมมีตัวหนังสือเขียนไว้ในจดหมายด้วยนะ กินเสร็จจะเอาขึ้นมาอ่านเล่น ก็สนุกดี ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในการเดินทางของความรักแบบคนสมัยก่อนที่ต้องนั่งรอจดหมายจากคนรักกันสองวันสามวัน กว่าจะได้ติดต่อกันทีนึง...นั่งซึ้งกับบรรยากาศไปพลาง แล้วอย่าลืมสั่งของหวานอย่าง "เลมอน มิลล์เฟย" มาเซอร์ไพรส์หวานใจ เพราะขนมจานนี้จะมีสายไหมหน้าตารักๆ ฟูฟ่องเป็นส่วนประกอบมาด้วย


ร้าน Karmakamet Diner


ร้าน Karmakamet Diner


ร้าน Karmakamet Diner

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/135861VK

5.ร้าน Parlour Restaurant & Bar

ร้านโรแมนติกสไตล์อิงลิช คันทรี ที่ดูอบอุ่นนุ่มนวล เหมือนกำลังนั่งอยู่ในฟาร์มแถบชนบทของอังกฤษ เพราะที่นี่จำลองโรงทอขนแกะมาไว้ภายในร้าน มีมุมต่างๆ ตั้งโชว์ของตกแต่งที่เกี่ยวเนื่องกับโรงทอขนแกะ มีกระทั่งเครื่องทอขนแกะแบบโบราณมาตั้งโชว์ไว้ด้วย เป็นร้านที่มุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นกับแฟน แล้วก็ไม่ใช่แค่จำลองโรงทอขนแกะมาเท่านั้น แต่ที่ "Parlour Restaurant and Bar" (พาร์เลอร์ เรสทรองต์ แอนด์ บาร์) ยังมีไอศกรีมนมแกะให้ลองชิมอีกด้วย



ร้าน Parlour Restaurant & Bar


ร้าน Parlour Restaurant & Bar


ร้าน Parlour Restaurant & Bar

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/128986DI

ค้นหาและอ่านรายละเอียดร้านน่ารัก น่าพาแฟนไปเดทในวันวาเลนไทน์ เพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/restautrant-for-a-date



10
สัมผัสกับรสชาติต้นตำรับเมนูอาหารจีนแบบฉบับกวางตุ้ง ที่ห้องอาหาร Shang Garden

หนึ่งในอาหารต่างชาติที่ถูกปากคนไทยอยู่ไม่น้อยก็คือ อาหารจีนกวางตุ้ง ที่โดดเด่นด้วยเทคนิคในการปรุงอาหารเพื่อคงความสดใหม่ของอาหารไว้ให้มากที่สุด เมนูทุกจานต้องเน้นการปรุงอาหารให้ดูสด มีรสชาติที่นุมนวล ชวนลิ้ม และมีอาหารประเภท ติ่มซำ ไว้คอยบริการ




และวันนี้เราอยู่กันที่ห้องอาหาร Shang Garden ที่รวมความหลากหลายของอาหารจีนสไตล์กวางตุ้ง มีเมนูรสเลิศ ที่รังสรรค์จากฝีมือเชฟ "แจ็คกี้ ชาน" พ่อครัวชาวฮ่องกงที่มีประสบการณ์และความชำนาญด้านอาหารจีนมานานกว่า 30 ปี ซึ่งคร่ำหวอดในวงการภัตรคารและห้องอาหารจีนในโรงแรมต่างๆมากมาย
อาหารจีนกวางตุ้งของที่นี่ปรุงรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น แต่ก็ยังคงความเข้มข้นจัดจ้านสไตล์กวางตุ้งไว้ และคัดสรรแต่วัตถุดิบสดใหม่คุณภาพดีมาปรุงเป็นเมนูต่างๆ หลายรายการที่น่าลิ้มลอง หากมาตอนกลางวันแนะนำเป็นติ่มซำของที่นี่มีมากมายหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นขนมจีบ ซาลาเปา สารพัดของทอดก็มีหมด  ห้องอาหาร “แชงการ์เดน” โรงแรมแชงกรี-ลา เชียงใหม่ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 เปิดบริการทุกวัน สำหรับมื้อกลางวันเปิดบริการเวลา 11.30 น. ถึง 14.30 น. และมื้อค่ำเปิดบริการเวลา 18.00 น. ถึง 22.00 น.



เมนูอาหารห้อง Shang Garden มีทั้งแบบ A LA Carte , Chinese Set (Lunch Menu) ราคาตั้งแต่ 460 – 490 บาท ++ , Chinese Set (Dinner Menu) ราคาตั้งแต่ 2,100 – 10,900 บาท ++ และ Set Sunday Brunch ราคา 488 บาท ต่อท่าน  และพิเศษสุด ! ห้องที่เรามาทานอาหารกันวันนี้เป็นรูปแบบ Chef Table ที่สามารถชมการแสดงความสามารถของเชฟในการปรุงอาหารมื้อพิเศษในห้องส่วนตัว ซึ่งลูกค้าจะได้เห็นกรรมวิธีในการปรุงเมนูแต่ละจานซึ่งจะเสิร์ฟให้กินทันที เรียกได้ว่าอาหารมื้อพิเศษนั้นจะได้ทั้งรสชาติ และความสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน




เมื่อนั่งชมได้สักพัก เมนูแรกที่ถูกเสิร์ฟออกมาเป็นออเดิร์ฟ เรียกน้ำย่อย ที่แต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่ทางเชฟจะรังสรรค์ขึ้นมา  โดยจานนี้เป็นปลายัดไส้ ที่มีส่วนประกอบของ เนื้อกุ้ง งา และปลาแซลมอน ห่อด้วยขนมปังกรอบ ราดทับด้านบนด้วยมายองเนส เมื่อกัดเข้าไปก็จะสัมผัสได้ถึงความกรอบของแป้ง และความแน่นของเนื้อปลาและกุ้งได้เต็มคำ


พายหมูแดง

ถัดมาเป็นพายหมูแดง (60 บาท) เมนูนี้เชฟจะใช้แป้งบัวแดง และนำหมูที่อบผสมกับซอสสูตรเข้มข้นที่เคี่ยวจนเป็นน้ำ เมื่อทานเข้าไปก็จะได้รสชาติเข้มข้นของเนื้อหมูแดง และแป้งพายที่ยังคงความกรอบ แม้จะทิ้งไว้นาน




ยำแมงกระพรุน (290 บาท) - เมนูนี้ใช้แมงกระพุรุนนำเข้ามาจากฮ่องกง ที่ใช้กรรมวิธีในการทำเกือบทั้งวัน เพื่อให้ได้สัมผัสที่นุ่มนวล กรุบกรอบกำลังดี หลักจากนั้นนำไปยำกับซอส xo สูตรพิเศษที่ให้รสชาติไม่เหมือนใคร

เผือกทอดไส้กุ้งผสมไก่สับ (140 บาท) – เนื้อเผือกนุ่มหวานที่มีส่วนผสมของแป้งฮะเก๋า บวกกับรสของเนื้อกุ้งและไก่



เป็ดย่างฮ่องกง (ตัวละ 990 บาท) ที่ได้รสชาติต้นตำรับฮ่องกงแท้ๆ คัดเลือกด้วยวัตถุดิบคุณภาพ ใช้เป็ดที่มีน้ำหนัก 3 กิโลกรัมขึ้นไป หมักด้วยส่วนผสมตามสูตรฮ่องกงแท้ๆ ผ่านกรรมวิธีการผลิตอย่างพิถีพิถัน นำมาย่างด้วยอุณหภูมิ ที่เหมาะสม จึงกลายมาเป็นเป็ดย่างที่ชุ่มฉ่ำ หอมหวาน หนังกรอบ  มั่นใจได้ถึงคุณภาพและความอร่อยจากรสต้นตำรับจากฮ่องกง




ไก่ย่างกระเทียม (220 บาท)– ที่เลือกใช้ไก่บ้าน เพราะได้ความเหนียวนุ่มของเนื้อไก่ ซึ่งมีรสชาติแตกต่างจากเนื้อไก่สด  ความโดดเด่นของจานนี้คือ สามารถสัมผัสได้ตั้งแต่กลิ่นหอมฟุ้งของกระเทียม พริกไทย รากผักชี ที่ใช้หมัก เนื้อไก่สุกกำลังดี ไม่แห้งหรือแฉะจนเกินไป ส่วนหนังจะกรอบเหลืองอมแดงไปทั้งตัว เนื้อไก่บ้านจะเหนียวกำลังดี ไม่แฉะ กลิ่นหอมหวาน ยิ่งได้ น้ำจิ้ม สูตรเด็ดรสหวาน เปรี้ยว ช่วยชูรสให้ไก่อร่อยยิ่งขึ้น




กุ้งทอดครีมสลัด (550 บาท) - เมนูอาหารทานเล่นระดับภัตตาคาร ที่ที่มีคุณค่าประโยชน์จากผลไม้ 5 สี ประกอบไปด้วย สัปปะรด แอบเปิ้ล แคนตาลูป มะละกอ แก้วมังกร และ อาหารทะเล กุ้งที่ใช้ก็ตัวใหญ่ เนื้อแน่น กรอบอร่อย ทานคู่กับน้ำสลัดและผลไม้อร่อยลงตัว




พุดดิ้งมะม่วง (160 บาท) ของหวานแสนอร่อย รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เนียนๆ หอมๆ เคล้ากลิ่นน้ำกะทิอ่อน ทานคู่กับข้าวเหนียวลง เหมาะแก่ทานปิดท้ายมื้อนี้


ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เราขอย้ายที่นั่ง ไปทำความรู้จักกับอีก set เมนู ที่เชฟแจ็คกี้ขออาสามาเสิร์ฟให้ถึงบนโต๊ะ รับประกันความอร่อยทุกเมนูอีกแล้ว !




เสี่ยวหลงเป่า (70 บาท) - สำหรับเมนูเสี่ยวหลงเปาของที่นี่ เคล็ดลับความอร่อยนอกจากจะอยู่ที่ความสะอาด และการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพแล้ว ที่สำคัญก็คือความใส่ใจในรายละเอียดของคนทำ เพราะแม้กระทั่งการคลึงแป้ง ถ้าบางหรือหนาไป พอนึ่งแล้วก็จะไม่อร่อย ซึ่งรสชาติของเสี่ยวหลงเป่าที่นี่ ต้องรับรองว่าแป้งบางนุ่ม เนื้อแน่นเยอะ รสชาติกลมกล่อมในทุกตารางนิ้วที่กัดเข้าไป



ขนมจีบกุ้ง (120 บาท) - เป็นสูตรขนมจีบแบบกวางตุ้งคือใช้เนื้อกุ้งและหมูเป็นเน้นๆ เพียงกัดคำแรกรู้สึกถึงเนื้อกุ้งเต็มๆ คำ ไส้หมูเยอะและแน่น แทบจะเรียกได้ว่าไม่รู้สึกถึงแป้งที่เป็นส่วนผสมในไส้เลย และยังได้ความหอมและกลมกล่อมของพริกไทย, เห็ดหอมและน้ำมันงา อีกด้วย ก็เป็นขนมจีบกุ้งที่เนื้อแน่นอร่อย ด้านบนยังโรยด้วย Tobiko หรือที่เราเรียกกันว่า ไข่กุ้งที่ทำให้เราเกิดรสสัมผัสแบบ กรุบๆ เมื่อเคี้ยว และออกรสชาติที่เค็มแบบอ่อนๆ




เต้าหู้ราดซอสมันปู (510 บาท) อาหารสุขภาพตำรับจีน ที่นำเต้าหู้ที่อุดมด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง มาปรุงกับเนื้อปู ไข่ปู มันปู อุดมด้วยวิตามินแร่ธาตุจากทะเล คุณผู้รักสุขภาพจึงไม่ควรพลาดเมนูนี้




ตงโปหยก (หมูสามชั้นราดซอสพลัม 220 บาท)  ที่เสิร์ฟมาพร้อมผักกวางตุ้ง ดูจากหน้าตาแล้วเหมือนจะมันเลี่ยน แต่ด้วยการตุ๋นที่ต้องใช้เวลานาน ทำให้มันที่ติดอยู่กับเนื้อหมูเบาบางลงไปจนแทบไม่มีความมัน หรือเลี่ยนเลยสักนิดเดียว แต่กลายเป็นรสชาติความอร่อยของการเข้าเนื้อของน้ำพะโล้ กับ เนื้อหมูเป็นอย่างดี เรียกว่านุ่ม อร่อย จนแทบละลายเข้าไปในปาก




ก๋วยเตี๋ยวหลอดมะม่วง (160 บาท)- ปิดท้ายกับของหวาน รสชาติหอมละมุนละไม ไม่น่าเชื่อว่ามะม่วงกับก๋วยเตี๋ยวหลอดจะเข้าคู่กันได้ ด้วยความหวานของมะม่วงตัดเข้ากับแป้งก๋วยเตี๋ยว รับประกันความอร่อยจานเดียวที่ไม่พอ



"เชฟแจ็คกี้ ชาน"


ด้วยความมีเอกลักษณ์และชื่อเสียงที่เรื่องลือด้านอาหารจีนต้นตำหรับของเชฟ "แจ็คกี้ ชาน" ย่อมการันตีได้ว่าแชงการ์เดนจะเป็นเสมือนดั่งห้องอาหารจีนที่สมบูรณ์ในทุกๆโอกาส ด้วยเมนูอาหารจีนเลิศรสที่หลากหลาย พร้อมด้วยสองห้องรับประทานอาหารส่วนตัวเพื่อโอกาสพิเศษ ซึ่งหนึ่งในนั้นสามารถชมการปรุงอาหารของเชฟได้โดยราวกับชมการแสดง  นอกจากนี้ยังมีบริเวณสวนกลางแจ้ง ในบรรยากาศที่สงบร่มรื่นเย็นสบาย เพื่อสัมผัสกับรสชาติที่แตกต่างเสมือนกับการเดินทางท่องโลกอาหารจีนแบบฉบับกวางตุ้ง ที่ Shang Garden  หรือ ค้นหาและอ่านรายละเอียร้านอาหารอร่อยๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://www.wongnai.com/articles/shang-garden

emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49

11


รวมโปรโมชั่นตรุษจีน 2557 ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ ฉลองปีใหม่จีนไปกับอาหารอร่อยๆกัน

วันตรุษจีนเทศกาลปีใหม่จีนเวียนมาอีกครั้ง!
เพื่อนๆวงในทราบไหมว่าเทศกาลตรุษจีนหรือเทศกาลปีใหม่ของชาวจีนเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของคนจีนเลยที่เดียวนะ มีการจัดเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ในชุมชนจีนทั่วโลก อย่างในประเทศจีนเค้าเรียกว่าโกลเด้นวีค (golden week) ซึ่งจะหยุดยาวทั้งสัปดาห์เพื่อให้คนทำงานพักผ่อนและได้กลับไปเยี่ยมบ้านเพื่อฉลองกันอย่างพร้อมหน้า สำหรับวันตรุษจีนปี 2557 นี้ตรงกับวันที่ 31 มกราคม นี่เอง ... ทางทีมงานวงในก็ขออวยพรซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ ขอให้ร่ำๆรวยๆมีความสุข สุขภาพดีกันถ้วนหน้านะคะ ^^

และสำหรับวันนี้เราก็มี promotion ร้านอาหารดีๆมาฝากเช่นเคย เผื่อใครที่กำลังหาร้านไปกินฉลองตรุษจีนก็ลองไปดูได้เลยนะว่าสนใจอันไหน .

.
ห้องอาหารเทสท์ @ โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท
โปรโมชั่นตรุษจีน: ลด 50% บุฟเฟ่ต์ตรุษจีน วันศุกร์ที่ 31 มกรา 2557 นี้ ที่ห้องอาหาร เทสท์ โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท
วันที่: วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง: 02-207-8000 หรือ อีเมล์ fb.bangkok@westin.com
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/18535RA

ขอเชิญทุกท่านและครอบครัวร่วมฉลองต้อนรับปีม้าทอง ด้วยบุฟเฟ่ต์ตรุษจีนกับสารพันอาหารนานาชาติและอาหารจีนเสริมสิริมงคล สำหรับบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันและมื้อเบ็น พิเศษ! รับส่วนลด 50 % เมื่อสมัครสมาชิก สตาร์วู้ด พรีเฟอร์ เกสต์ฟรี (Starwood Preferred Guest® )
• บุฟเฟ่ต์นานาชาติมื้อกลางวันราคาเหลือเพียงท่านละ 622 บาทถ้วน (ราคาหลังหักส่วนลด 50%)
• บุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด แอนด์ กริลล์มื้อเย็นราคาเหลือเพียงท่านละ 1,195 บาทถ้วน (ราคาหลังหักส่วนลด 50%)
โรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท มาสะดวกสบายทางรถยนต์เข้าทางสุขุมวิท 17 หรือ 19 หรือลงรถไฟใต้ดินที่สถานีสุขุมวิท หรือรถไฟฟ้าที่สถานีอโศก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัครสมาชิก สตาร์วู้ด พรีเฟอร์ เกสต์ ฟรี หรือสำรองที่นั่ง ได้ที่ 02-207-8000 หรือ อีเมล์ fb.bangkok@westin.com




ห้องอาหารจีน ดิ เอมเพรส โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง
โปรโมชั่นตรุษจีน: ชุดเมนูอาหารจีนตำหรับจักรพรรดิ“ม้าทองคำ” โต๊ะจีน (8-10 ท่าน) ราคา 15,000 บาท++
วันที่: 27 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง: โทร. 02-281-3088 ต่อ 146-148
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/2501Lu

ขอเชิญท่านลิ้มลอง ชุดเมนูอาหารจีนตำหรับจักรพรรดิ รังสรรค์เพื่อเทศกาลตรุษจีนนี้โดยเฉพาะ กับชุดเมนู “ม้าทองคำ” อาทิ หูฉลามแผ่นตุ๋นพิเศษไก่สาว หรือ ซุปเณรน้อยหนีวัด ขาห่านอบแห้งเป๋าฮื้อหม้อดิน หมูหันฮ่องกง และอีกหลากหลายเมนู ราคา 15,000 บาท++ สำหรับ 1 โต๊ะจีน (8-10 ท่าน) สอบถามรายละเอียด และสำรองที่นั่ง โทร. 02-281-3088 ต่อ 146-148





ห้องอาหารเดอะ กลาส เฮ้าส์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ (Eastin Grand Hotel Sathorn)
โปรโมชั่นตรุษจีน: บุฟเฟ่ต์นานาชาติมื้อกลางวัน ฉลองตรุษจีน
วันที่: วันนี้ถึง ศุกร์ที่ 31 มกราคม 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง: โทร 02-210-8100 หรือ อีเมล์ gh@eastingrandsathorn.com
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/26426iH
บุฟเฟ่ต์ฉลองตรุษจีน อิ่มกันทั้งครอบครัว ห้องอาหารเดอะ กลาส เฮ้าส์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ วันที่ 31 มกราคม 57 วันตรุษจีนปีนี้ ห้องอาหารเดอะ กลาส เฮ้าส์ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ร่วมเฉลิมฉลองวันปีใหม่จีน ให้คุณได้อิ่มอร่อยกันทั้งครอบครัวกับบุฟเฟ่ต์นานาชาติ และพิเศษกับเมนูอาหารจีน อาทิ ติ่มซำ เป็ดย่าง กระเพาะปลาผัดแห้งเนื้อปู ยำแมงกระพรุน ผัดโป๊ยเซียน บุฟเฟ่ต์ฉลองตรุษจีน บริการในวันที่ 31 มกราคม 57 มื้อกลางวัน เวลา 12.00 – 14.30 น. ราคาท่านละ 800 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าบริการแล้ว / ไม่รวมน้ำดื่ม / เด็กอายุ 6-16 ปี ลด 50%)
นอกจาก เมนูพิเศษอาหารจีน พบกับอาหารทะเลสดและอาหารนานาชาติ อาทิ กุ้ง หอยแมงภู่ ปลาหมึก โคลด์คัตชั้นดีจากยุโรป อาหารญี่ปุ่น ซูชิ ซาชิมิ เทมปุระ อาหารไทยรสเด็ด อาหารยุโรป สลัดบาร์ พาสต้าบาร์ ฯลฯ ตบท้ายด้วยของหวาน เค้ก ไอศครีม ละลานตา




ห้องอาหารจีนไชน่ามูน โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น (Miracle Grand Convention)
โปรโมชั่นตรุษจีน: อาหารมงคล 2 ชุดพิเศษ/บุฟเฟ่ต์ติ่มซําเสริมศิริมงคลมื้อกลางวัน
วันที่: 30 มกราคม 57 – 15 กุมภาพันธ์ 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง: 02-575-5599 ต่อ 1462
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/121468IE

โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นห้องอาหารจีนไชน่ามูน โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีม้าทอง ด้วยอาหารมงคล 2 ชุดพิเศษ “ ร่ำรวยเงินทอง ” ราคาเพียง 8,888++ “ มั่งมีศรีสุข ” ราคาเพียง 15,888++ หรือจะเลือกอร่อยกับ “ บุฟเฟ่ต์ติ่มซําเสริมศิริมงคล ” มื้อกลางวัน 11.30 – 14.30 น. ผู้ใหญ่ท่านละ 588++ เด็กท่านละ 290++ เสริฟพร้อมชาจีนหรือน้ำเก๊กฮวย มาสัมผัสลิ้มรสชาติอาหารเสริมโชคลาภ เพิ่มความเป็นศิริมงคลให้ชีวิต เฮงๆ รวยๆ และเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ต้อนรับตรุษจีนตั้งแต่ 30 ม.ค. 57 – 15 ก.พ. 57 นี้เท่านั้น






ห้องอาหารแกรนด์คาเฟ่, โรงแรมเดอะแกรนด์โฟร์วิงส์คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ ศรีนครินทร์ (Grand cafe, Grand Fourwings)
โปรโมชั่นตรุษจีน: บุฟเฟ่ต์นานาชาติ มา 3 จ่าย 2
วันที่: 29 – 31 มกราคม 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง:  โทร 02-378-8000 ต่อ 4130
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/21587CX

ฉลองปีม้ามงคล กับโฟร์วิงส์: โรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ศรีนครินทร์ ขอเชิญคุณและครอบครัว มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน อิ่มหนำสำราญในค่ำคืนแห่งความสุข ณ ห้องอาหารแกรนด์ คาเฟ่ ระหว่างวันที่ 29 – 31 มกราคม 2557 ศกนี้ ตั้งแต่เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป ซินเจีย ยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ ฉลองปีม้ามหามงคล ด้วยโปรโมชั่นสุดคุ้มมา 3 ท่าน จ่ายเพียง 2 ท่านเท่านั้น พบกับอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติมากมายที่คัดสรรมาให้คุณได้เลือกลิ้มชิมรสกันอย่างจุใจ เริ่มต้นรองท้องด้วยติ่มซำจากมุมอาหารจีน ท่องแดนอาทิตย์อุทัยกับ มุมอาหารญี่ปุ่น พบกับซูชิหลากหลายหน้า ต่อด้วยอาหารไทยครบรส และเพลิดเพลินไปกับอาหารทะเลสดๆ ทั้งกุ้ง, กั้ง, ขาปู อลาสก้า หรือท่านใดที่ชื่นชอบเมนูสารพันเส้น เราก็มีพร้อมให้บริการ อาทิ ก๋วยเตี๋ยว, พาสต้าหลากหลายเส้นที่คุณสามารถเลือกซอสได้เอง ปิดท้ายด้วยเค้กนานาชนิด, ผลไม้ตามฤดูกาล, เครปเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมโฮมเมด ในบรรยากาศตกแต่งสไตล์จีนย้อนยุค ในราคาเพียงท่านละ 950 ++ บาท




ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (Cuisine Unplugged Pullmand King Power Bangkok)
โปรโมชั่นตรุษจีน: ลด 50% สำหรับบุฟเฟ่ตมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ณ ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก
วันที่: วันนี้ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง: 0-2680-9999
ดูรีวิวบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/18208rX




ห้องอาหารจีนแชงพาเลซ, โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ
โปรโมชั่นตรุษจีน:
วันที่: 28 มกราคม - วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม/สำรองที่นั่ง:โทร 02-236-7777 ต่อ 6205-6 หรือ อีเมล restaurants.slbk@shangri-la.com หรือชมเว็บไซต์
ดูรีวิวบนวงใน:[url]www.wongnai.com/r/5069as]www.shangri-la.com/bangkok [url]
ดูรีวิวบนวงใน:[url]www.wongnai.com/r/5069as


ฉลองเทศกาลตรุษจีนปีมะเมีย ณ ห้องอาหารจีนแชงพาเลซ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ด้วยอาหารมงคลชุดพิเศษจากเชฟมือหนึ่งชาวฮ่องกง แชม ยุน มิง ระหว่างวันที่ 28 มกราคม - วันที่ 6 กุมภาพันธ์ศกนี้ และเชิญชมการเชิดสิงโตบริเวณทางเข้าด้านหน้าแชงกรี-ลาวิง ในวันที่ 31 มกราคม เวลา 10.30 น. เพื่อสิริมงคลของการเริ่มต้นปี เชฟแชม ยุน มิง จะนำพรแห่งความสุข ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์สู่สมาชิกในครอบครัวที่มารวมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในช่วงเวลาสังสรรค์ปีใหม่ของชาวจีน ด้วยเมนูฉลองปีใหม่ที่ปรุงจากส่วนผสมที่มีความหมายมงคลนานาชนิด ได้แก่ ชุดทรัพย์สินทวีคูณ ราคาท่านละ 2,288++ บาท สำหรับแขกอย่างน้อย 2 ท่าน (อาหารในเมนู อาทิ เป็ดย่างและหมูกรอบ ซุปรังนกเนื้อปูเห็ดเข็มทอง เป๋าฮื้อหอยนางรมแห้งน้ำแดง กุนเชียงรวมมิตรผัดคื่นฉ่าย กุ้งผัดเสฉวน เนื้อปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว ขนมเข่งเจี๋ยน) ชุดสมบูรณ์พูนสุข ราคาท่านละ 2,888++ บาท สำหรับแขกอย่างน้อย 4 ท่าน (อาหารในเมนู อาทิ สลัดปลาแซลมอน กุ้งและหอยเชลล์ผัดเสฉวน ซุปรังนกมันปูเยื่อไผ่เป๋าฮื้อเห็ดหอมน้ำแดง บัวลอยน้ำขิง ส้มจีน) ชุดไร้ทุกข์สุขนิรันดร์ ราคาท่านละ 3,188++ บาท สำหรับแขกอย่างน้อย 4 ท่าน (อาหารในเมนู อาทิ กุ้งมังกรผัดหอมแดง ซุปรังนกมันปูเยื่อไผ่ หอยนางรมแห้งน้ำมันหอยปลาบู่นึ่งซีอิ๊ว เกี๊ยวหมูใส่ผัก บัวลอยวอลนัทครีม ส้มจีน)พร้อมด้วยอาหารหลากหลายจากเมนูพิเศษในช่วงตรุษจีน





ถ้ายังไม่จุใจกับโปรโมชั่นตรุษจีนของเรา ลองไปดูว่าตรุษจีนนี้เยาวราชมีอะไรกินกันไหม? กับลายแทางร้านอาหาร .http://www.wongnai.com/news/chinese-new-year-2014-promotion..

ตะลุยกินร้านดังย่านเยาวราช รับตรุษจีน




emo35 emo35 emo35 emo35 emo35

12



สัมผัสเมนูอาหารระดับ World Cusine ฝีมือสุดยอดเชฟ Carlos Manuel Gaudencio ภายใต้บรรยากาศสุดหรูสถาปัตยกรรมล้านนา ที่ห้องอาหาร Farang Ses , โรงแรม ดารา เทวี เชียงใหม่




โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ มีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับการรับประทานอาหารเลิศรส ซึ่งนำเสนอบริการในทั้งรูปแบบที่ผ่อนคลาย สบายๆ แถบริมสระน้ำ และในแบบบรรยากาศหรูหรา ภูมิฐาน ทั้งอาหารแบบตะวันออก และอาหารแบบตะวันตก ที่ได้รับการปรุงและตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เพื่อให้ท่านได้สัมผัสถึงทั้งรสชาติ และบรรยากาศอันน่าหลงใหลพร้อมกันอย่างมีอรรถรส

"ห้องอาหารฝรั่งเศส" โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ เป็นอีกแห่งที่มีบรรยากาศอันโอ่โถง โดดเด่นด้วยอาคารสถาปัตยกรรมล้านนาโอ่อ่า โดยมีเพดานโค้งสูง ค้ำยันด้วยเสาไม้สักขนาดใหญ่หุ้มด้วยแผ่นดีบุกดุนสลักลายไทยอย่างวิจิตร เครื่องบนไม้แบบอย่างโบราณ และ  เครื่องประดับต่างๆ ที่ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและหรูหราอย่างยิ่ง

ไม่เพียงแต่ความสวยงามของตัวห้องอาหารเท่านั้น หากยังได้คัดสรรและออกแบบเฉพาะ เครื่องถ้วยชาม อุปกรณ์ที่ใช้บนโต๊ะอาหาร จนถึงเครื่องแก้วเนื้อเยี่ยม แสดงถึงความใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ของภัตตาคารอาหารสากลระดับแนวหน้าของโลกแห่งนี้



"เชฟคาร์ลอส โกว์เด็นซิโอ”

ผู้ควบคุมดูแลตลอดจนการสร้างสรรอาหารของ ห้องอาหาร ฝรั่งเศส แห่งนี้ คือ Chef Carlos Gaudencio ฝีมือระดับโลก          มิชิลินสามดาว มีประสบการณ์สูงทั้งระดับสากลและโรงแรมห้าดาวในกรุงเทพฯ ยังเคยเป็นเชฟที่ห้องอาหารเลอ นอร์มังดี โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล มานานมากกว่า 8 ปี

เชฟคาร์ลอส เป็นที่ยอมรับในฝีมือการปรุงอาหารแบบสมัยใหม่ จากผู้คนที่ชื่นชอบอาหารฝรั่งเศสอย่างยิ่ง เนื่องด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมในการได้ร่วมงานกับเชฟมิชลินอีกหลายๆท่าน ประกอบกับพรสวรรค์และความคิดสร้างสรรค์ของตัวเชฟคารอสเอง ทำให้การรังสรรค์เมนูจึงไม่เหมือนใคร และหาใครเทียบเทียมได้ยาก

เชฟคาร์ลอสกล่าวว่า จุดเด่นของอาหารฝรั่งเศส คือ “รสชาติและหน้าตาที่ดูดึงดูดเย้ายวนใจให้ลิ้มลอง” ดังนั้นหากได้ยลอาหารที่เชฟชาวโปรตุเกสคนนี้ รังสรรค์มาเสิร์ฟบนโต๊ะ แล้วจะทึ่งไปกับดีไซน์อาหารจนอดใจไม่ไหวที่ต้องลิ้มลองดั่งต้องมนต์สะกดทีเดียว ทุกรสสัมผัสเต็มไปด้วยความประหลาดใจและอิ่มเอมแห่งรสชาติ

และที่ exclusive สุดๆ น้อยคนนักอาจยังไม่ทราบว่า "เชฟคาร์ลอส" ถึงมีหน้าตาเป็นยุโรป แต่กลับชอบทานอาหารรสจัดจ้านแบบอาหารอีสาน เช่น ส้มตำ ซึ่งทำให้เขาปรุงอาหารออกมามีรสชาติถูกลิ้นคนไทยอย่างยิ่ง แต่ยังคงความทันสมัย สวยงามตามแบบฉบับ ของเชฟมิชลินสามดาว



โดยวันนี้ วงในไดอารี่ ขอพาผู้อ่านไปรู้จักกับเมนูอาหาร Chef Creation 3 เซ็ต ซึ่งประกอบไปด้วย A B C และเมนู A La Carte อื่นๆ อีกมากมาย ของห้องอาหารฝรั่งเศส โรงแรมดาราเทวีเชียงใหม่


เริ่มกันที่ Chef Creation A (1,600 บาท++ ต่อ 1 ท่าน)


Amuse bouche

จานแรกเป็น Amuse bouche
เป็นของทานเล่น แต่ละวันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่ทางเชฟจะสร้างสรรขึ้น มักจะทำเป็นคำหรือชิ้นเล็กๆปรุงจากวัตถุดิบที่หาทานได้ยาก เสิร์ฟแต่น้อยๆพอให้ถวิลและอยากทานคอร์สต่อไป
สำหรับจานนี้ทำมาจากเนื้อปลากระพง ส่วนกลางเป็นซอสเจลลี่ผสมสานกัน ด้านล่างเป็นลูกมะเดื่อ (Figs) ซึ่งเชฟได้นำมาปรุงหลายขั้นตอน เพื่อสรรสร้างความอร่อยที่ซับซ้อนแบบสุดๆ


1. Saumon tous saveurs, confit tartare mousseline jus de persil plat
( Aromatic salmon, tartare confit mousseline parsley jus )

ต่อกันด้วย First Course เมนูนี้มีชื่อว่า "Aromatic salmon, tartare confit mousseline parsley jus" จะใช้เนื้อทั้งตัวของปลาแซลมอนเป็นส่วนประกอบ โดยฐานด้านล่างคือแซลมอนสดๆ สไดล์บางๆ จะมีส่วนประกอบที่วางอยู่บนฐาน คือ แซลมอน tartare หั่นเป็นตอดเล็กๆ ใส่เครื่องปรุงสูตรพิเศษและปิดทับด้วยบีทรูท , คร็อกเกต์ ( Croquettes ) ที่ทำจากเนื้อปลาแซลมอนแล้วนำไปทอด , แซลมอนรมควันแบบสดๆ ปิดทับด้านบนด้วยสาหร่าย , Raspberry Sorbet , เม็ดแมงลักที่นำไปแช่ไว้ใน port wine แดง และ วาซาบิ



2. Soupe à l’oignon et toast au fromage
( Onion soup with cheese toast )

ซุปหัวหอม ที่ให้รสหวานของหอมหัวใหญ่ กลิ่นของบรั่นดี ทานคู่กับขนมปังอบชีสกรูแยร์ (Gruyere) แท้จากฝรั่งเศส ได้รสชาติเค็มนิดๆ ส่งรสชาติให้ถึงความหอมหวานของน้ำซุปหัวหอมเด่นชัดขึ้น



3. Sorbet rafraichissant  
( Refreshing sorbet )

ไอศครีมทำจากผลไม้สด ผสมด้วยเหล้าและหรือกาแฟเล็กน้อย เสิร์ฟระหว่างมื้ออาหารเพื่อล้างปาก ก่อนถึงพระเอกตัวจริง Main Course



4. Coq au vin et garniture classique  
( Coq au vin with classic garnish )

เมนูนี้เป็นสตูร์ไก่ในไวน์แดง โดยนำไก่ไปหมักไว้ก่อนหนึ่งคืน หลังจากนั้นจึงนำไปตุ๋นด้วยไฟอ่อนๆ เป็นเวลากว่า 20 ชั่วโมง จนเปื่อยนุ่ม เสริฟพร้อมกับแครอทในน้ำส้ม , มันฝรั่ง , เห็ด และ เบค่อนโฮมเมด


5. Dacquoise aux noisettes, chantilly au chocolat, sauce à la framboise
( Hazelnut and Venezuela milk chocolate cake with banana-passion sorbet )

ของหวานท้ายเมนูด้วย ชุด chocolate จากประเทศเวเนซูเอล่า โดยส่วนฐานล่างสุดทำจากเค้กchocolate กับเฮเซลนัท ชั้นถัดมาเป็นช็อคโกแล็ตมูส วางทับด้วยแผ่นดาร์คช็อคโกแลต แต่งหน้าด้วย banana-passion sorbet และซอสเสาวรสที่หุ้มด้วยเจลลาติน ที่ให้รสชาติเปรี้ยวๆ หวานนิดๆ อันเป็นการช่วยส่งรสอร่อยให้กับ chocolate อย่างเนิ่นนานในอุ้งปาก



จบเมนูเซ็ทนี้ด้วย Le moka et ses mignardises ( Mocha accompanied by mignardises ) คือ ชาหรือกาแฟตามอัธยาศัย


ซึ่งยังมี Menu B , Chef Creation ( 2,500 บาท ++ ต่อ 1 ท่าน ) และ  ส่วนของ A La Carte ซึ่งยังมีเมนูให้เลือกรับประทานอีกมากมาย พลาดไม่ได้กันเลยทีเดียว



มีการให้บริการใน รูปแบบ "Chef Table” สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงศิลปะการปรุงอาหารสไตล์ฝรั่งเศส ได้ใกล้ชิดกับเชฟคาร์ลอส ในการถ่ายทอดประสบการณ์ขณะปรุงอาหารถึงใจกลางห้องครัว เพื่อให้เมนูนั้นเป็นเมนูที่พิเศษสุดๆ โดยจะได้เห็นรายละเอียดทุกขั้นตอนในการเตรียมและปรุงอาหารนั้นๆ (ราคา 3,850 บาท++ ต่อ 1 ท่าน)




วิวของห้องอาหารนี้เมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าหลังแนวผืนนากว้างด้านหน้าของอาคาร อันเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นของการบรรเลงขับกล่อมบรรเลงเพลงไพเราะด้วยเปียโน เพื่อสร้างอรรถรสในการรับประทานอาหาร

หากเลือกที่นั่งบริเวณชานระเบียงด้านนอก จะได้ชื่นชมความงามบรรยากาศของผืนนาท่ามกลางแสงดาว แสงจันทร์ และแสงไต้รำไร ประกอบเสียงกบเขียด เรไร จิ้งหรีด เป็นความโรแมนติคที่ยากหาภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสที่ใดเสมอเหมือนได้ในโลก


ถือว่าการได้มารับประทานอาหารฝรั่งเศสที่สุด Exclusive ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โดยมีเชฟ คาร์ลอส เป็นผู้เนรมิตอาหารเลิศรสสุดหรูระดับเวิลด์คลาส ด้วยรสชาติอาหารที่ยังคงรูปตามแบบฉบับดั้งเดิม แต่การนำเสนอเป็นรูปแบบที่ทันสมัย ผนวกเข้ากับบรรยากาศของห้องอาหารที่แสนจะโรแมนติค ไม่ว่าจะเป็น แสง สี เสียง อีกทั้งบรรยากาศธรรมชาติ จะทำให้การรับประทานอาหารนั้นเป็นมื้อที่พิเศษแบบสุดๆ ซึ่ง Feeling แบบนี้จะพบได้เพียงที่ Farang Ses หรือ ห้องอาหารฝรั่งเศส ของ โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม” เท่านั้น  สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/farang-ses


emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33

13



Sushi-OO ดับเบิ้ล ซูชิ ที่รวม “ซูชิ” และ “ซาชิมิ” ไว้ในหนึ่งคำ เจ้าแรกและเจ้าเดียวจากโอซาก้า

เมื่อเหล่าขุนนางแห่งเมืองโอซาก้า มีความต้องการลิ้มลองซูชิในรูปแบบที่แปลกแตกต่างไปจากซูชิแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย จึงได้เกิดการคิดค้น “ซูชิโอ” หรือ “ซูชิสองชั้น”  ขึ้น เพื่อให้เหล่าขุนนางได้ลิ้มรสชาติความอร่อยของ “ซูชิ” และ “ซาชิมิ”ในคำเดียว เพราะเป็นการนำเอาปลาดิบมาวางไว้ด้านบนของซูชิอีกหนึ่งชิ้น ซึ่งเวลากิน จะกินปลาดิบชิ้นบนก่อน เพื่อลิ้มรสชาติของปลาสดๆ แบบเต็มๆ คำ แล้วจึงตามด้วยซูชิ หรือจะกินเข้าไปพร้อมกันทั้งสองชั้นในคำเดียวเลยก็ได้ เพื่อให้รสชาติความอร่อยของปลาได้เต็มปากเต็มคำมากขึ้น




และหลังจากนั้นเป็นต้นมา “ซูชิสองชั้น” หรือ “ดับเบิ้ล ซูชิ” ก็เริ่มแพร่หลายจากราชสำนักมาสู่ชาวเมืองโอซาก้า กลายเป็นที่มาของความอร่อยในแบบที่ไม่มีใครเหมือน

และในวันนี้ความอร่อยจากเมืองโอซก้าก็ได้บินตรงมาถึงเมืองไทยแล้ว จากการค้นพบของเจ้าของร้านสุดหล่อที่มีอาชีพเป็นนักบินของการบินไทย ที่มักจะใช้ชีวิตบินไปประเทศโน้นประเทศนี้อยู่บ่อยๆ และได้พบเจอกับร้าน “Sushi-OO” ที่โอซาก้าเข้า จึงนำกลับมาเปิดเป็นร้าน “Sushi-OO” ที่ขาย “ดับเบิ้ล ซูชิ” เป็นแห่งแรกในประเทศไทย....แต่ไม่ต้องห่วงว่าพอมีชิ้นปลาแบบดับเบิ้ลคูณสองแล้วราคาจะอัพเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวด้วยรึเปล่า เพราะเจ้าของร้านต้องการให้ร้าน “Sushi-OO” เป็นร้านซูชิที่ลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพสามารถเดินเข้ามากินได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องห่วงว่าจะเจอกับของแพงๆ จนกระเป๋าฉีก แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่าราคาจะถูกกว่าร้านซูชิโดยทั่วไป แต่คุณภาพของวัตถุดิบก็ไม่ได้ลดลงตามราคาแต่อย่างใด เพราะร้าน “Sushi-OO” ใช้แต่ของสดที่นำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น ไม่มีการใช้ของแช่แข็งอย่างเด็ดขาด แถมยังรักษาความสะอาดในทุกขั้นตอนการทำอีกด้วย



อร่อยดับเบิ้ลกับ “ดับเบิ้ล ซูชิ”
ดับเบิ้ล ซูชิ ที่ “Sushi-OO” จะขายเป็นคำๆ ในราคาที่ย่อมเยา (ยกเว้นวัตถุดิบบางอย่างที่มีราคาสูง) เริ่มกันที่สุดยอดแห่งปลาดิบอย่าง “โอโทโร่” (คำละ 380 บาท) ที่อร่อยสะใจกันไปข้าง กับโอโทโร่ ซาชิมิชิ้นโตๆ ที่วางอยู่ด้านบนของซูชิอีกที,“ปลาฮามาจิ” (คำละ 80 บาท) ปลาฮามาจิชิ้นหนาเต็มคำ และมีความเหนียวนุ่ม ที่ทำให้รู้ได้เลยว่าปลาสดจริงๆ, “เอนงาวะ” (คำละ 120 บาท) ครีบปลาตาเดียวที่เบิร์นไฟเล็กน้อย ให้น้ำมันในเนื้อปลาละลายออกมาเคลือบชิ้นปลาเอาไว้ ทำให้เอนงาวะทั้งชิ้นบนและชิ้นล่าง มันลื่นนุ่มลิ้นสุดๆ, “แซลมอนโทโร่” (คำละ 70 บาท) ส่วนท้องของปลาแซลมอนที่นุ่มลื่นและอุดมไปด้วยไขมันมากกว่าส่วนอื่นๆ สะใจคนชอบเนื้อปลามันๆ แน่นอน, “ปลาไหลย่าง” (คำละ 70 บาท) ปลาไหลเนื้อนุ่มๆ ชุ่มไขมันที่อยู่ในเนื้อปลา ย่างกับน้ำซอสรสชาติเข้มข้นแล้วยิ่งอร่อย, “ปลาเงินทอด” (คำละ 50 บาท) เหมาะสำหรับคนที่ชอบความกรอบอร่อยของปลาเงินทอด, “ฟัวกราส์” (คำละ 250 บาท) ฟัวกราส์ชิ้นหนานุ่มให้รสฟัวกราส์เต็มคำๆ, “กุ้งหวานใหญ่” (ราคา 220 บาท) โบตันอิบิเนื้อแน่นๆ กรุบๆ รสชาติหวานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ



"ดับเบิ้ล ซูชิ"



"โอโทโร่ ซูชิ" และซาชิมิในคำเดียว


ชิราชิ 3 หน้า เลือกมิกซ์แอนด์แมทช์หน้าได้ตามชอบ


นอกจาก “ซูชิโอ” หรือ “ดับเบิ้ลซูชิ” ที่เป็นเมนูเด่นของ “Sushi-OO” แล้ว ยังมี “ชิราชิ” หรือข้าวหน้าต่างๆ ที่สามารถเลือกได้ 3 หน้าตามต้องการ เป็นเมนูเด่นอีกหนึ่งอย่างของร้านด้วย โดยต้องสั่งขั้นต่ำอย่างน้อย 2 หน้าขึ้นไป และราคาจะขึ้นอยู่กับแต่ละหน้าที่สั่ง ซึ่งมีหลายระดับราคาแตกต่างกันไปตามประเภทของวัตถุดิบหน้าต่างๆ ของ “ชิราชิ” มีดังนี้ “แซลมอน” (ราคา 120 บาท), “ปลาทูน่า” (ราคา 140 บาท), “ปลาแซลมอนแบบเผ็ด” (ราคา 80 บาท), “ไข่หอยเม่น” (ราคา 760 บาท), “กุ้ง” (ราคา 80 บาท), “กุ้งหวาน” (ราคา 120 บาท), “ปลาไหลย่าง” (ราคา 140 บาท), “ไข่ปลาแซลมอน” (ราคา 300 บาท), “ชูโทโร่” (ราคา 560 บาท), “ปลาทูน่าสับ” (ราคา 300 บาท), “ปลาทูน่าแบบเผ็ด” (ราคา 100 บาท), “ปลาฮามาจิ” (ราคา 160 บาท), “โอชิราชิ” (ราคา 100 บาท) และ “โอโทโร่”  (ราคา 760 บาท)



“ชิราชิหน้าปลาแซลมอน-ไข่ปลาแซลมอน-ปลาไหลย่าง”
และจากการผสมผสานปลาดิบและปลาย่างเข้าด้วยกัน ก็จะได้ “ชิราชิหน้าปลาแซลมอน-ไข่ปลาแซลมอน-ปลาไหลย่าง” ที่มีทั้งความนุ่มลื่นของปลาแซลมอน และความนุ่มมันของปลาไหลย่าง และความหนึบของไข่ปลาแซลมอน หรืออิคุระ เป็น 3 รสชาติในชามเดียวที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละคำ


เมนูเบาๆ กินเล่นๆ แต่เพลิน

และใช่จะมีแต่เมนูข้าวที่หนักท้องเท่านั้น ที่ “Sushi-OO” ยังมีเมนูเบาๆ ที่เหมาะจะสั่งมากินเล่น หรือเป็นเมนูเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารจานหลักอยู่หลายเมนูเหมือนกัน เช่น “โอไทเซอร์” (ราคา 148 บาท) หนวดปลาหมึกยักษ์ต้มและปลาแซลมอนดิบหั่นเต๋าคลุกเคล้ากับมายองเนสวาซาบิ เป็นเมนูที่เคี้ยวมันๆ เพราะมีความแตกต่างของเทกซ์เจอร์สองแบบอยู่ในถ้วยเดียว คือ “ความนุ่ม” ของแซลมอน และ “ความหนุบหนับ” ของหนวดปลาหมึกยักษ์ บวกกับรสชาติของวาซาบิที่เผ็ดฉุนขึ้นจมูก เป็นเมนูที่เหมาะกับคนที่รักรสชาติเฉพาะตัวของวาซาบิ และชอบเคี้ยวอะไรมันเขี้ยวมันลิ้น




“ทงคัทสึกุ้งเด้ง”



“สลัดปลาเงิน”

“ทงคัทสึกุ้งเด้ง” (ราคา 148 บาท) ทงคัทสึกุ้งเด้งที่ทอดมาแบบกรอบนอกนุ่มใน และไม่ได้ใช้กุ้งแช่แข็งแต่อย่างใด เนื้อข้างในจึงมีรสกุ้งแบบเป็นธรรมชาติ ยิ่งพอราดด้วยมายองเนสรสชาติกำลังดี ก็ยิ่งเพิ่มความอร่อย ส่วนคนที่ชอบสลัด ต้องลองสั่ง “สลัดปลาเงิน” (ราคา 188 บาท) ที่ใช้กรรมวิธีการทอดแบบพิเศษ ทำให้ปลาเงินยังคงความกรอบอยู่ได้นาน ไม่เหนียวหนืดเมื่อทิ้งไว้นานแบบบางร้าน และสลัดจะอร่อยยิ่งขึ้นเมื่อราดด้วยน้ำสลัดแบบญี่ปุ่นที่หอมงาและรสชาติกลมกล่อมกำลังดี เป็นสลัดเบาๆ ที่ไม่เลี่ยนและไม่หนักจนเกินไป


เครื่องดื่มเปรี้ยวซ่า และของหวานรสละมุน

ดับความมันของปลา ด้วยเครื่องดื่มรสชาติเปรี้ยวๆ ซ่าๆ “ซากุระโซดา” (ราคา 68 บาท) หอมหวานดับกระหายและสร้างความสดชื่นหลังกินซูชิได้เป็นอย่างดี แล้วตบท้ายด้วยของหวานรสชาตินุ่มละมุนละไมอย่าง “ไอศกรีมนมฮอกไกโด-ถั่วแดง” (ราคา 58 บาท) ที่ทำจากนมสดนำเข้าจากฮอกไกโด ซึ่งเป็นนมสดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเข้มข้น เพราะฮอกไกโดนั้นเป็นแหล่งผลิตน้ำนมที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยกรรมวิธีเฉพาะตัวที่ทำให้นมสดที่ผลิตออกมา มีความเข้มข้นหวานมันเต็มรสนมกว่านมสดโดยทั่วไป ซึ่งพอยิ่งเอามาทำเป็นไอศกรีมก็ยิ่งอร่อยมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว



“ซากุระโซดา” และ “ไอศกรีมนมฮอกไกโด-ถั่วแดง”

ลิ้มรส “ซาชิมิ” บน “ซูชิ” ได้แล้ววันนี้ ที่ “Sushi-OO” หรือ ค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/sushi-oo


emo48 emo48 emo48 emo48 emo48 emo48 emo48 emo48 emo48

14
ฉลองสาขาใหม่กับเมนูใหม่ "สุกี้ยากี้คุโรบูตะเนื้อนุ่มละมุนและไข่ออนเซ็น ที่ "ร้านไมเซน" สาขา สยามพารากอน





ที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น เมื่อถึงเทศกาลปีใหม่ก็มักจะมีการร่วมทานอาหารมื้อพิเศษในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในคืนวันที่ 31 ธันวาคม (Bonenkai) หรือร่วมทานอาหารกับคนในครอบครัวในตอนเช้าของวันที่ 1 มกราคมยาวไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม โดยอาหารที่ร่วมกันทานในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นเรียกว่า "อาหารสำหรับเทศกาลปีใหม่" หรือ "โอเซะชิ เรียวริ" (Osechi Ryouri) ซึ่งถือเป็นอาหารมงคล เป็นการขอพรให้ร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตที่มีความสุขในปีใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น



บรรยากาศภายในร้าน

แต่ปีใหม่นี้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่น ก็มีอาหารอร่อยๆ ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทานในงานเลี้ยงส่งท้ายปี มารอเสิร์ฟให้อร่อยกันได้ถึงที่ เพียงมาที่ "ร้านไมเซน" สาขา สยามพารากอน ซึ่งเป็นสาขาใหม่ล่าสุดของร้านทงคัตสึชื่อดังจากญี่ปุ่น (ร้านอยู่ชั้น G ข้างบันไดเลื่อน ตรงบริเวณ The Box Zone) เพราะ "ร้านไมเซน" นำเสนอเมนู "ชุดสุกี้คุโรบูตะ ไข่ออนเซ็น" และเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากที่ร้าน "ไมเซน" สาขาอาโอยาม่า ประเทศญี่ปุ่น (ราคาชุดละ 395 บาท) สำหรับช่วงนี้มีราคาพิเศษสำหรับท่านสมาชิก 355 บาท ราคานี้ถึง 31 มกราคม 2557 เท่านั้น



"ชุดสุกี้คุโรบูตะ ไข่ออนเซ็น" (ราคาชุดละ 395 บาท)


เพราะเมนู  "ชุดสุกี้คุโรบูตะ ไข่ออนเซ็น" นี้ เป็นเมนูที่เสิร์ฟมาร้อนๆ ในสุกี้คุโรบูตะประกอบไปด้วยเนื้อหมูคุโรบูตะสันท้องที่ถูกบรรจงคัดสรร มาเป็นอย่างดี มีไขมันแทรกสลับกับส่วนที่เป็นเนื้อเสิร์ฟพร้อมกับไข่ออนเซ็น รวมทั้งผักกาดขาว ผักมิซูน่า เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม ต้นหอมญี่ปุ่น เต้าหู้คินุและเส้นบุกที่สุกได้ที่ และซึมซับเอาความอร่อยของน้ำซุปสุกี้ยากี้แบบญี่ปุ่นที่เป็นสูตรพิเศษของไมเซน เอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งทานยิ่งเข้าเนื้อ และเมื่อทานคู่กับทชิ้นคุโรบูตะทงคัตสึสันใน ผักดอง ข้าวและซุปมิโสะที่รวมอยู่ในเซ็ต ก็ยิ่งเข้าถึงความอร่อยในช่วงปีใหม่แบบชาวญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ และถึงแม้ไม่ใช่ช่วงปีใหม่ เมนูนี้ก็ยังสามารถทานได้สบายๆ เพราะอร่อยและให้คุณค่าทางอาหารครบถ้วน



"ชุดคุโรบูตะ คัตสึมาบูชิ" (ราคาชุดละ 395 บาท)

หรือจะลองมาสนุกสนานกับ 3 ความอร่อยล้ำในหนึ่งเดียว กับ "ชุดคุโรบูตะ คัตสึมาบูชิ" (ราคาชุดละ 395 บาท) ที่มีความอร่อยให้เลือกถึง 3 แบบ 3 วิธีการทาน เริ่มจากอร่อยกับ "คุโรบูตะ คัตสึมาบูชิ" ในแบบที่ไม่ต้องปรุงก่อน ลิ้มลองรสความนุ่มของเนื้อหมูคุโรบูตะที่ราดซอสสูตรพิเศษของ "ไมเซน" มาแบบชุ่มฉ่ำ

ต่อด้วยวิธีการทานในแบบที่ 2 ที่จะสร้างรสชาติที่แตกต่างจากแบบแรก เพียงลองใส่เครื่องเคียงต่างๆ ลงไปผสมกับข้าว ได้แก่ งาขาว วาซาบิและต้นหอมซอย จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน จะพบว่ารสชาติเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม แล้วจบความอร่อยด้วยวิธีการทานแบบสุดท้าย ด้วยการเทน้ำซุปรสละมุนลงไปในข้าวและหมูคุโรบูตะจนท่วม ปล่อยแช่ทิ้งไว้สักพัก ให้เมล็ดข้าวและเนื้อหมูได้ซึมซับน้ำซุปเอาไว้ให้เต็มที่ก่อน จากนั้นลองชิมดู แล้วจะพบความอร่อยที่แตกต่างและเข้มข้นขึ้นกว่าวิธีการทานสองแบบแรก ในชุดยังเสิร์ฟมาพร้อมไข่ออนเซนที่ช่วยเพิ่มความอร่อยโดยการเทไข่ออนเซนลงในแบบที่คุณชอบ



"ชุดคุโรบูตะ ทงคัตสึ สันนอก/สันใน" (ราคาชุดละ 395 บาท)


ส่วนคนที่ยังปรารถนาจะพบกับความอร่อยแบบดั้งเดิมของ “ไมเซน ก็ต้องสั่งเมนู "ชุดคุโรบูตะ ทงคัตสึ สันนอก/สันใน" (ราคาชุดละ 395 บาท) ซึ่งเป็นความอร่อยในแบบฉบับของทงคัตสึสไตล์ "ไมเซน" ที่หมูนุ่มจนปลายตะเกียบตัดขาด ด้วยบรรจงคัดสรรเนื้อหมูคุณภาพและนำเนื้อหมูผ่านกระบวนการพิเศษอย่างพิถีพิถันในรูปแบบของไมเซน จากนั้นจึงนำไปทอดด้วยเกล็ดขนมปังสูตรพิเศษของไมเซนจนได้ทงคัตสึที่กรอบนอกนุ่มใน และยิ่งเมื่อจุ่มทงคัตสึลงไปในซอสสูตรพิเศษจนชุ่มฉ่ำแล้วล่ะก็ ความอร่อยเกินบรรยายก็จะบังเกิดขึ้นทันที และในเซตยังมีข้าว ซุปมิโสะ ผักดอง และกระหล่ำปลีซอยที่สามารถขอเติมได้ไม่อั้นอีกด้วย


"ชุดพ็อกเก็ตแซนวิชกุ้งคัตสึ เสิร์ฟพร้อมสลัดเต้าหู้และน้ำแอปเปิ้ล" (ราคา 295 บาท)


ส่วนคนที่ต้องการความอิ่มอร่อยแบบเบาๆ ไม่หนักท้องมากเกินไป "ชุดพ็อกเก็ตแซนวิชกุ้งคัตสึ เสิร์ฟพร้อมสลัดเต้าหู้และน้ำแอปเปิ้ล" (ราคา 295 บาท) ก็เป็นความอิ่มอร่อยในแบบรวบรัดที่ให้คุณค่าทางอาหารได้ไม่แพ้เมนูเซ็ตใหญ่ กับแซนวิชแป้งนุ่มๆ อบร้อนๆ สอดไส้กุ้งทงคัตสึกรอบๆ และไข่ดาวที่สุกกำลังดีซึ่งทั้งสองอย่างชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำซอสรสชาติเข้มข้นที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับแป้งขนมปังและเนื้อกุ้งได้เป็นอย่างดี แล้วเพิ่มความอร่อยพร้อมทั้งคุณค่าทางอาหารด้วย "สลัดเต้าหู้" ที่อุดมไปด้วยผัดสดกรอบนานาชนิดและเต้าหู้คินุเนื้อเนียนนุ่มดุจดั่งผ้าไหมสมชื่อ (คินุ แปลว่า ผ้าไหมในภาษาญี่ปุ่น) พร้อมดับกระหายด้วยน้ำแอปเปิ้ลเย็นฉ่ำเปรี้ยวอมหวานดื่มแล้วชื่นใจ



"ไข่ม้วนสูตรไมเซน" (ราคา 165 บาท)

ปิดท้ายด้วย "ไข่ม้วนสูตรไมเซน" (ราคา 165 บาท) ไข่ม้วนเนื้อหนาเนียนนุ่ม รสชาติละมุนละไม ที่จะสั่งมาทานเปล่าๆ ก็ได้ หรือจะสั่งมาเป็นเครื่องเคียงทานคู่กับเมนูอื่นๆ ก็ดี เป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยที่ดูเหมือนจะเป็นเมนูธรรมดาๆ แต่ความอร่อยนั้นไม่ธรรมดาเลย

เมื่อความอร่อยเดินทางมาให้เข้าถึงได้ง่ายๆ แบบนี้แล้ว อย่าลืมมาฉลองปีใหม่พร้อมๆ กับอาหารอร่อยๆ ที่ "ไมเซน" สาขา สยามพารากอนได้แล้ววันนี้!!!!




ที่นั่งบริเวณชั้นสองของร้าน



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/maisen-siam-paragon
;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D

15
Toast 2U โทสต์นุ่มชุ่มฉ่ำเนย พร้อมแพนเค้ก และวาฟเฟิลนานาชนิด



จุดเด่นของโทสต์ที่ “Toast 2U”  ที่ทำให้อร่อยต่างจากหลายๆ ที่ คือ ข้างนอกกรอบ ข้างในเหนียวนุ่ม และราดเนยอย่างทั่วถึงทั้งชิ้น เพราะมีการชั่งปริมาณเนยที่ละลายแล้วทุกครั้ง ก่อนที่จะนำมาราดลงบนขนมปัง เพื่อที่ปริมาณของเนยจะได้พอดีกับขนาดของขนมปัง ด้วยเหตุนี้น้ำเนยจึงแทรกซึมได้อย่างทั่วถึงทั้งก้อนขนมปัง และเมนูโทสต์ที่โดดเด่นที่สุด และคนนิยมสั่งเมื่อมาที่ “Toast 2U” ก็คือ  “นูเทลล่า โทสต์” (ราคา 195 บาท) โทสต์ชิ้นใหญ่หนานุ่มชุ่มโชกไปด้วยเนยรสชาติเค็มๆ มันๆ ราดด้วยซอสนูเทลล่าเข้มข้น ท็อปปิ้งด้วยอัลมอนด์และสตรอเบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาและวิปครีม เมนูนี้เหมาะกับคนที่ชอบความหวานมัน ยิ่งเมื่อกินเข้าคู่กับเครื่องดื่มเปรี้ยวอมหวานอย่าง “Strawberry Smoothies” (ราคา 85 บาท) ก็ยิ่งสดชื่นขึ้นไปอีก



นูเทลล่า โทสต์



Strawberry Smoothies

ตามมาด้วยอีกหนึ่งเมนูเด่นของ “Toast 2U”  “ช็อกโก เบอร์รี่ วาฟเฟิล” (ราคา 165 บาท) แป้งวาฟเฟิลที่กรอบนอกนุ่มในสุดๆ  เนื้อแป้งเบาแต่เนียนนุ่ม ราดด้วยซอสช็อกโกแลตรสชาติเข้มข้น ยิ่งเมื่อกินคู่กับไอศกรีมวานิลลาและสตรอเบอร์รี่ ความหวานกรอบอร่อยของวาฟเฟิลก็ยิ่งเพิ่มพูน แล้วถ้ายิ่งได้ดื่ม “Caffe 2 U” (ร้อน 65 บาท/เย็น 75 บาท/ปั่น 85 บาท) กาแฟเย็นที่รสชาติเข้มข้นถึงใจ รสชาติของซอสช็อกโกแลตบนวาฟเฟิลก็ยิ่งเข้มขึ้นและอร่อยขึ้น



ช็อกโก เบอร์รี่ วาฟเฟิล



Caffe 2 U

เมนูแพนเค้กก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เมนูหลักของ “Toast 2U”  นอกเหนือไปจากโทสต์และและวาฟเฟิล ซึ่งเมนูที่อร่อยลืมอ้วน และผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นลงไปเล็กน้อย คือ เมนู  “ชาเขียว ถั่วแดง แพนเค้ก” (ราคา 185 บาท) แพนเค้กเนื้อนุ่มๆ ราดด้วยซอสช็อกโกแลต เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมชาเขียวและถั่วแดงกวน ทั้งไอศกรีมและถั่วแดงรสชาติหวานน้อยๆ กำลังดี กินคู่กับ “Green Tea Latte” (ราคา 80 บาท) ที่ใช้ผงชาเขียวนำเข้าจากญี่ปุ่น จึงได้ชาเขียวลาเต้ที่รสชาตินุ่มละมุน หอมกลิ่นชาเขียวเตะจมูก และไม่หวานมากจนเกินไป



ชาเขียว ถั่วแดง แพนเค้ก



ช็อกโกแลต ลาวา



ช็อกโก้ บราวนี่ ฟัดจ์


ส่วนของหวานอย่างอื่นที่อร่อยไม่แพ้ 3 เมนูแรก ก็มี “ช็อกโกแลต ลาวา” (ราคา 145 บาท) ช็อกโกแลต ลาวาที่อัดแน่นไปด้วยช็อกโกแลตฉ่ำเยิ้มอยู่ด้านใน รอคอยที่จะระเบิดความอร่อยออกมาเหมือนลาวาจากภูเขาไฟช็อกโกแลต หรือ “ช็อกโก้ บราวนี่ ฟัดจ์”  (ราคา 145 บาท) บราวนี่ที่ด้านหน้ากรอบร่วน แต่พอตักลงไปถึงเนื้อใน ก็จะพบกับเนื้อบราวนี่แน่นๆ หวานอมขมนิดๆ กำลังดี แล้วยิ่งเมื่อเสิร์ฟพร้อมกับวิปครีม ไอศกรีมวานิลลา และสตรอเบอร์รี่ แล้วราดซ้ำด้วยซอสช็อกโกแลต ก็ยิ่งทำให้เมนูนี้ เป็นเมนูที่หยุดกินไม่ได้จริงๆ



สติ๊กกี้ เดท พุดดิ้ง




Italian Soda- Blue Caracao


อีกเมนูที่ห้ามพลาด คือ “สติ๊กกี้ เดท พุดดิ้ง” (ราคา 145 บาท) เพราะไม่ค่อยมีร้านขนมในห้างสรรพสินค้าที่ไหนมีเมนูให้กิน เมนูนี้เป็นพุดดิ้งที่ทำจากอินทผาลัม เนื้อจึงเนียนเหนียวนุ่มสุดๆ หวานน้อยแต่อร่อยนาน และจะยิ่งอร่อยลงตัวมากขึ้น เมื่อราดด้วยซอสบัตเตอร์คาราเมลรสชาติหวานมัน และกินคู่กับไอศกรีมวานิลลาที่เสิร์ฟมาคู่กัน และตบท้ายมื้อขนมหวาน ด้วย เครื่องดื่มเปรี้ยวซ่าอมหวาน “Italian Soda- Blue Caracao” (ราคา 70 บาท) ที่ใช้น้ำเชื่อมใช้ของ”DaVinci Gourmet” ซึ่งเป็นน้ำเชื่อมคุณภาพดีจากอเมริกา จึงให้รสและกลิ่นที่หอมหวนกว่าน้ำเชื่อมทั่วไป




ครั้งหน้าหากมองหาของหวานมาปิดท้ายมื้ออาหารหลัก หรือแค่มองหาขนมอร่อยๆ มากินให้ฟินระหว่างวัน ลองแวะไปที่ “Toast 2U”  หรือเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/toast-2u


emo37 emo37 emo37 emo37 emo37 emo37

16
โปรโมชั่นบุฟเฟต์เด็ดๆวันพ่อ 2556 คุณพ่อทานฟรี!

ใกล้ถึงวันพ่อ 5 ธันวาแล้ว เพื่อนๆชาววงในมีโปรแกรมอะไรหรือยังเอ่ย? ช่วงวันพ่อปี 2556 นี้ตรงกับวันพฤหัสกลางสัปดาห์พอดี น่าจะได้ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับคุณพ่อ ตื่นแต่เช้าพาคุณพ่อไปวัดทำบุญ นั่งคุยอัพเดทสารทุกข์สุขดิบกันสักหน่อย แล้วพอหิวเที่ยงๆเย็นๆก็ยกโขยงทั้งบ้านพากันออกไปหาอะไรอร่อยๆกิน สังสรรค์แบบพร้อมหน้าพร้อมตาสักหน่อยก็น่าจะดีนะ
วันพ่อปีนี้วงในรวบรวมร้านอาหารเด็ดๆที่มีโปรโมชั่นบุฟเฟต์วันพ่อ 2556 คุณพ่อทานฟรี! ในวันพ่อมาให้เลือกกันถึง 15 แห่ง ลองไปดูกันเลยดีกว่าว่าสนใจร้านไหนกันบ้าง ~!! (อ้อ ก่อนจะไปขอแนะนำให้โทรไปเช็คและจองโต๊ะก่อนนะ เพราะหลายๆที่น่าจะคนเยอะเชียวหละ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่งแล้วจะเซ็งกันได้)


1.โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น (Miracle Grand Convention)

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟต์ - โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ร่วมส่งเสริมความรักความอบอุ่นในครอบครัว จัดบุฟเฟต์มื้อพิเศษเอาใจคุณพ่อ ในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม นี้ พร้อมร่วมสนุกกับการจับรางวัล และฟังเพลงไพเราะจากครูเพลงนักร้องเจ้าของรางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน ลินจง บุญนากรินทร์บัตรมีจำนวนจำกัด เฉพาะท่านที่สำรองบัตรล่วงหน้าเท่านั้น
ราคา: ท่านละ 400 บาทถ้วน
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อ และน้องๆที่อายุต่ำกว่า 6 ปี ทานฟรี เมื่อมาพร้อมครอบครัว
สำรองที่นั่ง: 0-2575-5599
ข้อมูลเพิ่มเติม:http://www.miraclegrandhotel.com/
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/121468IE




2. กูรูกิว (Guru Gyuu)

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟ่ต์ ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นแสนอร่อย กูรูกิว ยากินิกุ ที่พร้อมเสิร์ฟแบบไม่อั้นกับหลากหลายเมนู
ราคา: ต่อท่าน 444 บาท (บุฟเฟ่ต์ 33 เมนู) หรือ 555 บาท (บุฟเฟ่ต์ 52 เมนู), เครื่องดื่ม refill เพิ่มท่านละ 55.- มีเครื่องดื่มให้10ชนิด เติมได้/เปลี่ยนได้ ตลอด 2ชม. (รับชำระเฉพาะเงินสด)
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556:  คุณพ่อทานฟรี เมื่อมาผู้ใหญ่ 3 ท่านขึ้นไป 11:30 - 23:00 น.
สำรองที่นั่ง: 02-6196939 / 089-5342446 / 0846624095
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/GuruGyuu
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/restaurants/16258XJ




3.ห้องอาหารแกรนด์คาเฟ่, โรงแรมเดอะแกรนด์โฟร์วิงส์คอนเวนชั่นกรุงเทพฯ ศรีนครินทร์ (Grand cafe, Grand Fourwings)

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติรสเลิศทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ยุโรป
ราคา: ผู้ใหญ่ราคาท่านละ 999++ บาท /เด็กอายุ 6-12 ปี 499++ บาท ตั้งแต่เวลา 11.30-15.00 น.
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อทานฟรี !! เมื่อมารับประทานพร้อมกับผู้ใหญ่อย่างน้อย 2 ท่าน
สำรองที่นั่ง: 02-378-8000 ต่อ 4130
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.grandfourwings.com/promotion/promotion.html / www.facebook.com/grandfourwings
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/21587CX




4.ห้องอาหารจีนหล่งฟ่ง, โรงแรมสวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ (Loong Foong, Swissôtel Le Concorde Bangkok )

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟ่ต์อาหารจีนเลิศรสสไตล์กวางตุ้งแท้ๆ ทั้งคาวและหวานกว่า 80 รายการ ตามสั่งอิ่มอร่อยได้ไม่อั้น
ราคา:  688 บาท  / ท่าน  มื้อกลางวันเวลา 11.30 น. - 14.30 น. และ มื้อค่ำเวลา 18.00 น. - 22.30 น.
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อรับสิทธิ์รับประทานฟรีเมื่อมาพร้อมผู้ใหญ่อีก 3 ท่าน (รวม 4 ท่านขึ้นไป) ทางโรงแรมฯ ขอมอบเค้กแสนอร่อยฟรีเป็นของขวัญแทนใจลูกให้แด่คุณพ่อเพื่อปิดท้ายวันที่แสนประทับใจ
สำรองที่นั่ง: โทร 0-2694-2222 ต่อ 1540 (ห้องอาหารจีนหล่งฟ่ง ชั้น 2)
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/leconcordebkk / http://www.swissotel.com/hotels/bangkok-concorde
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/2986xz




5.ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (Cuisine Unplugged Pullmand King Power Bangkok)

เพลิดเพลินกับสารพัดเมนูอาหารของบุฟเฟต์นานาชาติมื้อกลางวันและบุฟเฟ่ต์อิตาเลี่ยนมื้อค่ำกันอย่างไม่อั้นจุใจ อิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูบุฟเฟ่ต์ที่เชฟบรรจุสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถัน อาทิ มุมสลัสผักนานาชนิดกับชอสเข้มข้น มุมอาหารญี่ปุ่น ซูชิ ซาชิมิ มุมอาหารทะเลสดๆ ตัวโตๆ ทั้ง กุ้งแดง กุ้งแม่น้ำ ปู หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด มุมอาหารอิตาเลี่ยน พิซซ่าหน้าต่างๆ ทั้ง แฮม ซาลามี่ มังสวิรัติ หรือจะเป็นคิชหน้าเห็ดกับเบคอน มุมอาหารจีนติ่มซำ ขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา หรือจำพวกหมูแดง หมูกรอบ เป็ดย่าง ปิดท้ายความอร่อยด้วยขนมหวานนานาชนิด เค็ก คุ๊กกี้ ไอศครีมและผมไม้สด
ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟต์นานาชาติมื้อกลางวัน และบุฟเฟ่ต์อิตาเลี่ยนมื้อค่ำ
ราคา: มื้อกลางวัน (บุฟเฟ่ต์นานาชาติ) เวลา 11.30 น – 14.30 น ราคาท่านละ 1,050 บาท
มื้อค่ำ (บุฟเฟ่ต์อิตาเลี่ยน) เวลา 18.30 น. – 22.30 น. ราคาท่าละ 1,230 บาท
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อทานฟรี
สำรองที่นั่ง: 0-2680-9999
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.pullmanbangkokkingpower.com / https://www.facebook.com/CuisineUnplugged
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/18208rX




66.ห้องอาหารเดอะแสควร์, โรงแรมโนโวเทล เพลินจิต (The Square, Novotel Ploenchit)

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟ่นานาชาติ
ราคา: ท่านละ 1200++ บาท
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อรับสิทธิ์ทานฟรี เมื่อมาพร้อมลูกค้าอีก 2 ท่านขึ้นไป ในราคาปกติ
สำรองที่นั่ง: 0-2305-6000 ต่อ 1632
ข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/novotelbangkokploenchit
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/117966gU




7.ห้องอาหารเดอะกลาสเฮ้าส์, โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร (The Glass House, Eastin Grand Sathorn)

ลักษณะอาหารและบริการ: บุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน ซีฟู้ดและอาหารนานาชาติคัดพิเศษ อาทิ ตับห่าน ขาแกะอบ ปูยักษ์ หอยนางรม หอยแมงภู่นิวซีแลนด์ กุ้ง กั้ง ปลาหมึก โคลด์คัตจากยุโรป สลัดบาร์ พาสต้า อาหารไทยรสเด็ด อาหารญี่ปุ่น ซูชิ ซาชิมิ เทมปุระ อีกทั้ง ของหวาน เค้ก ไอศครีม และผลไม้
ราคา: ท่านละ 1,529 บาทเน็ต (เวลา 12.00 – 15.00 น.)
โปรโมชั่นวันพ่อ 2556: คุณพ่อทานบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวัน ในวันที่ 5 ธ.ค. 56 ฟรี เมื่อมาทานพร้อมกับผู้ใหญ่อีกอย่างน้อย 3 ท่าน
สำรองที่นั่ง: 0-2210-8100
ข้อมูลเพิ่มเติม: fbadmin@eastingrandsathorn.com
รีวิวและรูปเพิ่มเติมบนวงใน: http://www.wongnai.com/r/26426iH




เป็นอย่างไรกันบ้าง? อ่านจบแล้วถูกใจร้านไหนก็อย่าได้รอช้า โทรไปจองที่แล้วพาคุณไปกินกันได้เลย!
ถ้ายังเลือกไม่สะใจ ลองไปดูร้านอื่นๆที่น่าสนใจได้ใน ลายแทงร้านอาหารอร่อย หรือ Wongnai’ s Diary นะ :) และค้นหาโปรโมชั่นสุดเด็ดต้อนรับวันพ่อเพิ่มเติมได้ที่http://www.wongnai.com/news/father-day-buffet-promotion-2013

emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49

17


รวมข้อมูลลานเบียร์ 2013 ตารางศิลปินและวงดนตรี


พร้อมจะซดเบียร์สดรับหน้าหนาวกันหรือยัง! วงในรวบรวมข้อมูลลานเบียร์ทั่วกรุงเทพ สำหรับปี 2013 มาฝากกันแล้วไม่ว่าจะเป็นลานเบียร์สุดฮิตตลาดการลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์, ลานเบียร์น้องใหม่มาแรกลมดีลานเบียร์เอเชียทีค, ลานเบียร์เจ้าเก๋าลานเบียร์เมเจอร์รัชโยธิน เรามีตารางวันที่ให้บริการลานเบียร์พร้อมตารางศิลปินมาฝากให้เตรียมตัวยกแก๊งกันไปมันส์กันได้ สำหรับลานเบียร์เมกะบางนา และ ลานเบียร์ CDC กำลังรอข้อมูลจากผู้จัดอยู่จ้า (อีกไม่นานเกินรอ)
เอาเป็นว่าตอนนี้ไปดูกันเท่าที่มีก่อนนะ ว่าที่ไหนมีอะไรบ้าง!
ลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์ (Central World Beer Park)
กลับมาอีกครั้งรับหน้าหนาว ได้เวลาของเทศกาลลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์บรรยากาศดีๆ ใจกลางกรุงเทพ โดยปีนี้เช่นเคยมีเบียร์ทั้งจากไทเกอร์, สิงห์, และช้างเอ็กซ์ปอร์ดมาบริการนักดื่มทุกท่าน เตรียมพร้อมกับลานเบียร์ฤดูหนาวพบกับศิลปินชื่อดังที่จะวนเวียนมาให้ความบรรเทิงตลอดช่วงวันที่ 24 พฤษศจิกายน ถึง 31 ธันวาคมนี้ ที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์!

วงในรวมรวมตารางศิลปินลานเบียร์หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ 2013 มาให้ดูแล้ว มีใครมาวันไหนกันบ้าง ลองไปดูกัน!



ปฏิทินศิลปินงานลานเบียร์ Central World 2013 แบบครบถ้วนสุดๆ (คลิกที่รูปเพื่อดูรูปขนาดเต็ม)





Singha Beer (ลานเบียร์สิงห์) - ตารางศิลปินลานเบียร์สิงห์เซ็นทรัลเวิลด์ 2013
"มิตรภาพที่ดี เริ่มต้นแล้วที่นี่"
27 พ.ย. 13 - Jamjun Project
28 พ.ย. 13 - วง จาก spicydisc
29 พ.ย. 13 - ทรงไทย
3 ธ.ค. 13 - Zeal
6 ธ.ค. 13 - Burin
10 ธ.ค. 13 - ละอองฟอง
12 ธ.ค. 13 - Boy Peacemaker
13 ธ.ค. 13 - วง จาก spicydisc
17 ธ.ค. 13 - Mild
19 ธ.ค. 13 - Blackhead
20 ธ.ค. 13 - Helmethead
24 ธ.ค. 13 - Jennie + Tong & Way Station
26 ธ.ค. 13 - Jetset’ er
27 ธ.ค. 13 - วัชราวลี
30 ธ.ค. 13 - เป๊ก แพรว แหนม
31 ธ.ค. 13 - Stamp (Countdown)
31 ธ.ค. 13 - Joey Boy (Countdown)




Tiger Beer (ลานไทเกอร์เบียร์) - ตารางศิลปินลานเบียร์ Tiger เซ็นทรัลเวิลด์ 2013
"โชว์โคะตะระสด ศิลปินแนวหน้าสไตล์ไทเกอร์ที่จะมามัน Amazing Thai(Ger)Land แล้วพบกันที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์"
25 พ.ย. 13 -Flure
26 พ.ย. 13 -Kobe
27 พ.ย. 13 -2 Days Ago Kids
30 พ.ย. 13 -Yellow Fang
2 ธ.ค. 13 - Desktop Error
3 ธ.ค. 13 - สมเกียรติ
4 ธ.ค. 13 - Bedroom Audio
11 ธ.ค. 13 - Lipta
17 ธ.ค. 13 - Greasy Cafe’
18 ธ.ค. 13 - Sqweez Animal
28 ธ.ค. 13 - Brown Flying
31 ธ.ค. 13 - Scrubb





Chang Expot (ลานเบียร์ช้าง) - ตารางศิลปินลานเบียร์ช้างเซ็นทรัลเวิลด์ 2013
ช้าง ... จัดเต็มความบันเทิงและดนตรีสดสุดมันส์ ภายใต้ concept "Everyday is a Celebration" โดนพาศิลปินเจ๋งๆมาให้ความบันเทิงทุกวันอังคารและพฤหัสบดีที่ลานเบียร์ช้างหน้า Central World
26 พ.ย. 13 - MICRO
27 พ.ย. 13 - Moderndog
28 พ.ย. 13 - Chang Music Contest 2012 Artist
3 ธ.ค. 13 - Slot Machine
10 ธ.ค. 13 - J Jetrin
12 ธ.ค. 13 - นิวจิ๋ว
17 ธ.ค. 13 - Da Endrophine
19 ธ.ค. 13 - ตู่ ภพธร
23 ธ.ค. 13 - ป้าง นครินทร์
24 ธ.ค. 13 - เบน ชลาทิศ
25 ธ.ค. 13 - โก้ คิ้ม
26 ธ.ค. 13 - Chang Music Contest 2012 Artist
30 ธ.ค. 13 - Bodyslam
31 ธ.ค. 13 - Paradox

ติดตามข่าวสารได้ที่ facebook.com/ChangWorld
พิเศษสุดๆ เปิดตัวไอศครีมเบียร์สด Chang Export Soft Serve ! รสหวานหอมนุ่ม ละมุนกลิ่นมอลต์ เอาใจคนรักเบียร์
นอกจากเบียร์แล้ว Chang Export ยังมีเมนูเด็ดๆใหม่ๆมาเปิดตัว นั่นก็คือไอศครีมซอฟท์เสิร์ฟ Chang Export เนื้อเนียน หอมนุ่มละมุนกลิ่นเบียร์ ฉ่ำไปด้วยรสมอลต์ชั้นดี พร้อมกับท๊อปปิ้งที่มีให้เลือกถึง 3 อย่าง ได้แก่ อัลมอนด์, ช็อกโกแลตชิป หรือ ซอสคาราเมล งานนี้คอเบียร์คนใหนสนใจจะไปลองชิมไอศครีมเบียร์สด Chang Export Soft Serve ว่าจะอร่อยถูกใจแค่ไหน ก็ไปได้ที่ลานเบียร์เซ็นทรัลเวิลด์นะ !
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลานเบียร์เอเชียร์ทีค (Asiatique)
เอเชียทีคแหล่งพักผ่อนช๊อปปิ้งริมน้ำเจ้าพระยาก็เคลียร์พื้นที่เปิดลานเบียร์ให้นั่งชิลจิบเบียร์เย็นๆรับลมดีๆริมแม่น้ำเช่นกัน ลานเบียร์ที่เอเชียทีคจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. ถึง 31 ธ.ค. นี้โดนเบื้องต้นเราได้ตารางของเบียร์ช้างมาฝากชาววงในแล้ว หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะนำมา update อีกทีนะ !




Chang Export (ลานเบียร์ช้างเอกซ์พอร์ต) - ตารางศิลปินเบียร์ลานเบียร์ช้างเอกซ์พอร์ตเอเชียทีค

20 พ.ย. 13 - ตู่ ภพพร
27 พ.ย. 13 - ละอองฟอง
4 ธ.ค. 13 - Room 39
11 ธ.ค. 13 - อ๊อฟ ปองศักดิ์
18 ธ.ค. 13 - Lipta
24 ธ.ค. 13 - โก้ คิ้ม
25 ธ.ค. 13 - เบน ชลาทิศ
31 ธ.ค. 13 - Scrubb

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลานเบียร์เมเจอร์รัชโยธิน (Sky Park ซูซูกิ อเวนิว เมเจอร์รัชโยธิน ชั้น 4)
ทางด้านคนที่อยู่แถวลาดพร้าว ขี้เกียจเข้าเมือง เมเจอร์รัชโยธินก็เปิดดาดฟ้า sky park ซูซูกิ อเวนิว อำนวจความสะดวกเชิญคุณดื่มด่ำกับบรรยากาศเทศกาลแห่งความสุขและอาหารสุดอร่อยบนดาดฟ้ากลางกรุงที่ ซูซูกิ อเวนิว เมเจอร์รัชโยธิน ชั้น 4 เริ่มตั้งแต่วัน ที่ 24 ตุลาคม 2013 ไปจนถึง 12 มกราคม 2014 ทุกวัน เวลา 17:00 - 24:00น.



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Space 16 @ Sukhumvit Soi 16 (Bed Concepts & Heineken)
เพิ่งเปิดตัวกันไปหมาดๆกัน Space 16 ที่สังสรรค์ hang out แห่งใหม่ใจกลางกรุงกับลานนั่งชิลล์บนดาดฟ้าริมสระน้ำสุดชิก ใน concept ของ "The first outdoor beer dining and entertainment experience with rooftop swimming pools!"
ลานเบียร์ In Bed With Heineken เริ่มให้แฟนๆได้ดื่มด่ำกันแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ที่ผ่านมา ยาวไปจนถึงสิ้นปีเลยนะ แฟนๆ Heineken ตามไปนั่งจิบเบียร์นั่งชิลล์ข้างสระน้ำกันได้เลย !



ลานเบียร์ Heineken ที่ Space 16 สุขุมวิท 16




ารางศิลปินที่จะมีเล่นที่ลานเบียร์ Heineken ที่ Space 16 มีดังนี้

19 พฤศจิกายน 2013 - Musketeers
21 พฤศจิกายน 2013 - Lipta
26 พฤศจิกายน 2013 - Sqweez Animal
28 พฤศจิกายน 2013 - Bedroom Audio
3 ธันวาคม 2013 - Mild
9 ธันวาคม 2013 - Mild
12 ธันวาคม 2013 - Better Weather
17 ธันวาคม 2013 - Jetset’ er
19 ธันวาคม 2013 - Cocktail
25 ธันวาคม 2013 - Scrubb


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พอร์โต้ ชิโน่ (Porto Chino Beer Fest)
เอ้า ขอเสียงชาวมหาชัยกันหน่อยยยย ! เริ่มแล้ว..เทศกาลเบียร์สำหรับชาวมหาชัย ที่พอร์โต้ ชิโน่ ในชื่องานว่า "Food Port Great Food Good Beer Fest" พบกับเมนูอาหารสุดพิเศษ หาทานได้เฉพาะที่นี่ ที่เดียวเท่านั้น อาทิ อาหารทะเลเผา, ไก่ย่างหมักเบียร์, ไส้กรอกยาวเมตรครึ่ง, หัวปลาหม้อไฟ และกองทัพอาหารอร่อยสุดยอดเมนู อีกมากมาย
เสิร์ฟพร้อมเบียร์สด และเบียร์วุ้น พร้อมพบกับดนตรีสดทุกคืน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 5 มกราคม 57 ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ที่ฟู้ดพอร์ต พอร์โต้ ชิโน่
โทร. 086-799-3983




ลองดูๆกันเนอะ จะลานเบียร์สิงห์ ลานเบียร์ช้าง หรือจะ Heineken สะดวกที่ไหนก็ไปที่นั่น

หรือถ้าอยากเปลี่ยนไปเป็นบรรยากาศร้านเบียร์แทน วงในก็มี guide แนะนำร้านเบียร์เด็ดๆ อุ่นเครื่องรับลมหนาว ลองไปดูกันได้เลย

http://www.wongnai.com/listings/recommend-beer-pub-and-restaurant

ขอบคุณที่มา http://www.wongnai.com/news/beer-park-2013
emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49 emo49

18
แนะนำสถานที่ลอยกระทงเด็ดๆทั่วกรุงเทพ!

“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง” วันลอยกระทงใกล้เข้ามาแล้วนะคะพี่น้องชาววงใน ลอยกระทงปี 2556 นี้ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน แหม่ตรงวันอาทิตย์แบบนี้เหมาะเลย จะมีเวลากันเยอะหน่อย ไม่ต้องรีบๆร้อนๆมากปั่นงานแล้วรีบออกไปลอยกระทงเหมือนวันธรรมดา มีเวลาออกไปเดินเล่นตอนเย็นๆหาอะไรอร่อนๆทานกันก่อนที่จะไปลอยกระทงกัน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เค้าคาดการว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยววันลอยกระทงเพิ่มขึ้น 10% ! โอ้โหคนคงจะแน่นขึ้นอีกน่าดูเลย คนเยอะแบบนี้เราควรจะเตรียมตัวกันเยอะหน่อย วันนี้ทีมงานวงในเลยรวบรวมสถานที่แนะนำสำหรับลอยกระทงปี 2556 นี้จ้า จะได้วางแผนล่วงหน้ากันก่อนไปเนอะ ไปดูกันดีกว่า ว่ามีที่ไหนเด็ดๆน่าสนใจบ้าง !

1. Asiatique Riverfront (เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์)
สถานที่ท่องเที่ยวสุด hip สุด hit ราวกับเกิดมาเพื่อเทศกาลลอยกระทงโดยเฉพาะ ก็เล่นอยู่ติดรริมน้ำเจ้าพระยา มีตลิ่งยาวให้เดินลงไปลอยกระทงได้สะดวกๆแบบนี้จะพลาดไปได้ไงหละ ยิ่งปีนี้ถูก ททท. คัดเลือกเป็นสถานที่จัดงานลอยกระทงในบรรยากาศ “สีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง” เตรียมพบการแสดง แสง สี ตระการตา พลุประกอบเพลงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เรือประดับไฟฟ้าขนาดใหญ่ เติมสีสัน สร้างความสุขและสืบสานวัฒนธรรมไทยได้ในเทศกาลลอยกระทง พร้อมกับการแสดงสุดยอดประเพณี 4 ภาคลอยกระทงอย่างยิ่งใหญ่โดยกรมศิลปากร และคอนเสิร์ตจากนักร้องดัง ‘สินเจริญบราเธอร์ส’ ใครสนใจก็เตรียมจดวันไว้ได้เลย ระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2556 เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ !
ติดตามความเคลื่อนไหวที่ได้ www.facebook.com/Asiatique.Thailand หรือ www.thaiasiatique.com



2. สะพานพระราม 8
สุดคลาสสิก! สะพานที่สวยที่สุดในประเทศไทย สะพานพระราม 8 มีความยาวรวม 475 เมตร มีรูปแบบโดดเด่นสวยงามเพราะได้ออกแบบเป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรซึ่งหมายความว่ามีเสาสะพานหลักเสาเดียวบนฝั่งธนบุรี และมีเสารับน้ำหนัก 1 ต้นบนฝั่งพระนคร จึงไม่มีเสารับน้ำหนักตั้งอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ไม่มีปัญหาต่อการสัญจรทางน้ำ และยังไม่บดบังวิวสวยๆของแม่น้ำเจ้่าพระยาด้่วย

ช่วงลอยกระทงบริเวณเชิงสะพานพระราม 8 กรุงเทพฯ คนเยอะประจำเลยก็เพราะบรรยากาศดีๆวิวสวยๆที่พลาดไม่ได้จริงๆต้องลองไปสักครั้งหละถึงจะเข้าใจ ได้บรรยากาศลอยกระทงริมน้ำแบบดั้งเดิมสุดๆไปเลยนะ!




รูปประกอบจาก http://chitaphon.wordpress.com

3. The Siam Hotel
ถ้าอยากลอยกระทงกันแบบคนไม่แน่นมาก มีบรรยากาศส่วนตัวหน่อยๆ ก็คงต้องลองหาดูตามท่าเรือของโรงแรมต่างๆดูหละ เพราะเป็นท่าเรือส่วนของเอกชนคนก็จะน้อยหน่อย เช่นของ The Siam Hotel เค้าก็จัดงานลอยกระทงเหมือนกัน วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษจิกายนนี้ โดยจัดเป็นสไตล์ตลาดภาคเหนือ พร้อมดนตรีสด โดยบริการ 4-course dinner 9 เมนูสุดอร่อย โดยมีให้เลือก 2 package
The Siam Loy Krathong dinner includes:
Market festival with apéritif
4 course dinner featuring 9 dishes
A bottle of house wine
Krathong making workshop
The Romance Loy Krathong dinner includes:
Market festival with apéritif
A secluded, romantic table on the Chon Lawn next to the river
A bottle of champagne
4 course dinner featuring 9 dishes
A bottle of house wine
Krathong making workshop
สำรองที่นั่งก่อนได้ที่ info@thesiamhotel.com หรือ T +66 (0) 2206-6999
ข้อมูลเพิ่มเติมhttp://www.thesiamhotel.com/loy-krathong



4. ท่าน้ำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
สถานที่ลอยกระทงยอดนิยมอีกจุดหนึ่ง ทีเด็ดคือมีบริการเรือพาคนไปลอยกระทงกลางแม่น้ำ!
ท่าพระจันทร์แม้ว่าพื้นที่จะมีขนาดเล็ก แต่ในทุกๆปีจะมีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ (ยิ่งทำให้คนแน่นเข้าไปอีก) ดังนั้น คำแนะนำของวงในคือ ถ้าไม่อยากเจอคนเยอะๆควรจะเดินทางไปเร็วๆหน่อย ลอยกระทงแต่หัวค่ำแล้วค่อยไปหาอะไรกินน่าจะดีกว่านะ!
5. Siam Park City (สวนสยามทะเล-กรุงเทพฯ)
ที่สุดท้ายที่จะแนะนำวันนี้ ไม่ได้ติดแม่น้ำ แต่ก็น่าไปไม่น้อยหน้าใคร! สวนสยาม Siam Park City จัดคอนเสิร์ตสุดมันส์ให้มาสนุกกันแบบไม่ไปกวนใครในวันลอยกระทง 17 พ.ย. 56 Greez Festival พบกับวง MILD พร้อมราคาบัตรสุดเร้าใจ 450 บาท (จากปกติ 900 บาท) !!  ซื้อบัตรครั้งเดียวเที่ยวสนุกสุดเหวี่ยง ได้ทั้งวันทั้งคืน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง!! ผ่านประตู+เครื่องเล่นได้ทุกชนิด ไม่จำกัดรอบ ตลอดทั้งวัน + สวนน้ำ (สวนน้ำปิด 17.00 น.) เเต่เครื่องเล่นจัด 10 โมง ถึงเที่ยงคืนกันไปเลยจ้าา (คอนเสิร์ตเริ่มประมาณ 20.00 น.)

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/siamparkcity.fanpage / www.siamparkcity.com / โทร. 02-919-7200-19






6. มหาวิทยาลัย
เช่นเคยทุกปี ช่วงลอยกระทงมหาวิทยาลัยต่างๆเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปลอยกระทงที่สระน้ำของมหาวิทยาลัยได้ รวมทั้งจะมีกิจกรรมและการแสดงต่างๆที่จัดโดยนิสิตนักศึกษาให้ชมให้เที่ยวเพลินๆอีกด้วย หลายๆมหาวิทยาลัยมีจัดงานประจำทุกปี ใครใกล้ที่ไหนสะดวกที่ได้ก็ลองแวะๆเข้าไปดูกันได้เลย

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมากและบางนา)
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(บางมด)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (วิทยาเขต พิษณุโลก)
มหาวิทยาลัยโยน
มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


7. สวนสาธารณะใน กทม.
สำหรับ กทม. ปีนี้ทาง กทม. จัดพื้นที่สวนสาธารณะให้ลอยกระทงกันทั้งหมด 28 แห่ง ใน 19 เขต ของ กทม.  โดยจะเปิดให้ลอยกระทงตั้งแต่เวลา 15.00 – 24.00น. เช่นเคย ใครสะดวกที่ไหนก็ลองไปดูละกันเนอะ
สวนลุมพินี เขตปทุมวัน
สวนจตุจักร เขตจตุจักร
สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร
สวนพระนคร เขตจตุจักร
สวน 60พรรษา สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เขตลาดกระบัง
สวนสราญรมย์ เขตพระนคร
สวนรมณีนาถ เขตพระนคร
สวนสันติชัยปราการ เขตพระนคร
สวนนาคราภิรมย์ เขตพระนคร
สวนธนบุรีรมย์ เขตทุ่งครุ
สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม
สวนนวมินทร์ภิรมย์ เขตบึงกุ่ม
สวนหนองจอก เขตหนองจอก
อุทยานเบญจสิริ เขตคลองเตย
สวนเบญจกิติ เขตคลองเตย
สวนน้ำบึงกระเทียม เขตมีนบุรี
สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6รอบพระชนมพรรษา เขตบางคอแหลม
สวนสันติภาพ เขตราชเทวี
สวนกีฬารามอินทรา เขตบางเขน
สวนรมณีย์ทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง
สวน 50พรรษา มหาจักรีสิรินธร เขตประเวศ
สวนวนธรรม เขตประเวศ
สวนทวีวนารมย์ เขตทวีวัฒนา
สวนหลวงพระราม 8 เขตบางพลัด
สวนสาธารณะบึงน้ำลาดพร้าว 71 เขตลาดพร้าว
สวนสิรินธราพฤกษาพรรณ เขตบางกอกน้อย
สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขตบางกอกน้อย
สวนสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 80พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขตสาธร
วันลอยกระทงก็ถือเป็นวันที่จะได้ทำกิจกรรมกันในครอบครัวอีกวันหนึ่ง ถ้ามีแผนจะออกไปหาอะไรทานนอกบ้านด้วยก็น่าจะลองดูร้านอาหารริมน้ำบรรยากาศดีๆ เพื่อให้เข้ากับเทศกาลเสียหน่อย ทีมงานวงในจึงมี guide ร้านอาหารริมน้ำเจ้าพระยาบรรยากาศดีๆ ให้ไปนั่งสบายชิวๆ ชมวิว บรรยยากาศโรแมนติก ลองอ่านกันดูได้นะเผื่อจะได้ไอเดีย >> http://www.wongnai.com/listings/riverside-restaurant

ขอบคุณที่มา http://www.wongnai.com/news/loi-krathong-2013

19
รวยรินกลิ่นปลาเผา กับปลาทับทิมตัวโตเนื้อแน่นมากคุณค่า ที่ "หอมปลาเผา"




จากคุณแม่คนหนึ่งที่ชื่นชอบการทำอาหารให้ลูกๆ ทาน และมีความสุขในการทานอาหารอร่อยๆ จึงทำให้ร้าน "หอมปลาเผา" ถือกำเนิดขึ้นมาในรูปแบบร้านอาหารไทย - อีสาน สไตล์กันเอง ที่เน้นคุณภาพของวัตถุดิบสุดๆ ทุกอย่างต้องสดใหม่ สะอาด และเครื่องปรุงหลายๆ อย่าง ทางร้านลงมือทำเอง เช่น ถั่วลิสงคั่วและข้าวคั่ว ทำให้มั่นใจได้ว่าอาหารทุกจานของร้าน "หอมปลาเผา" สะอาดได้มาตรฐานจริงๆ



บรรยากาศภายในร้าน

และแน่นอนว่า เมื่อมาที่ร้าน "หอมปลาเผา" เมนู Signature ที่ห้ามพลาดของร้าน ก็ย่อมจะต้องเป็น "ปลาเผา" แน่นอนที่สุด เพราะปลาเผาของร้านนี้แตกต่างจากปลาเผาของร้านอื่นๆ

สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด และเป็นจุดเด่นของร้าน "หอมปลาเผา" คือการเลือกใช้ "ปลาทับทิม" มาทำเมนูปลาเผา ไม่ได้ใช้ปลานิล หรือปลาช่อนแบบร้านอื่น ซึ่งเหตุที่ "หอมปลาเผา" เลือกใช้ปลาทับทิมก็เพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีเนื้อฟูหนาแน่น และมีคุณค่าทางอาหารสูง แถมยังเป็นปลาที่เลี้ยงในกระชัง จึงไม่มีกลิ่นดินโคลนแบบปลาน้ำจืดทั่วไป และปลาท่ี่ได้ก็จะมีเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ นำมาเผาแล้วไม่แห้งเกินไป

เมื่อได้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็มีการใส่ใจไม่แพ้กัน นั่นคือ "การล้างทำความสะอาดปลา" ที่ต้องล้างทำความสะอาดอย่างดี เอาเหงือกปลาออกให้เรียบร้อย จากนั้นก็ใส่สมุนไพรลงไปในตัวปลา เพื่อให้ปลามีกลิ่นหอมสมกับชื่อร้าน "หอมปลาเผา"



เมี่ยงปลาทัมทิมเผา


ส่วนขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของเมนูปลาเผา คือ "การเผาปลา" ซึ่งที่ร้าน "หอมปลาเผา" ใช้ถ่านกะลามะพร้าวในการเผาปลา กลิ่นควันไฟที่เผาจึงหอม และให้ความร้อนกำลังดี เมื่อปลาสุกได้ที่  ก็จัดเสิร์ฟมาเป็นชุด "เมี่ยงปลาทัมทิมเผา" (ราคาชุดละ 300 บาท) ที่นอกจากจะมีปลาทับทิมเผาตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ แล้ว ยังมีผักสดๆ เคียงมาอีกหลายชนิด เช่น ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ โหระพาที่ล้างทำความสะอาดอย่างดีทีละใบๆ

ส่วนน้ำจิ้มก็มีทีเด็ดไม่แพ้ปลาเผา เพราะมีถึงสองรส สองแบบ น้ำจิ้มแบบซีฟู้ด จะใช้แต่มะนาวสดเท่านั้น ไม่มีการใช้มะนาวสังเคราะห์โดยเด็ดขาด ถั่วลิสงคั่วที่ผสมลงไปในน้ำจิ้ม ก็เป็นถั่วลิสงที่ทางร้านคั่วเองใหม่ๆ จึงมั่นใจได้ในความสะอาดและจะไม่มีการใช้ถั่วลิสงคั่วเก่าๆ ที่มีเชื้ออัลฟาท็อกซินแน่นอน

ด้านน้ำจิ้มหวานก็จะมีรสชาติที่นุ่มนวลด้วยส่วนผสมของน้ำมะขามเปียก ที่ต้องแช่มะขามเปียกทิ้งไว้ข้ามคืนกันเลยทีเดียว เพื่อให้มะขามเปียกคลายตัวและนิ่มลง เวลาขยำน้ำมะขามเปียกเพื่อนำมาใช้ทำน้ำจิ้ม ก็จะได้เนื้อของมะขามเปียกติดออกมาด้วย ทำให้ได้น้ำจิ้มที่เข้มข้น จากนั้นก็นำน้ำมะขามเปียกมาเคี่ยวกับน้ำตาลปี๊บจากบ้านแพ้ว และกุ้งแห้ง เพื่อให้น้ำจิ้มมีมิติในรสชาติมากขึ้น คือเปรี้ยวจากน้ำมะขามเปียก หวานจากน้ำตาลปี๊บ เค็มจากกุ้งแห้ง และมีความมันจากถั่วลิสงคั่ว

ใส่ใจทุกขั้นตอนขนาดนี้ ปลาเผาของร้าน "หอมปลาเผา" จึงอร่อยและมีคุณค่าทางอาหารทุกคำจริงๆ

นอกจากเมนูเอกของร้านอย่าง "ปลาเผา" แล้ว ที่ "หอมปลาเผา" ยังมีเมนูเด่นๆ สไตล์ไทย - อีสานที่ปรุงอย่างพิถีพิถันให้เลือกอีกหลายเมนู อาทิ



"ไก่ย่างขมิ้น"

"ไก่ย่างขมิ้น" (ราคา 250 บาท) ที่ใช้ไก่พันธุ์ผสม เนื้อไก่จึงนุ่ม ไม่แห้งและไม่เหนียว และมีเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ "การหมักไก่" เพราะใช้เวลาเตรียมการกันข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว เริ่มจากต้องนำขมิ้น ตะไคร้ และกระเทียม พริกไทยมาโขลกเข้าด้วยกันเสียก่อน แล้วจึงนำมาหมักกับไก่ทิ้งไว้ข้ามคืน เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆ ซึมเข้าไปในทุกอณูเนื้อของไก่ จากนั้นจึงนำไปย่างด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะประมาณ 45 นาที แล้วไก่ที่หมักจนเข้าเนื้อก็จะส่งกลิ่นหอม และมีเนื้อที่นุ่มนวลชวนหม่ำ แม้ไม่จิ้มกับอะไรก็อร่อย และทางร้านก็จะกะเวลาย่างไก่ให้พอดีกับเวลาและจำนวนลูกค้าที่เข้าร้าน ลูกค้าจะได้ไม่ต้องรอนาน และเนื้อไก่ก็ยังคงความนุ่มอยู่



"ตำถั่วหมูกรอบ"

ส่วนเมนูเอาใจคนรักอาหารรสแซ่บ ก็มี "ตำถั่วหมูกรอบ" (ราคา 30 บาท) ที่ใช้ถั่วฝักยาวมาตำแบบใส่ปลาร้า และปรุงรสให้จัดจ้าน เปรี้ยวเป็นเปรี้ยว เค็มเป็นเค็ม จากนั้นก็เพิ่มทีเด็ดด้วยการวาง "หมูกรอบ" ชิ้นใหญ่ลงไปด้านบน เวลากิน หากรอให้หมูกรอบซึมซับน้ำของตำถั่วเข้าไปเสียหน่อย จะอร่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว



"ยำปูม้าดอง"

หรือถ้ายังแซ่บไม่พอ ก็ต้องจัดมาอีกจาน กับ "ยำปูม้าดอง" (ราคา 150 บาท) ปูม้าดองเนื้อแน่นสดหวาน ยำมาแบบพริกกระเทียมท่วมจานไม่หวงเครื่อง และรสชาติจัดจ้านซี้ดซ้าดสุดๆ


"น้ำตกคอหมูย่าง"

ตามด้วย "น้ำตกคอหมูย่าง" (ราคา 90 บาท) ที่หอมอร่อยเพราะข้าวคั่วที่ใช้ เป็นข้าวคั่วที่ทางร้านคั่วเองใหม่ๆ จึงหอมและสะอาด ส่วนคอหมูที่ใช้ก็หนานุ่ม หั่นมาชิ้นใหญ่พอดีคำ จานนี้ถ้าจิ้มข้าวเหนียวตามลงไปในจานด้วย จะยิ่งอร่อยลงตัว


"สะตอผัดกุ้ง"

ส่วนคนที่อยากได้เมนูอาหารที่สามารถสั่งมากินกับข้าวได้ แนะนำให้สั่ง "สะตอผัดกุ้ง" (ราคา 120 บาท) ที่ใช้สะตอเม็ดใหญ่ผัดกับกุ้งตัวโตเนื้อแน่น รสชาติเหมือนคนใต้แท้ๆ และ "ปลาหมึกผัดไข่เค็ม" (ราคา 180 บาท) ปลาหมึกตัวโต หั่นเป็นวงหนาๆ ผัดกับซอสไข่เค็มรสชาติเข้มข้น สองเมนูนี้ถ้าสั่งมากินกับข้าวแล้วจะลงตัวเป็นอย่างมาก

"ต้มแซ่บกระดูกอ่อน"

และหากมีแต่เมนูแห้งๆ มากไป ก็สั่ง "ต้มแซ่บกระดูกอ่อน" (ราคา 120 บาท) มาซดให้คล่องคอเสียหน่อย น้ำซุปรสชาติจัดจ้านถึงใจ ทำให้หูตาสว่างได้ดีเลยทีเดียว กระดูกอ่อนก็เคี้ยวกรุบกรับๆ เพลินดีอีกต่างหาก


(สีม่วง) น้ำอัญชันมะนาวโซดา (สีเหลือง) น้ำเก๊กฮวย (สีแดง) น้ำกระเจี๊ยบ

ปิดท้ายด้วยเมนูเครื่องดื่มที่ทางร้านเน้นเครื่องดื่มแบบไทยๆ ดื่มแล้วชื่นใจดับร้อน ดับเผ็ด อาทิ น้ำอัญชันมะนาวโซดา (ราคา 45 บาท) น้ำเก๊กฮวย (ราคา 30 บาท) และน้ำกระเจี๊ยบ (ราคา 30 บาท) เป็นเครื่องดื่มที่หากสั่งมาดื่มระหว่างมื้ออาหารแล้ว ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย


เย็นๆ แดดร่มลมตก ลองพาครอบครัว เพื่อนฝูงมาเปลี่ยนบรรยากาศกับอาหารไทย - อีสานรสชาติถึงใจ ในบรรยากาศสบายๆ กันดูสักครั้ง แล้วที่นี่อาจจะกลายเป็นร้านประจำของคุณไปโดยไม่รู้ตัว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/articles/hom-pla-pao
  emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44 emo44

20
ร้านอร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำทั่วไทย


ใกล้ช่วงเทศกาลหยุดยาวเข้ามาทุกทีแล้ว หลายๆ คนคงเตรียมแพลนกันไว้แล้ว ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกัน คนที่เตรีียมตัวไปต่างจังหวัด ก็อย่าลืมหาข้อมูลร้านอร่อยๆ ของจังหวัดนั้นๆ ไว้ด้วยล่ะ จะได้ไม่พลาดของเด็ดๆ ถ้าใครยังนึกไม่ออก หรือยังไม่มีข้อมูลร้านอร่อยๆ ไกด์คราวนี้อาจพอช่วยได้ เพราะเราพยายามคัดร้านเด็ดๆ ตามจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมมาให้แล้ว

1.ร้าน ครัวสุพรรณิการ์

ขอนแก่น / ร้านอาหารบรรยากาศดี ร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด รวมทั้งต้นสุพรรณิการ์ ที่จะออกดอกสวยงามในช่วงต้นปี ตรงกับชื่อร้าน "ครัวสุพรรณิการ์ บาย คุณยาย" พอดี เหมาะแก่การมานั่งชื่นชมบรรยากาศดีๆ แล้วอร่อยกับอาหารไทยตำรับคุณยาย สมศรี จันทรา ที่นำสูตรอาหารอร่อยจากจ.ตราด เดินทางมาสู่ขอนแก่น กับเมนูโบราณหากินยาก อย่าง ม้าฮ่อ เมี่ยงหยอง แกงหมูใบชะมวง แกงป่านกสับ สลัดแขก ปลาทูทอดน้ำปลา และแถมท้ายด้วยเครื่องดื่มมึนเมานิดๆ สร้างความโรแมนติกหน่อยๆ อย่าง Vertical Recline, Horizontal Upright และ Virgin Water Melon Mojito แถมใครกินอิ่มแล้ว ยังหาที่พักไม่ได้ ที่นี่เขาก็มีห้องพักแบบวิลลาหรูหราในบรรยากาศการตกแต่งสไตล์พื้นบ้าน และใกล้ชิดธรรมชาติด้วยต้นไม้เต็มพื้นที่ไว้ให้เลือกพักด้วย....ไปที่นี่ที่เดียว ได้หลายอย่างเลยแหละ!!


ร้าน ครัวสุพรรณิการ์


ร้าน ครัวสุพรรณิการ์

อ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/12075hK

2.ร้าน ขนมจีนเจ๊แร่

เพชรบูรณ์ / เห็นช่วงนี้คนนิยมไปเพชรบูรณ์กันจริงจัง เลยอยากจะแนะนำของดีของดังของหล่มสัก อำเภอหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่คนไปเยอะไม่แพ้อำเภอเข้าค้อเหมือนกัน เขาว่าไปหล่มสัก ต้องแวะกินขนมจีนที่ร้าน "เจ๊แร่" (ขยุ้มเจ๊แร่ หล่มสัก) ร้านเก่าแก่ที่คนท้องถิ่นรู้จักกันดี และคนนอกพื้นที่ก็ตั้งไว้เป็นเป้าหมาย ว่าจะต้องไปชิมให้ได้ ซึ่งความพิเศษที่ทำให้คนติดใจและพูดต่อๆ กันไป คือ เส้นขนมจีนสมุนไพรที่มีทั้งสีม่วง ที่ทำจากดอกอัญชัน เส้นสีส้มทำจากแครอต เส้นสีชมพูทำจากฝาง เส้นสีเขียวทำจากใบเตย เส้นสีเหลืองทำจากขมิ้น กับน้ำยาสูตรเด็ดที่มีให้เลือกทั้งน้ำยาป่า น้ำยากะทิ น้ำพริก น้ำยาใต้ น้ำยาสมุนไพรที่ใส่แต่กระชาย กินแกล้มกับผักสดนานาชนิด และไก่ทอดกรอบๆ กับลูกชิ้นปูทอดที่เขาว่าอร่อยเด็ด ร้านเป็นแค่โต๊ะม้านั่ง มุงหลังคาสังกะสีธรรมดาๆ เท่านั้น มองหาไว้ให้ดี


ร้าน ขนมจีนเจ๊แร่


ร้าน ขนมจีนเจ๊แร่

อ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/8171th

3.ร้าน Charcoa House

เชียงใหม่ / เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่มีร้านอาหารเยอะมากกกกกกก ร้านขนมก็เยอะมาก ไปเส้นนิมมานเหมินทร์ มีให้เลือกตั้งแต่ซอย 1 ยันซอยสุดท้าย แต่ร้านดังๆ คนก็ไปกันเยอะแล้ว ยิ่งช่วงปีใหม่ร้านต่างๆ ที่ดังๆ ก็น่าจะแน่นพอสมควรเลย เราจึงพยายามเสาะหาร้านที่ไม่ได้มีพิกัดอยู่ในเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก และมาลงตัวที่ ถนนศรีภูมิ กับร้าน " Charcoa-House" อาหารฝรั่งออกแนวอิตาเลียน และเบเกอรี่อร่อยเด็ด ต้องลองสั่งเมนูพาสต้าของเขามาลอง อร่อยไม่แพ้ร้านในกรุงเทพฯ ทั้งเฟตตูชินีซอสครีม แฮมสเต็ก และสปาเก็ตตี้ขี้เมากุ้ง หรือถ้าอยากได้รสชาริแบบฝรั่งสุดๆ ก็ลองสั่งรีซอตโตหนักชีสสุดๆ มากินดู แล้วแก้เลี่ยนด้วยด้วยน้ำผลไม้ปั่นเปรี้ยวๆ หวานๆ แล้วตามด้วยพันนาคอตต้าสตรอเบอร์รี่สดๆ ซึ่งที่ตอนนี้เชียงใหม่กำลังเต็มไปด้วยสตรอเบอร์รี่ลูกโตๆ เลย ได้กินสตรอเบอร์รี่กันอย่างเต็มที่แน่ๆ


ร้าน Charcoa House


ร้าน Charcoa House

อ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/7748zP

4.ร้าน ร้านอาหารจีนยูนนาน หมู่บ้านสันติชล

แม่ฮ่องสอน / ร้านนี้เคยไปกินเมื่อครั้งกระโน้น สมัยยังละอ่อนกว่าตอนนี้ บรรยากาศอย่างกับหลุดเข้าไปในเมืองจีนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งโต๊ะเก้าอี้ และตัวร้านเลย ส่วนอาหารนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะตื่นตาตื่นใจกับขนาดของชาม และรสชาติของอาหารที่อร่อยสุดยอดจริงๆ เมนูที่ห้ามพลาด คือ ขาหมู - หมั่นโถวชิ้นโตน่าหม่ำ ฉีกหมั่นโถวร้อนๆ ลงไปจิ้มในน้ำขาหมูข้นๆ เค็มๆ หวานๆ แล้วตักเนื้อขาหมูกินตาม อร่อยอ่ะ!! แล้วยังอีกหลายเมนูที่ติดใจคือ ออร์เดิฟยูนนาน กับ ยำสาวน้อยยูนนานที่กรุบกรับๆ จากเส้นมะละกอดิบไสซะเป็นฝอยละเอียด คลุกกับหมูยอเส้นๆ และน้ำมันงาหอมกรุ่นอยู่ในปาก ส่วนเมนูที่อยากให้ทุกคนไปลองชิม แล้วเอามาบอกต่อกันบ้าง กัน คือ เหลี่ยงเฟิ่นทอด หรือถั่วลันเตาบดทอดนั่นเอง หน้าตาประมาณเต้าหู้ทอด แต่เค้าบอกกันว่ารสชาติละม้ายคล้ายเฟรนช์ฟราย น่าลองเป็นที่สุด...กินอิ่มแล้ว พักเดินย่อยด้วยการซื้อขนมและสินค้าจากร้านขายของของที่ระลึกใกล้ๆ กับร้าน แล้วถ้าอย่างสนุกปนหวาดเสียว ไปขึ้นชิงช้ายูนนานได้นะ ให้เขาโล้ชิงช้าสูงๆ ให้ลมตีหน้าเล่น เสียวไส้ดี


ร้าน ร้านอาหารจีนยูนนาน


ร้าน ร้านอาหารจีนยูนนาน

อ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/7650rB

5.ร้าน บ้านอิสระ

ประจวบคีรีขันธ์ - หัวหิน / มาทะเล แล้วอยากกินอาหารทะเลอร่อยๆ รสชาติจัดจ้าน รับลมทะเล เห็นวิวทะเลสวยๆ ในบ้านทรงไทยเก๋ๆ ให้มาที่ร้าน "บ้านอิสระ" เลย เพราะตัวร้านมีมุมเด็ด ที่เปิดกว้างให้เห็นวิวทะเลแบบพาโนรามากันเลยทีเดียว แถมเป็นมุมที่ต้องแย่งชิงกันหน่อยด้วย ไปช้าหมด อดนั่งชมทะเลนะจ๊ะ ส่วนเมนูเด็ดที่ห้ามพลาด คือ กุ้งผัดซอสโหระพา ที่เด็ดจริงอะไรจริงเพราะตัวน้ำซอสนี่แหละ ใครมาเป็นต้องสั่ง และมักจะหมดไวกว่าเมนูอื่น, แกงส้มพริกขี้หนูสดปลาหมึก, ปูทะเลผัดพริกไทยดำ, ยำหอยนางรมยอดกระถิน, ออส่วน, ปลาทูย่างน้ำปลา, ปลาหมึกผัดไข่เค็ม และแกงส้มปูไข่หน่อไม้ดอง ทุกเมนูอร่อยลงตัว คนจึงอาจจะเยอะหน่อยในวันหยุด อยากกินของอร่อยต้องรีบนะ


ร้าน บ้านอิสระ


ร้าน บ้านอิสระ

อ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/916Tg


ค้นหาอ่านรายละเอียดและรีวิวของร้านอร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/yummy-around-thailand
;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)

21
ร้านหมูสะเต๊ะสุดเด็ด อร่อยลืมไม่ลง

"หมูสะเต๊ะ" เมนูบ้านๆ ที่ใครๆ หลายคนคุ้นเคย และมักจะเห็นปิ้งขายกันตามท้องถนนทั่วไป เลยไปจนถึงตามร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านข้าวบางร้าน ก็มี "หมูสะเต๊ะ" ขายอยู่หน้าร้านด้วย...แต่ก็ใช่ว่าหมูสะเต๊ะทุกร้านจะอร่อยเหมือนกันหมด เพราะหมูสะเต๊ะนั้น มีรายละเอียดของความอร่อยหลายประการทีเดียว นั่นคือ หมูต้องนุ่มติดมันนิดๆ หมักให้เข้าเนื้อ ย่างให้เกรียมๆ หน่อย น้ำจิ้มก็ต้องเหนียวข้น รสชาติหวานเค็มชัดเจน และต้องมีอาจาดที่ใช้น้ำส้มสายชูเคี่ยวกับน้ำตาลจนเหนียว ดองผักให้สดกรอบ และกว่าจะหาร้านที่ทำทั้งหมูสะเต๊ะ น้ำจิ้ม และอาจาดได้อร่อยลงตัวเจอนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย...คราวนี้วงในเลยขอออกตามหา "ร้านหมูสะเต๊ะ" อร่อยเด็ดขั้นเทพ ที่ใครต่อใครก็พูดถึงว่า อร่อยจริงจัง!!


1.มิ้งโภชนา

หมูสะเต๊ะเนื้อสันนอกและน้ำจิ้มซีอิ๊วดำสูตรเด็ด - หมูสะเต๊ะเจ้าดัง เก่าแก่ที่ขายมาตั้งแต่รุ่นเตี่ย เริ่มขายตั้งแต่ปีพ.ศ.2500 จนมาถึงตอนนี้ก็ 56 ปีเข้าไปแล้วที่ "หมูสะเต๊ะ" ของ "มิ้งโภชนา" ยังคงครองใจมิตรรักนักกินทุกเพศทุกวัย ซึ่งความอร่อยของหมูสะเต๊ะร้านนี้ เป็นเพราะเลือกใช้เนื้อหมูสันนอก ที่จะติดมันนิดๆ ทำให้เวลาปิ้งแล้ว เนื้อหมูไม่แห้ง แถมยังมีมันกรุบๆ ให้เคี้ยว แถมด้วยทีเด็ดอีกอย่าง นั่นคือ "น้ำจิ้มซีอิ๊วดำ" เป็นซีอิ๊วดำกับหอมแดงและพริก รสชาติออกเค็มๆ หวานๆ เปรี้ยวนิดๆ ตัดเลี่ยนได้ดี เป็นน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน เพราะไม่มีร้านไหนทำน้ำจิ้มแบบนี้ขาย …อร่อยเด็ดแค่ไหน ระยะเวลาในการขายเกือบ 60 ปี คงจะพอรับประกันได้ !


หมูสะเต๊ะ" ของ "มิ้งโภชนา



หมูสะเต๊ะ" ของ "มิ้งโภชนา


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/2610Tu

2.ตี๋ หมูสะเต๊ะ ท่าดินแดง

หมูสะเต๊ะไม้ใหญ่เนื้อนุ่มไร้มัน - ร้าน "ตี๋หมูสะเต๊ะ ท่าดินแดง" นี้ เป็นอีกหนึ่งร้านที่คนพูดถึงกันมาก เพราะขึ้นชื่อเรื่องความใหญ่ของชิ้นหมู และเป็นหมูสะะเต๊ะที่เหมาะกับคนกลัวอ้วน เพราะไม่มีส่วนที่เป็นไขมันติดมา ส่วนใครที่ชอบหมูสะเต๊ะติดมัน ร้านนี้อาจไม่ใช่แนว และนอกจากหมูสะเต๊ะแล้ว ร้านนี้ยังมีตับสะเต๊ะที่อร่อยไม่แพ้กันอีกด้วย ซึ่งตับนี้ต้องใช้เทคนิคในการปิ้งอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะถ้าไฟแรงเเกินไป หรือปิ้งนานเกินไป ตับก็จะสุกเกินพอดี และแข็งจนไม่อร่อย แต่ตับสะเต๊ะของร้าน "ตี๋หมูสะเต๊ะ ท่าดินแดง" ไม่คาวและไม่แข็งเกินไป อร่อยไม่แพ้หมูสะเต๊ะเลย


ตี๋ หมูสะเต๊ะ ท่าดินแดง



ตี๋ หมูสะเต๊ะ ท่าดินแดง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/9177Qd

3.โอวกี่หมูสะเต๊ะ

ใช้หมูอนามัย ปลอดภัย ไม้ใหญ่อร่อยเต็มคำ - หมูสะเต๊ะเจ้าเก่าแก่กว่า 50 ปีนี้มีจุดเด่นตรงที่เลือกใช้เนื้อหมูอนามัย (Hymeat) ซึ่งเป็นหมูที่ต้องเลี้ยงในฟาร์มที่ได้มาตรฐานเท่านั้น มีการควบคุมโรคระบาด และมีการควบคุมการใช้สารเคมีในฟาร์ม ฉะนั้นหมูสะเต๊ะของ "โอวกี่" จึงรับประกันได้ในคุณภาพและความสะอาดปลอดสารพิษ แถมหมูสะเต๊ะร้านนี้ยังไม่ติดมัน คนรักสุขภาพและกลัวอาหารติดมันน่าจะสบายใจเมื่อได้กิน แล้วเมื่อหมูสะเต๊ะนุ่มๆ มาเข้าคู่กับน้ำจิ้มเข้มข้นถึงรสเครื่องเทศ ก็บังเกิดเป็นความอร่อยเด็ด ที่ทางร้านถึงขั้นกล้ารับประกันว่า "ไม่อร่อยทานฟรี" !!


โอวกี่หมูสะเต๊ะ



โอวกี่หมูสะเต๊ะ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/55993bV

4.หมูสะเต๊ะสว่าง

มีทั้งแบบติดมันและแบบไม่ติดมัน - ร้านหมูสะเต๊ะเก่าแก่ อายุอานามประมาณ 50 ปี ที่มีจุดเด่นอยู่ตรงที่หมูสะเต๊ะชิ้นอ้วนกลม ไม่หนาและไม่บางเกินไป กำลังดีๆ มีทั้งแบบติดมัน และไม่ติดมันแยกไว้ต่างหาก ใครชอบแบบไหน เลือกแบบนั้น ถ้าชอบกินแบบติดมันต้องบอกที่ร้านให้ปิ้งแบบติดมันให้ ส่วนน้ำจิ้มและอาจาดสามารถเติมได้ไม่อั้น น้ำจิ้มของร้านนี้เค้าว่าอร่อยสุดยอด เนื้อเนียนเข้มข้นถึงรสเครื่องแกง


หมูสะเต๊ะสว่าง



หมูสะเต๊ะสว่าง


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/73040Dj


5.หมูสะเต๊ะ แม่เหมียว

หมูสะเต๊ะอ้วนสั้นๆ แต่ชิ้นใหญ่ - หมูสะเต๊ะร้านอื่นอาจจะชิ้นหนาๆ ยาวๆ แต่ร้าน "หมูสะเต๊ะแม่หมียว" จะเป็นหมูสะเต๊ะชิ้นสั้นๆ บานๆ เพิ่มพื้นที่ในการจิ้มน้ำจิ้มให้มากขึ้น ทีเด็ดของหมูสะเต๊ะร้านนี้คือแม้ว่าจะไม่ติดมัน แต่เนื้อหมูสะเต๊ะก็ยังนุ่มชุ่มฉ่ำ เพราะย่างไปพรมน้ำกะทิไป น้ำกะทิเลยซึมซาบลงไปในเนื้อหมู ทำให้หอมหวนและนุ่มชวนกินเป็นอย่างยิ่ง แถมด้วยน้ำจิ้มสูตรเด็ดที่ค่อนข้างใสกว่าน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะทั่วไป และมีกลิ่นและรสชาติของถั่วค่อนข้างชัดเจน จนบางคนบอกว่าคล้ายๆ รสชาติของน้ำสลัดแขก


หมูสะเต๊ะ แม่เหมียว



หมูสะเต๊ะ แม่เหมียว


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/121592uE

ขอขอบคุณที่มาของร้านหมูสะเต๊ะอร่อยๆ http://www.wongnai.com/listings/best-pork-satay-in-town
emo40 emo40 emo40 emo40 emo40 emo40

22
ร้านไอเดียแปลก ดีไซน์เก๋ ครีเอตล้ำ

การไปกินอาหาร หรือนั่งจิบเครื่องดื่มในร้านธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป ก็อาจจะทำให้เราเบื่อๆ เซ็งๆ ได้ บางทีคนเราก็ควรจะลองหาอะไรใหม่ๆ แปลกๆ แหวกแนวไว้ไปนั่งกิน นั่งชิลล์กับผองเพื่อน เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างก็น่าจะดี ลองหาร้านที่ตกแต่งแปลกๆ มีคอนเซปท์ มีเรื่องราว มีของตกแต่งในร้านให้ดูเพลินๆ หรือมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มเก๋ๆ น่าตื่นตาตื่นใจ แบบที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน จะได้ช่วยเปิดประสบการณ์ให้เราหลีกลี้หนีจากไลฟ์สไตล์ที่จำเจ ไปเจออะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ถ้านึกไม่ออกว่าจะไปหาร้านแปลกๆ แหวกแนวที่ไหนดี เรารวบรวมมาให้แล้ว


1. Icedea Central Ladprao

ลืมไปได้เลยกับไอศกรีมแบบเดิมๆ รสชาติเดิมๆ ที่เคยกิน เพราะไอศกรีม icedea ของเจ้าของร้านคนสวย คุณพริมา จักรพันธ์ ผู้ร่ำเรียนมาทางด้านการออกสถาปัตยกรรม และได้เอาความรู้ที่ร่ำเรียน บวกกับความชอบส่วนตัว มาประยุกต์ใช้จนกลายเป็นนักออกแบบไอศกรีมคนแรกของเมืองไทย ที่รับออกแบบไอศกรีมให้ร้านไอศกรีมต่างๆ และงานอีเวนท์ จนในที่สุดก็เริ่มมาทำโชว์รูมและร้านขายไอศกรีมของตัวเองที่รวมรวบไอศกรีมรสชาติแปลกใหม่ ผสานกับการตกแต่งจัดวางที่แปลกตา อย่างไอศกรีมรสวาซาบิ ที่มีรสชาติเผ็ดขึ้นจมูกอย่างวาซาบิแท้ๆ หรือไอศกรีมทงคัตสึ ที่เป็นไอศกรีมชุบเกล็ดขนมปังทอด แล้วเสิร์ฟแบบหมูทอดทงคัตสึ แล้วตบด้วยเครื่องดื่มจี๊ดๆ ฮาๆ อย่าง


Icedea Central Ladprao



Icedea Central Ladprao


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/12279fa


2.กากั้น (Gaggan)

อาหารอินเดียแนวใหม่สไตล์ Molecular Gastronomy หรือการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยสร้างสรรค์อาหารให้ออกมาแปลกแหวกแนว และด้วยศาสตร์นี้เอง ที่ทำให้อาหารอินเดียที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ากินยาก กลิ่นเครื่องเทศแรง กลายมาเป็นอาหารอินเดียที่มีรสชาติแตกต่างไปจากอาหารอินเดียทั่วๆ แถมยังหน้่าตาสวยงามน่ากิน เพราะตกแต่งจานด้วยสไตล์ฟิวชั่น น้อยๆ แต่งาม ไม่น่าเชื่อเลยว่าอาหารอินเดียแบบที่เราเคยเห็นจนชินตา จะเปลี่ยนรูปโฉมไปจนแทบจำไม่ไ่ด้ว่าเป็นอาหารอินเดียได้ขนาดนี้ และถ้าใครมาถึงร้านแล้ว ไม่ได้ลอง Yoghurt Explosion หรือ Raita Sphere ที่เป็น Signature ของร้านแล้วล่ะก็ ถือว่าพลาดของเด็ดไปแล้วล่ะ เพราะเมนูนี้เป็นการใช้เทคนิค Spherification มาทำให้โยเกิร์ตเหลวๆ จับตัวเป็นก้อนดูเด้งดึ๋งๆ และพอเราเอาเข้าปากปั๊บ โยเกิร์ตก็จะแตกโพละในปาก และปล่อยรสชาติของ Raita หรือซอสโยเกิร์ตผสมเครื่องเทศอ่อนๆ ให้ค่อยๆ ระเบิดในปากเราสมชื่อเมนู


กากั้น



กากั้น


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/9934Pg


3.Cabbages & Condoms PDA Building

ร้านอาหารกับถุงยางอนามัย ฟังดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย แต่ร้าน Cabbages and Condoms สามารถนำเอาถุงยางอนามัยมาใช้ตกแต่งร้านอาหาร และนำมาตั้งเป็นชื่อเมนูอาหารในร้านได้อย่างแนบเนียน จนคนที่มากินไม่รู้สึกว่าสองอย่างนี้ มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ที่เป็นอย่างนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ร้านอาหารร้านนี้เป็นของคุณมีชัย วีระไวทยะ ผู้รณรงค์ให้คนไทยใช้ถุงยางมาอย่างยาวนาน จนท่านได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของถุงยางไปเสียแล้ว ซึ่งนอกจากภายในร้านจะมีมุมนิทรรศการถุงยางขนาดย่อมๆ ที่ใช้ถุงยางมาทำเป็นหุ่นโชว์ และอื่นๆ แล้ว ยังมีเมนูอาหารที่ชื่อแสนจะเข้ากับคอนเซปท์ของร้านที่ว่า


สปาเก็ตตี้ผัดพริกกระเทียม



ทอดมันปลาอินทรีย์


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/3081jB


4.ครัวเก่าเก็บ

ฟังแค่ชื่อ อาจดูไม่น่ากิน เพราะเกรงว่าอาหารจะเเก่าเก็บสมชื่อรึเปล่า แต่เปล่าหรอกนะ ที่ร้านเขาตั้งชื่อแบบนี้ เพราะว่าเป็นร้านที่รวบรวมของสะสมเก่าๆ เช่น รถโบราณ เครื่องเล่นแผ่นเสียง กล้องถ่ายรูปโบราณ Soccer Pool Table เก่าเก็บ นาฬิกาปลุกเก่าๆ และอีกสารพัดของเก่า กระทั่งกระป๋องแป้งยี่ห้อที่ไม่มีขายแล้วในปัจจุบัน ที่นี่ก็ยังมี และถ้าถูกใจของเก่าเก็บชิ้นไหน ก็สามารถขอซื้อกลับบ้่านได้ด้วย ส่วนอาหารก็มีเมนูเก่าๆ ที่หากินยากในปัจจุบันมาคอยเสิร์ฟเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น หมูสับผัดปลาร้าทรงเครื่ิอง กินกับผักสดนานาชนิด แกงคั่วหอยขมรสชาติเข้มข้นถึงเครื่องแกง และยำเมี่ยงทับทิม ที่เอาปลาทับทิมมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วเอาไปทอดกรอบ ราดด้วยเครื่องเมี่ยงต่างๆ เช่น ถั่วลิสง ใบชะพลู และขิง เป็นร้านที่ไปแล้ว ให้อารมณ์ประมาณกำลังเดินอยู่ในละครคู่กรรม โกโบริ อังศุมาลินอย่างไรอย่างนั้นเลย


ชะอมผัดเต้าหู้หมูสับ



ยำก้านคะน้ากุ้งสด


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/12165DK

5.The Iron Fairies

ผับกึ่งแกลเลอรี่ กึ่งร้านอาหาร ที่โดดเด่นเรื่องการดีไซน์ที่เน้นความดิบ ของผนัง และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในร้าน ให้อารมณ์เหมือนผับในหนังแฟนตาซีสักเรื่อง และจุดเด่นของร้านอยู่ที่บันไดวนเหล็กกลางร้านที่ดูน่าพิศวงงงงวยกับความวนเวียนของตัวบันได บวกกับของประดับตกแต่งกระจุกกระจิกภายในร้าน อย่างเทพธิดาเหล็กตัวเล็กตัวน้อย ที่เน้นให้เห็นถึงความเป็นเหล็ก และความเป็นเทพนิยาย ก็ยิ่งช่วยขับให้บรรยากาศดูเหมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเข้าไปใหญ่ ส่วนอาหารในร้านแม้จะไม่ใช่เมนูที่แปลกประหลาดเหมือนการตกแต่ง แต่รูปแบบการจัดวางก็ไม่ธรรมดาเลย อย่างการปักมีดลงไปกลางแฮมเบอร์เกอร์ แล้วเสิร์ฟให้ลูกค้าทั้งอย่างนั้น....อย่่าแปลกใจถ้ามาที่ีนี่ แล้วจะเผลอคิดว่ากำลังหลงอยู่ในหนัง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ ก็บรรยากาศมันให้จริงๆ


กุ้งชุบแป้งทอด



Buy 1 Get 1 Free


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.wongnai.com/restaurants/24084nA


สนใจอ่านรายละเอียดร้านอาหารอร่อยอื่นๆได้ที่ http://www.wongnai.com/listings/bizarre-restaurant
emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33 emo33

23
ร้านเหล่านี้อร่อยชัวร์ เพราะเป็นร้านของเชฟชื่อดัง


ร้านอาหารที่เชฟชื่อดังลงทุนเปิดร้านของตัวเอง หรือเป็นร้านที่มีเชฟผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารมาเป็นที่ปรึกษาให้ ซึ่งแน่นอนว่าเชฟระดับเทพเหล่านี้ จะต้องพิถีพิถันกับอาหารไม่ให้เสียมาตรฐานของตัวเองแน่นอน

1.Triplets Brasserie

จากเด็กเรียนฟิล์ม จบมาทำงานด้านกราฟฟิค และมุ่งมั่นไปเรียนทำอาหารที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ จนในที่สุดเชฟเนตร-เนตรอำไพ สาระโกเศศ ก็หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านนี้ขึ้นมา เมนูเด่นของร้านคือ Almond Halibut


Pepper Steak



Choccolate Souffle


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :   http://www.wongnai.com/restaurants/11073li


2.99 Rest backyard cafe

ร้านอาหารในสวนสวย แบบสวนหลังบ้านที่มีเชฟเอียน พงศ์ธวัช เฉลิมกิตติชัย เชฟชื่อดังระดับโลก มาเป็นที่ปรึกษาให้ จึงมั่นใจได้ว่าอาหารทุกจานจะต้องออกมาน่ากิน และครีเอตสุดๆ เช่น ยำส้มโอกุ้งย่าง และ กุ้งคลุกข้าวโพดทอด


สเต็กปลาแซลมอน



ลาซานย่าเนื้อซอสมะเขือเทศ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :   http://www.wongnai.com/restaurants/9662lQ

3.Surface

ร้านอาหารฝรั่งเศสที่ไฮโซสาวริก้า ดีล่า ร่วมกันปลุกปั้นขึ้นมากับเชฟชาลี เคเดอร์ เชฟหนุ่มมือโปร ที่เคยทำงานให้กับเอกอัครราชทูตที่สถานทูตฝรั่งเศสในประเทศไทย เป็นร้านที่กำลังมาแรงทีเดียว


Snow Fish Safron Sauce



Dunk Confit Port Wine Reduction


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :   http://www.wongnai.com/restaurants/11870ud


4.INDY KITCHEN

อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์ของ Indies Kitchen ที่มีเชฟอิ๊ก บรรณ บริบูรณ์ เป็นหนึ่งในทีม ร้านนี้ขายอาหารฟิวชั่นกินง่ายๆ เช่น ซุป สลัด แชนวิช และข้าวผัดต่างๆ มั่นใจได้ว่าหน้าตาและรสชาติของอาหารไม่ธรรมดาแน่นอน


สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า



ผักไทยกุ้งสด


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :   http://www.wongnai.com/restaurants/8677iV


5.เชฟถนอม

ร้านอาหารอิตาเลียนในบรรยากาศสบายๆ และราคาเป็นกันเอง ของเชฟถนอม อดีตเชฟโรงแรมโอเรียนเต็ล ซึ่งเป็นโรงแรมที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและความพิถีพิถันของอาหาร ดังนั้นอาหารที่ร้านนี้จึงรับประกันความอร่อยแน่นอน


เส้นดำผัดกุ้งกับกระเทียม



สเต็กแกะ


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :   http://www.wongnai.com/restaurants/10427dh



ค้นหาร้านอาหารอร่อยๆ เพิ่มเติมได้ที่:   http://www.wongnai.com/listings/pro-chef-restaurants
emo48 emo48 emo48 emo48 emo48 emo48

24
Kin-JJigae อร่อยไม่ยั้งกับบุฟเฟต์หม้อไฟเกาหลีแค่ 199 บาท!!!




ในช่วงสมัยสงครามโลก ทหารเกาหลีที่ต้องต่อสู้กับความหนาวเย็น ได้คิดค้นการกินหม้อไฟที่เอาของทุกอย่างที่หาได้ใส่ลงไปต้มรวมกันในหม้อ เพื่อกินประทังความหิวและแก้หนาว ซึ่งของที่ใส่ลงไปในหม้อไฟ ก็มีทั้้งกิมจิที่เป็นอาหารประจำชาติ สแปมกระป๋องที่ทหารยุคนั้นต้องมีพกติดตัวไว้ หรือไม่ก็ไส้กรอก และเมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง เมนูหม้อไฟยามยากของทหารเกาหลีนี้ ก็เริ่มแพร่หลายไปในหมู่ชาวเกาหลี และกลายมาเป็นเมนูหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน



"หม้อไฟเกาหลี" ประกอบด้วย มักกะโรนี เส้นจับแช ไส้กรอกไก่ ปูอัด หมูสันใน หมูสับ หมูสามชั้น ฯ


วิธีการกินหม้อไฟแบบเกาหลีนั้น แตกต่างจากการกินหม้อไฟแบบญี่ปุ่น เพราะหม้อไฟแบบเกาหลี เมื่ออาหารทุกอย่างในหม้อสุก ก็จะปิดเตาและกินต่อไปเรื่อยๆ จะไม่เปิดเตาทิ้งไว้ให้น้ำเดือดปุดๆ แบบหม้อไฟญี่ปุ่น เพราะหม้อของเกาหลีถูกออกแบบมาให้กักเก็บความร้อนเอาไว้ได้นาน อาหารจึงสุกระอุทั่วถึง แม้จะทิ้งเอาไว้อย่างนั้นก็ยังไม่หายร้อน

ซึ่งในเมืองไทย "หม้อไฟทหารเกาหลี" แบบนี้ ไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นที่เกาหลี ก็จะเห็นมีให้เห็นอยู่ตามถนนหนทางทั่วไปเลย แล้วถ้าอยากกินหม้อไฟเกาหลีที่เมืองไทย จะไปหากินได้ที่ไหนล่ะ....คำตอบ คือ ลองมาที่ร้าน "Kin jjigae" ร้านอาหารเกาหลีลูกผสม ส่งตรงจากกรุงโซล ที่ตั้งอยู่ใต้อพาร์ตเมนท์แวนด้า เพลส ข้างมหาวิยาลัยรังสิต ในหมู่บ้านเมืองเอกดูสิ เพระาว่าที่นี่ เขามีเมนูบุฟเฟต์หม้อไฟเกาหลี ในราคาเบาๆ แค่ 199 บาท เท่านั้นเอง!!!



เมื่อน้ำซุปเริ่มผสมกับซอส




เครื่องเคียงที่ห้ามพลาด กิมจิ, หัวไชเท้่าดองที่ทางร้านดองเอง รสชาติละมุนละไมและกลิ่นไม่แรง, พริกป่นเกาหลีผัดกับหอมเจียวและน้ำมันงา



ที่ "Kin jjigae" เมื่อสั่งบุฟเฟต์ จะมีชุดผักจัดออกมาให้หนึ่งชุด เช่น ผักกาดหอม ผักโขม ถั่วงอก ต้นหอมญี่ปุ่น และซอสรสชาติเข้มข้นที่เป็นส่วนผสมของกิมจิ โคชูจัง กระเทียม และพริกแดงเกาหลี รสชาติจะเผ็ดร้อนนิดๆ และมีรสเปรี้ยวจากกิมจิ แล้วก็ใส่น้ำซุปปลาลงไปในหม้อ รอให้เดือด จากนั้นก็สามารถสั่งอย่างอื่นเพิ่มด้วยการเขียนจำนวนของอาหารที่ต้องการลงไปในใบสั่งอาหารที่วางไว้ให้บนโต๊ะ เช่น อุด้ง, จับแช, ไส้กรอกหมู, หมูสามชั้น, หมูสับ, เนื้อไก่ หรือเนื้อหมูสันนอก ซึ่งบุฟเฟต์หม้อไฟเกาหลีนี้ สามารถนั่งกินได้เรื่อยๆ ภายในเวลา 1ชั่วโมงครึ่ง และถ้ากินไม่หมด ปรับ 10 เท่าของราคาอาหาร

ส่วนใครที่ไม่กินหม้อไฟ หรืออยากหาของกินเล่นมาเสริมทัพความอร่อย ที่ "Kin jjigae" ก็มีหลากหลายเมนูที่มีทั้งสูตรเกาหลีแท้ๆ และแนวฟิวชั่นที่ปรับรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น แถมยังราคาไม่แพงอีกต่างหาก สมกับที่อยู่ในย่านนักศึกษา เป็นราคาที่กินแล้วกระเป๋าไม่แฟ่บแน่นอน




"เห็ดย่างเมียงดง"




"Seoul Zabb"




"Roll Za with Wasabi Sauce"


มนูที่ควรสั่งมากินเล่นแก้เหงาปาก คือ "เห็ดย่างเมียงดง" (ราคา 69 บาท) เห็ดเข็มทองพันเบคอนย่างมาสุกกำลังดี ราดด้วยน้ำจิ้มสุดแซ่บสไตล์ไทยๆ ตามด้วยเกี๊ยวซ่าเนื้อนุ่มราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัด "Seoul Zabb" (ราคา 79 บาท) แล้วตบด้วย "มันทอดกินจิเก" (ราคา 49 บาท) มันทอดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ราดด้วยมายองเนส มันฝรั่งนุ่มๆ เข้ากันได้ดีกับมายองเนสรสเปรี้ยวอมหวาน  จบด้วยเมนูชื่อแปลกอย่าง "Roll Za with Wasabi Sauce" (ราคา 59 บาท) ภายนอกจะดูเหมิือนป่อเปี๊ยะทอดกรอบ แต่อร่อยแตกต่างตรงที่ราดด้วยซอสวาซาบิรสฉุนนิดๆ และแมงโก้ซัลซ่าเปรี้ยวอมหวาน รสตัดกันแต่กลับอร่อยลงตัว


ส่วนเมนูที่ควรสั่งมากิน เพื่อความอิ่มจริงจัง คือ "คิมบับ" (ราคา 89 บาท) ข้าวห่อสาหร่ายของเกาหลี ที่จะแตกต่างกับข้าวห่อสาหร่ายของญี่ปุ่นตรงที่สาหร่ายที่ใช้ห่อข้าวจะเหนียวนุ่มกว่า เพราะต้องเอาไปอังไฟก่อนจะเอามาห่อข้าว และต้องทาด้วยน้ำมันงา พร้อมโรยงาที่ด้านบน ทำให้คิมบับหอมน่ากินมากขึ้น ต่อด้วยเมนู "หมูอบกังนัม" (ราคา 99 บาท) ที่คุณแม่เจ้าของร้านคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง โดยใช้สันคอหมูหมักกับรากผักชีและกระเทียมพริกไทย แล้วอบจนเปื่อยนุ่มในหม้ออัดแรงดัน จากนั้นโรยงาและสาหร่ายทะเล เป็นเมนูที่กินเปล่าๆ ก็อร่อย หรือจะกินกับข้าวก็ได้ เป็นเมนูที่ห้ามพลาดเด็ดขาด เมื่อมาที่ "Kin jjigae"




"คิมบับ"




"หมูอบกังนัม"




ข้าวเหนียวนุ่มกินคู่กับหมูอบกังนัม



ส่วนเมนูเส้นสไตล์เกาหลี ก็มีให้เลือกเช่นกัน ต้องลองเมนูเด็ดที่ถูกใจใครหลายๆ คน อย่าง "เส้นจับแชผัดผักรวม" (ราคา 59 บาท) ที่ใช้เส้นจับแชเหนียวนุ่มมีความยืดหยุ่นเวลาเคี้ยว เมนูนี้ความอร่อยอยู่ตรงที่ ทั้งเส้นจับแช เนื้อไก่และผักต่างๆ ผัดกับน้ำซอสรสชาติกลมกล่อมจนเข้าเนื้อ อร่อยลงตัวไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลยแม้แต่น้อย

หรือใครที่ชอบเมนูยอดฮิตอีกหนึ่งเมนูของเกาหลีอย่าง "ต๊อกป๊อกกิ" ก็ห้ามพลาด "Rabokki" (ราคา 89 บาท) มาม่าเกาหลีผัดกับต๊อกป๊อกกิ ใส่ไข่ต้ม เป็นเมนูที่เหมาะจะสั่งมากินกับผองเพื่อน แล้วแข่งกันสาวเส้นตอนร้อนๆ จะยิ่งอร่อยเด็ด เพราะน้ำซอสที่มีรสชาติเผ็ดร้อนๆ นิด จะเคลือบเส้นมาม่าและต๊อปป๊อกกิเอาไว้จนทั่ว เหนียวนุ่มเข้มข้นถึงใจ




"เส้นจับแชผัดผักรวม"





"Rabokki"


นอกจากเมนูที่ว่ามานี้แล้ว ยังมีเมนูอาหารเกาหลีแท้ และเมนูเกาหลีแบฟิวชั่นให้เลือกสั่งอีกเพียบ แล้วยังมีโปรโมชั่นต่างๆ มาเอาใจลูกค้าอยู่ตลอด สามารถเข้าไปติดตามได้ที่เฟซบุ๊คของร้านได้เลย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :  http://www.wongnai.com/articles/kin-jjigae

emo33 emo33 emo33 emo33 emo33

25
อาหาร และเครื่องดื่ม | Food & Beverage / Hot Restaurant @ Thonglor.
« เมื่อ: กันยายน 05, 2013, 01:09:00 PM »
ร้านใหม่มาแรงย่านทองหล่อ


เดี๋ยวนี้หากจะหาร้านอาหารอร่อยๆ ทาน ใครๆ ก็มักจะถึงย่านทองหล่อ-เอกมัยกันทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมอาหารหลากหลายชนิดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่น อาหารไทย อาหารฝรั่ง อาหารเกาหลี เรียกได้ว่ามากันทุกสัญชาติ คอนเฟิร์มได้เลยว่าย่านนี้จะต้องมีร้านอาหารสักร้านหนึ่งเป็นร้านอาหารในดวงใจของใครอีกหลายๆ คน อย่ารอช้าเตรียมท้องให้พร้อมแล้วมาลุยกันเลยดีกว่า !!

1.Asian Ville ทองหล่อ

“ใครอยากไปญี่ปุ่นต้องไม่พลาดร้านนี้ เพราะร้านนี้ไม่ได้มีเพียงแค่อาหารญี่ปุ่นรสเลิศเท่านั้น แม้แต่บรรยากาศ การตกแต่งของร้าน หรือแม้แต่ชุดยูคาตะที่พนักงานใส่ เรียกได้ว่าเพียงแค่ก้าวขาเข้าไปในร้านก็เหมือนซื้อตั๋วเครื่องบินไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเลยทีเดียว หากมาญี่ปุ่นแล้วก็ต้องไม่พลาดปลาดิบ ซึ่งปลาดิบที่นี่สดและใหญ่พอดีคำ จิ้มกับโชยุที่ทางร้านพิถีพิถันเลือกมาให้ ถือว่าฟินกันสุดๆ”





อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.wongnai.com/restaurants/129775Fh


2.Bad motel thonglor

“ร้านตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ ใกล้ๆกับ J Avenue ร้าน Badmotel เป็นทั้ง Bar & Restaurant , Rooftop , Gallery และ Courtyard บริการอาหารประเภทฟิวชั่น คอกเทลและเบียร์ บรรยากาศชิวๆสบายๆ คล้ายกับอยู่รีสอร์ท เมนูแนะนำได้แก่ เบอร์เกอร์แหนม , แซลมอนรมควัน รสชาติเด็ดอย่าบอกใคร และนอกจากนี้ยังมีแอลกอฮอล์ให้เลือกมากมายหลายชนิดอีกด้วย”






อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.wongnai.com/restaurants/132369DH


3.Sen-ryo Thonglor

“ร้านซูชิสายพานราคาประหยัดในเครือ Genki Sushi ที่เห็นได้ทั่วไปในญี่ปุ่น เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานในโครงการ Nihonmura ในซอยทองหล่อ 13 ร้าน Sen-ryo มีสาขามาแล้วในญี่ปุ่นและฮ่องกงหลายสาขา รับประกันความอร่อย ซูชิที่นี่จะเสริฟบนสายพานและไม่ต้องห่วงว่าอาหารจะไม่สด เพราะทางร้านได้มีเซนเซอร์ตรวจจับ หากจานไหนอยู่บนสายพานนานเกินไปก็จะมีเครื่องเอาออกโดยอัตโนมัติ แนะนำเมนู “โอโทโร่” ชิ้นใหญ่เต็มคำ เนื้อนุ่มแทบละลายในปาก หรือว่าจะเป็น “แซลม่อนย่างซอสพริกไทยดำ” ก็หอมพริกไทยดำสุดๆ ทางร้านไม่ได้มีเพียงของคาวเท่านั้น ของหวานอย่าง “ไวท์ทีรามิสุ” ก็เด็ดไม่แพ้กัน ส่วนเครื่องดื่มก็มีเครื่องกดน้ำร้อนตรงสายพานไว้ให้ชงชาเขียวบริการตัวเองอยู่ตลอดเวลา”






อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :http://www.wongnai.com/restaurants/131997RY


4.TRIBECA RESTOBAR

“นิวยอร์กมหานครที่หลายคนใฝฝันว่าในชีวิตต้องไปให้ได้สักครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องไปไหนไกลเพราะร้าน Tribeca Restobar ได้ยกนิวยอร์กมาอยู่ใจกลางทองหล่อ โดยคอนเสปของทานร้านจะเป็นอาหารสไตล์ Brunch เพราะคนที่นั่นชอบทานมื้อ Brunch กัน อาหารของทางร้านก็จะผสมผสานหลายวัฒนธรรมเนื่องจากในนิวยอร์กมีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ เมนูแนะนำได้แก่ “Gangnam Wing” ปีกไก่ทอด ราดซอสเกาหลี หากใครมาทานมื้อ Brunch ทางร้านก็ยังมีมื้อ Dinner ให้ทานอีกด้วย”







อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.wongnai.com/restaurants/131731CJ


5. Little Beast

“Little Beast หากแปลเป็นภาษาไทยก็คือ ปีศาจตัวน้อย ซึ่งการตกแต่งร้านก็จะออกแนวสีดำๆทึมๆตรงตามชื่อร้านเลย ที่นี่จะเสริฟอาหารแนว American ผสมผสานกับ French โดยอาหารแต่ละจานออกมาเรียบง่ายแต่บอกได้เลยว่าพิถีพิถัน รสชาติอร่อยกลมกล่อมสุดๆ เมนูอาหารที่นี่จะมีไม่มาก แต่ถ้าเป็น cocktail ละก็มีมาให้เลือกเป็นเล่มๆเลยทีเดียว และที่สำคัญ Chef ที่นี่ไม่ใช่ธรรมดา มีดาวติดตัวหลายดาว รับประกันความอร่อยแน่นอน”







อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :http://www.wongnai.com/restaurants/24717xA



6.BOYY CAFé


“บางคนเห็นชื่อร้านแล้วอาจเอะใจว่าทำไมชื่อแบรนด์คุ้นๆเหมือน ยี่ห้อกระเป๋า ก็ไม่ต้องสงสัยเพราะเจ้าของร้านคือคนเดียวกับกระเป๋าแบรนด์ Boyy นั่นเอง ทางร้านบริการเครื่องดื่ม ชา กาแฟ ของทานเล่น หรือพาสต้าสไตล์โฮมเมด ร้านตั้งอยู่บริเวณ Grass ทองหล่อ ภายในตกแต่งด้วยไม้สีเข้มๆ บรรยากาศเบาๆเรียบง่าย สบายๆ ดูโรแมนติค เหมาะแกการนั่งจิบ “Hot Chocolate” เข้มๆสักแก้ว ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ลงตัวสุดๆ”







อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :http://www.wongnai.com/restaurants/132001DL


ขอขอบคุณที่มา : http://www.wongnai.com/listings/hang-out-in-thonglor
emo32 emo32 emo32 emo32

26
ดับร้อนกับ 10 ร้านไอศกรีมสุดเด็ดในศูนย์การค้า



ร้อน...ร้อนมาก...ร้อนที่สุด สามนิยามอธิบายฤดูกาลในบ้านเราแบบขำๆ ที่ไม่ค่อยขำสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้เวลาเดินไปทางไหนก็เจอแต่แดดจ้าส่องฟ้ากันจนแสบตาไปหมด แถมความเย็นจากลมธรรมชาติก็แทบไม่กระดิกมาโดนตัว บางคนร้อนเหมือนอาบเหงื่อต่างน้ำกันมาเลย และด้วยอากาศร้อนแบบนี้แหละเลยทำให้ไม่มีใครอยากออกจากบ้าน หรือถ้าจะออกไปไหนก็คงหนีไม่พ้นไปเดินเล่นเย็นฉ่ำในศูนย์การค้าต่างๆ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ออกมาจากบ้านมาคลายร้อนแล้วทั้งที ถ้าได้กินไอศกรีมเย็นๆ อร่อยๆ ไปด้วยก็คงดีไม่น้อย แต่จะให้กินไอศครีมเจ้าดังเจ้าเดิมที่เห็นในสื่อบ่อยๆ ก็ดูไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะอย่างนั้นวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับร้านไอศครีมในศูนย์กลางค้าที่บอกได้เลยว่าห้ามพลาด!!

1. Sfree Central World
ร้าน Sfree เป็นร้านไอศกรีมบรรยากาศน่านั่งที่ตกแต่งร้านในโทนสีขาวแซมสีฟ้าอ่อนและชมพูหวานๆ ที่มีคอนเซปต์เอาใจสาวๆ แบบสุดๆ ว่า "Healthy Dessert" ไอศกรีมของที่นี่นอกจากจะหน้าตาจะสวยน่ากินแล้ว เขายังพิถีพิถันในการเลือกสรรวัตถุดิบที่เน้นการเอาผลไม้สดมาทำเป็นกรานิต้า หรือน้ำผลไม้ที่แช่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง แล้วขูดให้เป็นเกล็ดน้ำแข็ง ก็จะได้กรานิต้าที่ปราศจากสารปรุงแต่งรสชาติใดๆ เพราะใช้รสชาติที่แท้จริงของตัวผลไม้อยู่แล้ว ทำให้รสชาติของไอศกรีมที่ Sfree หวานกำลังดีและมีไขมันต่ำเหมาะกับสาวๆ ที่กลัวหุ่นเสีย ชวนให้รู้สึกสดชื่นตลอดเวลา สำหรับหน้าร้อนนี้หลายคนที่ชอบมะม่วงลองสั่ง "Parfait Mango" ไอศกรีมมะม่วงที่มีทั้งเนื้อมะม่วงและซอลฟ์ครีมนุ่มๆ มาชิมดู หรือถ้าหลงรักสตรอเบอร์รี่ ต้องลองนี้ "Strawberry Mille-Feuille" ไอศกรีมโยเกิร์ตรสธรรมชาติเปรี้ยวกำลังดีราดแยมสตรอเบอร์รี่ กินคู่กับครีมสดนุ่มหอม มาพร้อมกับพายสตรอเบอร์รี่ สอดไส้ครีมวานิลา หรือถ้าอยากชิมเมนูอื่นที่นี่ก็มีทั้ง Ice-cream, Yogurt, Chocolate, Cake, Wafu, A la mode, Kakigori, Beverage ให้เลือกมากกว่า 80 เมนูเชียวนะ



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/7649it

2. Me&Ice Cream Homemade
ด้วยบรรยากาศการตกแต่งแบบคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นเน้นโทนสีขาวอมครีมเข้ากับสีไม้ดูสบายตาและน่ารักด้วยสติ๊กเกอร์ลายจุดประดับกระจก แถมยังทางร้านวางงานเซรามิกส์ล่อตาล่อใจคนชอบแต่งบ้าน ทำให้ใครหลายคนที่มาเดินเล่นใน Crystal Design Center หรือ CDC แหล่งช้อปปิ้งแสนสบายในย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์อาจณรงค์ อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปเพลิดเพลินกับบรรยากาศชิลล์ๆ และชิมไอศกรีมสีสันสดใสเนื้อละเอียดนุ่มละมุนของ Me & Ice Cream Homemade เพื่อคลายร้อน ซึ่งไอศกรีมของที่นี่มีให้เลือกมากกว่า 40 รสชาติ และจะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน แต่ถ้าใครไม่อยากกินไอศกรีมอย่างเดียวก็เลือกกินคู่กับวัฟเฟิลหอมนุ่มสูตรพิเศษของร้านซึ่งมีให้เลือก 2 รส คือ วัฟเฟิลกาแฟและวัฟเฟิลชาเขียว หรือจะเลือกดับร้อนด้วยสมูทตี้อย่าง Red Mix Berry ที่นำเอาบลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ และราสพ์เบอร์รี่ มาปั่นกับไซรัปและน้ำแข็งให้เย็นชื่นใจ และสำหรับใครที่ชอบแบรนด์เสื้อผ้าเก๋ๆ "รสนิยม" ที่นี่ก็มีเสื้อผ้าของแบรนด์นี้ให้มาช้อปกันด้วยนะ



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/10569Xs

3. ทังฟัน ไอติมหม้อไฟยศเส Terminal 21
จากร้านไอศครีมชื่อดังย่านยศเส ขยับขยายมาสู่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองในย่านอโศก และเป็นร้านที่เจ้าของร้านให้คำนิยามร้านไอศกรีมของตัวเองว่า "เราอาจจะไม่ใช่ร้านไอศกรีมที่อร่อยที่สุด แต่เราจะเป็นร้านที่คุณมาแล้วมีความสุขที่สุด" เพราะจุดเด่นของไอศกรีมที่ "Tongue Fun" คือ ถ้าสั่งครบตามจำนวนที่กำหนด ไอศกรีมจะเสิร์ฟมาในหม้อไฟ พร้อมน้ำแข็งแห้งที่ช่วยสร้างเอฟเฟคท์ควันพวยพุ่งอยู่ล้อมรอบไอศกรีม เป็นการสร้างความตื่นตาตื่นใจและความสนุกให้กับลูกค้าจนกลายเป็นสิ่งที่สร้างชื่อให้กับร้าน "ทัง ฟัน" นี้ บวกกับไอศกรีมที่มีให้เลือกลิ้มลองกว่า 50 รสชาติ เช่น กระท้อน ลิ้นจี่ มะม่วง มะนาว สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ล ช็อกโกแลตบานาน่า รสโครตนมที่เพิ่มนมมาแบบคูณสอง และไอศกรีมสูตรเด็ดอย่างรสเบียร์และรสกระทิงแดงวอดก้าที่ไม่มีขายที่ไหน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของร้านไอศกรีมหม้อไฟชื่อดังเจ้านี้



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/121471hG

4. Kyo Roll en Gateway Ekamai
สำหรับใครที่ชอบกินไอศกรีมที่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นโดยแท้ล่ะก็ "Kyo Roll" ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากที่นี่จะตกแต่งร้านสไตล์ญี่ปุ่นโดยใช้ไม้ไผ่เป็นองค์ประกอบหลัก ทำให้สัมผัสได้ถึงธรรมชาติแล้ว ยังผสมผสานความเป็นโมเดิร์นเล็กๆ ไว้อย่างลงตัวอีกด้วย ร้าน "Kyo Roll" ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองโตเกียวเก่าที่อุดมไปด้วยศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ มีสวนหินและป่าไม้ไผ่ที่น่าเที่ยวชม และไอศกรีมของที่นี่ยังมีรสชาติแบบต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ อีกด้วย ซึ่งไอศกรีมรสชาติที่โดดเด่นน่าสนใจ และขึ้นชื่อที่สุดของร้าน คือ ไอศกรีมรสวนิลาสีดำสนิท เพราะผสมถ่านไม้ไผ่ลงไปด้วย (ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่า "ถ่าน" มีสรรพคุณในการดูดซับสารพิษออกจากร่างกาย) และนอกจากไอศครีมแล้ว ที่นี่ยังมี "Roll Cake" เค้กโรลเนื้อหนานุ่มที่อัดครีมสดจากฮอกไกโดไว้ข้างในแบบเต็มๆ เพื่อให้ได้รสชาติความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ หรือถ้าใครอยากกินของอร่อยทั้ง 2 อย่าง ก็มีเมนูเซ็ตให้เลือก ทั้ง "Roll Set" ที่มีทั้งโรลเค้กหลากรสมาพร้อมกับซอฟท์ครีมสูตรพิเศษ ผลไม้สด มัทชะนามะ ช็อกโกแลตสด และซอสสูตรพิเศษ ทั้งหมดเสิร์ฟมาในถ้วยไม้ไผ่ หรือจะเป็น "Anmitsu" รวมมิตรของหวานสูตรดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีทั้งไอศกรีม วุ้นคันเต็นจากสาหร่ายทะเลราดด้วยน้ำเชื่อม "Kuromtizu" ของดีประจำเกาะโอกินาวา...ใครที่ชอบไอศกรีมสไตล์ญี่ปุ่นลองมาสัมผัสกับ "ความหวานเหนือระดับ แบบฉบับเกียวโต" กันที่นี่ดูสิ รับรองจะติดใจ



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/22794if

5. Cold Stone Creamery Central World
ร้านไอศกรีมเจ้าดังสัญชาติอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากมาย จนสามารถขยายสาขาไปมากกว่า 1,450 สาขาทั่วโลก ถือเป็นร้านไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมี่ยมรายแรกที่นำเอาไอศกรีมเข้มข้นเนื้อเหนียวนุ่มอร่อยลงตัวสไตล์อเมริกันมามิกซ์-อิน หรือผัดกับส่วนผสมแสนอร่อยบนแผ่นหินแกรนิตเย็นจัดสมชื่อร้าน "Cold Stone" แถมยังมีไอศกรีมให้ลิ้มรสถึง 20 รสชาติอีกด้วย เช่น Cheese Cake Fantasy, Strawberry Banana Rendezvous, Oreo Overload แต่ถ้ายังไม่พอใจกับรายการไอศกรีมที่ทางร้านมีให้ล่ะก็ สามารถครีเอตไอศกรีมในแบบฉบับของตัวเองได้เลย เพียงแค่เลือกไอศกรีมรสที่ชอบ แล้วจับคู่กับส่วนผสมอื่นๆ เช่น มาร์ชเมลโล ถั่วพีแคน เอ็ม แอนด์ เอ็ม เกล็ดช็อกโกเเลต และยังสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะใส่ไอศกรีมลงในวัฟเฟิลอบกรอบด้วยรึเปล่า เมื่อเลือกส่วนผสมได้แล้ว ก็ให้พนักงานผัดไอศกรีมตามกรรมวิธีเฉพาะของ "Cold Stone" ได้เลย...เท่านี้ก็จะได้ไอศกรีมที่มีรสชาติเฉพาะตัวแล้ว แถมยังเป็นไอศกรีมเนื้อเหนียวนุ่ม และละลายช้าอีกต่างหาก



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/3595iY

6. Buff Tim ไอติมบุฟเฟต์ Mega Bangna
ใครที่ชอบกินไอศกรีมใส่ Topping เยอะๆ จุใจล่ะก็คงจะถูกใจร้านไอศกรีมสไตล์โมเดิร์นร้านนี้ เพราะที่นี่นอกจากจะมีไอศกรีมโฮมเมดระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่ภายในเต็มไปด้วยวัตถุดิบคุณภาพจนได้ไอศกรีมเข้มข้นเนื้อเนียนละเอียดให้ได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็น รสกล้วย(Banana chesse), รสช็อกโกแลต (rocky road), รสโยเกิร์ตสตรอเบอรี่, รสวานิลา, รสมะขาม, รสมิ้นท์ , รสรัมลูกเกด, รสชาไทย, รสชาเขียว, รสมิกซ์เบอรี่ , รสมะนาว, รสเบียร์ แล้วทางร้านยังมีบริการ Topping แบบบุฟเฟ่ต์ให้เราเลือกใส่ได้ไม่อั้นตามสโลแกนของร้านที่ว่า "Toppings Buffet for Fun” ที่ให้เราสนุกไปกับการเลือกชิม Topping ซึ่งมีให้เลือกมากกว่า 70 ชนิด เช่น ถั่ว, อัลมอนด์, ลูกอม, เชอรี่, สตรอเบอรี่, ถั่วแดงบด, ลูกพีท, เจลลี่, ขนมปัง ไม่ว่าจะอยากละเลงไอศกรีมรสโปรดให้มีหน้าตา สีสัน หรือเพิ่มรสชาติแฝงแบบไหนก็เพียงแค่ใส่ Topping ที่เราชอบลงไปเท่านั้นเอง



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/22903iY

7. Freshy Freeze Central World
หลายคนที่ชอบกินไอศกรีมคงคุ้นเคยกับการนำไอศครีมมาผัดบนเตาเย็นกันมาบ้าง แต่ Freshy Freeze ถือเป็นร้านไอศกรีมผัดแบรนด์ไทยเจ้าแรกของบ้านเราเลยก็ว่าได้ ไอศกรีมของที่นี่แตกต่างกับร้านอื่นตรงที่ถ้าได้ลองทานอาจหลงคิดว่าเป็นไอศกรีมจากประเทศญี่ปุ่นเพราะนอกจากไอศกรีมจะเนื้อเนียนหวานกำลังดีแล้วรสชาติของไอศกรีมของที่นี่ยังมีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นสูงทั้งที่ความจริงแล้วไอศกรีมของร้านนี้เป็นสูตรที่คิดค้นโดยคนไทยทั้งหมด ใครที่อยากทานไอศครีมร้านนี้ก็เพียงสั่งไอศครีมที่ต้องการทางร้านก็จะนำเบสไอศกรีมนมสดสูตรเฉพาะปั่นกับรสชาติที่เราต้องการ อย่าง ชาเขียว ช็อกโกแลต วานิลา หรือถ้าใครเลือกรสผลไม้ ทางร้านจะปอกเปลือกและใส่ผลไม้ผสมลงไปด้วย จากนั้นก็จะนำมาเทบนเตาเย็นและเริ่มผัดที่เราสามารถเลือกผลไม้สดทั้ง เมล่อนญี่ปุ่น พีช สตรอว์เบอร์รี่ กล้วยหอม และมะม่วงน้ำดอกไม้ หรือประเภท Premium Selections เคี้ยวสนุกปาก ทั้ง โอรีโอ คุกกี้ช็อคโกแลต อัลมอนด์ มาร์ชแมลโล ซึ่งถ้าใครอยากใสท็อปปิ้ง หรือราดซอสเพิ่มเติมก็สั่งได้ แต่ถ้าอยากทานคู่กับขนมแบบเป็นชิ้นเป็นอันก็ทานคู่กับวาฟเฟิลหรือ French Crepe ก็มี ใครที่มา Freshy Freeze นอกจากจะได้กินไอศกรีมแล้วยังได้ดูพนักงานผัดไอศครีมกันเพลินๆ กันด้วยนะ



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/11397jJ

8. Kane Mochi Central  พระราม 9
หากใครชอบกินไอศครีมสไตล์ญี่ปุ่นเป็นทุนแถมยังหลงใหลในขนมญี่ปุ่นอย่าง โมจิอีกล่ะก็ ร้าน Kane Mochi น่าจะตอบโจทย์ได้ไม่น้อย เพราะที่นี่เขานำเอาโมจิรสชาติแบบต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ มาสอดไส้ไอศกรีมแทนที่ไส้ถั่วแดงกวนหรือถั่วเขียวบดให้คนขี้ร้อนได้เลือกอร่อยถึง 10 รส ทั้ง รส ชาเขียว วนิลา ช็อกโกแลต กาแฟ สตรอเบอร์รี่ บลูเบอรี่ นม มะนาว ชานม โยเกิร์ต นอกจากไอศกรีมโมจิแล้วที่นี่ยังมีไอศกรีมอีก 12 รสและท็อปปิ้งที่มีมากกว่า 15 ชนิดให้เราสามารถเลือกมิกซ์แอนด์แมทช์ตามความพอใจ เรียกว่าเป็นไอศกรีมที่มีรูปแบบแปลกใหม่แถมอร่อยมากใครที่เป็นสาวกคนรักขนมญี่ปุ่นในบ้านเราคิดอยากดับร้อนด้วยของกินเย็นๆ อย่าลืมไปลองชิมไอศกรีมโมจิของร้านนี้ล่ะ



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/14687oB

9. Buddhi Belly Central World
ร้านไอศกรีมตกแต่งด้วยสีขาวสบายตาที่มีโลโก้เป็นตัวการ์ตูนหน้าคนยิ้มที่มีผมเป็นไอศกรีมร้านนี้ เรียกว่าเป็นร้านไอศกรีมสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะไอศครีมของ Buddhi Belly เป็นไอศครีม Frozen Yogurt เนื้อเนียนละเอียดละมุนละไมที่ผ่านการคิดและเลือกสรรวัตถุดิบมีคุณภาพที่ให้รสชาติหวานผสมเปรี้ยวอย่างลงตัวไม่มีเลี่ยน ขนาดที่คนไม่ชอบโยเกิร์ตยังหลงรัก แถมยังมีท็อปปิ้งเป็นผลไม้สดชั้นดีให้เลือกเติมความสดชื่นกันได้หลากหลาย และด้วยความที่ร้านนี้มีคอนเซปต์เน้นความคิดสร้างสรรค์แต่ละเมนูที่เขารังสรรค์เลยนำเอาชื่อของจิตรกรหรือศิลปินมาตั้งให้เราสะดุดหู อย่าง เฉลิมชัย ไอศกรีมที่มาพร้อมกับ topping ที่เป็นผลไม้ไทยๆ ทั้งมะม่วง กล้วย สัปปะรด หรือจะอยากรู้สึกอินเตอร์ขึ้นมาหน่อยลองเป็น Leonardo ไอศกรีมที่อุดมไปด้วย topping ผลไม้นำเข้า ทั้งส้มแมนดาริน กีวี่ สตอรเบอร์รี่ หรือถ้าอยากอร่อยในสไตล์ตัวเองเราก็สามารถเลือกรสไอศครีมและ Topping ได้เหมือนกัน นอกจากไอศกรีมแบบเฮลท์ตี้แล้ว ที่นี่ยังมี Smoothie ที่รสชาติมีเอกลักษณ์แตกต่างจากร้านอื่นโดยสิ้นเชิง



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/8426wN

10. Milk Solid (สยามพารากอน)
ปิดท้ายด้วยร้านไอศกรีมไอเดียดีที่มีแนวคิดแบบหลักวิทยาศาสตร์และมีวิธีการทำสุดอลังการให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตื่นตาตื่นใจเล่นกับร้าน Milk Solid ที่ใช้ ไนโตรเจนเหลวมาทำปฏิกิริยากับน้ำให้เย็นตัวจนกลายเป็นไอศกรีมรสชาติเข้มข้นเนื้อเรียบเนียน เหนียวนุ่มไร้เกล็ดน้ำแข็ง ที่มีให้เลือกด้วยกัน 6 รส ได้แก่ Madagascar Vanilla, France coffee, Green tea mint, Mango passion fruit, Pink guava sorbet และ Chocolate มาพร้อมกับท็อปปิ้งอีกมากมายที่เรียงรายในขวดทดลองวิทยาศาสตร์ให้เราเลือกใส่ได้ดั่งใจคิด ใครที่อยากกินไอศกรีมอร่อยๆ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนดูรายการวิทยาศาสตร์ไปด้วยล่ะก็รับรองมาที่นี่ไม่ผิดหวัง



อ่านรายละเอียดและรีวิวทั้งหมดของร้านได้ที่นี่ : http://www.wongnai.com/restaurants/15103SO

ขอขอบคุณที่มา : http://www.wongnai.com/listings/yummy-ice-cream-in-mall
http://www.wongnai.com

หน้า: [1]