ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - สมศิริ มั่งมีศรีสุข

หน้า: [1]
1

การ “ร้อยไหม” เป็นการปรับรูปหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มดารา เซเลบ และบุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมความงาม แต่ก่อนจะตัดสินใจเข้ารับการร้อยไหม มีหลายสิ่งที่ควรทำความเข้าใจเสียก่อน เพื่อให้การร้อยไหมเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ร้อยไหม ปลอดภัยหรือไม่ ใช้ไหมอะไร ?

การร้อยไหม ถือเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ไหมที่ได้มาตรฐาน ไหมที่นิยมใช้ในการร้อยไหม ได้แก่ ไหม PDO (Polydioxanone) ซึ่งเป็นไหมละลายที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ มีความปลอดภัยสูง นิยมนำมาใช้ในการเย็บแผลทางการแพทย์


นอกจากนี้ยังมีไหม PCL (Polycaprolactone) ที่ให้ผลการกระชับได้นานกว่า และไหม PLLA (Polylactate) ที่ทำจากสารโพลีแลคติกแอซิด พัฒนาต่อมาจากไหม PDO จุดเด่นคือมีความแข็งแรง ทนต่อแรงดึงได้ดีที่สุด
 
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำการร้อยไหมกับสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจได้รับการร้อยไหม ด้วยเส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ ร้อยไหมผิดเทคนิค ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

ร้อยไหมตำแหน่งไหนได้บ้าง ตำแหน่งไหนได้รับความนิยม

การร้อยไหมสามารถทำได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า เพื่อเสริมความกระชับ เติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้สวยงาม ตำแหน่งยอดฮิตที่ได้รับความนิยม ได้แก่

- ร้อยไหมแนวกราม กรอบหน้า ช่วยกระชับผิวหน้าให้เรียวสวย ดูอ่อนเยาว์
- ร้อยไหมหน้าเรียว ยกกระชับใบหน้าให้ตึง และวีเชฟ มากขึ้น
- ร้อยไหมจมูก-ดั้ง ปรับรูปทรงจมูกให้โด่งพุ่งมากขึ้น
- ร้อยไหมหางตา แก้ปัญหาหางตาตก
- ร้อยไหมยกคิ้ว ยกกระชับคิ้วให้ดูสูงขึ้น ไม่หย่อนคล้อย


ร้อยไหม มีข้อเสียหรือผลข้างเคียงหรือไม่

ข้อเสียของการร้อยไหมที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวม ช้ำ เจ็บ หลังการร้อยไหม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ในช่วง 3-5 วันแรกและจะค่อย ๆ ทุเลาลง บางคนอาจมีอาการคัน รู้สึกเป็นเม็ดใต้ผิวบริเวณที่ร้อยไหม ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปเมื่อไหมเริ่มมีการย่อยสลาย

นอกจากนี้ผลข้างเคียงที่อาจเกิด ได้แก่ การอักเสบติดเชื้อ ไหมโผล่ การระคายเคือง มีติ่งเนื้อ ซึ่งพบได้น้อยหากใช้ไหมที่มีคุณภาพและทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

อีกหนึ่งข้อเสียของการร้อยไหมคือไม่สามารถคงผลได้ถาวร เพราะไหมจะถูกย่อยสลายไปตามเวลา เมื่ออายุการใช้งานผ่านไป  แต่ก็สามารถกลับไปร้อยไหมซ้ำได้ตามความเหมาะสม

อาการหลังร้อยไหมที่ควรรู้

อาการหลังร้อยไหมที่ควรรู้ อาการหลังการร้อยไหมที่พบได้ทั่วไป ได้แก่

- บวม และช้ำแดง เป็นอาการปกติที่พบได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการร้อยไหม
- อาการคัน และรู้สึกเป็นเม็ดกดเจ็บใต้ผิว เป็นเรื่องปกติที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อไหม จะค่อยๆทุเลาลง
- เจ็บ หรือปวด บริเวณที่ฉีด เป็นอาการตกค้างหลังการทำ สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
- หน้าบวมหรือเบี้ยวชั่วคราว เนื่องจากการฉีดไหมไม่สมดุลหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะค่อยๆดีขึ้น

แต่หากมีอาการอื่น ๆ ผิดปกติภายหลังการร้อยไหม เช่น ไข้สูง มีผื่น หนอง แดงบวมมาก ปวดมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา

หลังร้อยไหม กี่วันถึงเข้าที่ อยู่ได้นานไหม ?

หลังร้อยไหมในช่วง 7-10 วันหลังการร้อยไหมจะมี อาการบวม ชา จะเริ่มลดลง หลังจากนั้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ รูปหน้าจะเริ่มเข้าที่ ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้น และเมื่อการร้อยไหมเข้าที่เต็มที่ ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของไหมที่ใช้ สภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังร้อยไหม

- กรณีไหมละลาย PDO ผลลัพธ์จะอยู่ได้ราว 6 เดือนถึง 1 ปี
- ไหม PCL ให้ผลที่อยู่ได้นานกว่า โดยอยู่ได้ถึง 1 ปี
- ไหมถาวร PLLA ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่า ประมาณ 18 เดือน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลการร้อยไหมคงอยู่ได้นานที่สุด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หมั่นทาครีมกันแดด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกาย เพื่อบำรุงผิวพรรณ ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน และความกระชับของผิว
ก่อนตัดสินใจร้อยไหม ต้องรู้อะไรบ้าง ถึงจะไม่เสี่ยง

หากคุณสนใจอยากร้อยไหม เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการร้อยไหม ควรทำความเข้าใจและเตรียมตัวก่อนตัดสินใจ ดังนี้

- ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการร้อยไหมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เข้าใจขั้นตอน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำรายละเอียดเฉพาะบุคคล วิเคราะห์รูปหน้า เพื่อเลือกรูปแบบการร้อยไหมและไหมที่เหมาะสม
- ตรวจสอบคุณสมบัติ ความน่าเชื่อถือของแพทย์และสถานพยาบาลที่จะเข้ารับการร้อยไหม ว่ามีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์สูง
- ตรวจสอบแหล่งที่มาของไหมที่ใช้ ต้องได้มาตรฐาน อย. ไหมต้องใหม่และปราศจากเชื้อ
- ไม่ร้อยไหมในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดอาการบวมช้ำได้มากกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการร้อยไหมหากมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้
- ปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนทำการร้อยไหม หากเคยทำศัลยกรรมหรือฉีดสารอื่นๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์มาก่อน ควรแจ้งแพทย์อย่างละเอียด
- หยุดยาละลายลิ่มเลือด วิตามิน หรืออาหารเสริมล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนร้อยไหม เพื่อลดความเสี่ยงของเลือดออกหรือจ้ำเลือดใต้ผิวหนัง
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ก่อนและหลังการร้อยไหม 1-2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้แผลหายช้า

หากเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งดูแลตัวเองให้ดีหลังการร้อยไหม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

สรุป

การร้อยไหมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการชะลอวัยและแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน การร้อยไหมถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ หากได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกใช้ไหมที่ได้มาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด คนที่สนใจร้อยไหมควรศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน ผลลัพธ์ รวมถึงข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญสูง ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

2
เคยไหม ? มองกระจกแล้วรู้สึกว่าใบหน้าดูโทรม ดูแก่ก่อนวัย ขมับตอบ โหนกแก้มสูง ขมับลึก ใบหน้าดูเหนื่อยล้า

“ฟิลเลอร์ขมับ” เป็นทางออกง่าย ๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาขมับที่ยุบหรือเว้าลึก ต้นเหตุปัญหาทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วนและดูแก่กว่าวัยจริง ช่วยให้ใบหน้ากลับมาดูอิ่มเอิบและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้ทันทีหลังฉีด

สำหรับใครที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ขมับ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนการตัดสินใจทำเอาไว้ให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ขมับคืออะไร ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ราคาเท่าไร ?

แก้ขมับฉบับเร่งด่วน ฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ขมับ เป็นวิธีแก้ไขขมับยุบหรือตอบ ด้วยการใช้เข็มฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปในบริเวณขมับที่ยุบหรือลึก ให้ดูเต็ม เต่งตึง ชุ่มชื้น และมีมิติมากขึ้น เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูหวานและมีสัดส่วนที่สวยงาม โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือการผ่าตัดใด ๆ

รวมประโยชน์ฟิลเลอร์ขมับ ช่วยอะไร ?
  • ช่วยเติมเต็มบริเวณขมับที่ยุบหรือตอบ ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสมดุลมากขึ้น แบบเห็นผลเร่งด่วน
  • ช่วยปรับรูปหน้าให้ ละมุน และอ่อนเยาว์ขึ้น โดยลดความเด่นของโหนกแก้ม โหนกคิ้ว
  • ช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้ได้สัดส่วนสวยงาม
  • ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินภายในผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น
  • ช่วยเสริมโหงวเฮ้งขมับให้ดูดีขึ้นตามตำรา ทำให้หน้าดูสดใส ไม่โทรม

เช็กก่อนฉีด! ฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นหัตถการที่ปลอดภัยแต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะบริเวณขมับมีเส้นเลือดสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังลูกตา การฉีดจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ค่อนข้างมากในแต่ละจุด

ดังนั้น การเลือกคลินิกและแพทย์ที่ได้มาตรฐานและมีประสบการณ์สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนเลือกควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนี้

เช็กให้ชัวร์! ก่อนเลือก “คลินิกฉีดฟิลเลอร์ขมับ”

✓ ควรเลือกคลินิกที่มีป้ายชื่อ เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล แสดงอยู่ในที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ประจำอยู่
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีรีวิวฉีดฟิลเลอร์ขมับจริง จากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกนั้น ๆ ผ่านแหล่งที่เชื่อถือได้
✓ ควรเลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ใหม่ต่อหน้าทุกครั้ง และสามารถขอนำกล่องตัวยากลับบ้านได้
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีบริการปรึกษาออนไลน์ สามารถส่งรูปหน้ามาให้แพทย์ประเมินก่อนได้ฟรี
 
และ ก่อนตัดสินใจเลือก “แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ขมับ” ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง คำนวณปริมาณฟิลเลอร์เหมาะสม รู้ตำแหน่งของเส้นเลือดสำคัญ ผ่านการฉีดฟิลเลอร์ขมับมาหลายเคส สามารถประเมินภาพรวมของใบหน้าและใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เช่น เทคนิคฉีดชิดกระดูก เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย

เมื่อเลือกคลินิกและแพทย์ที่เหมาะสมแล้ว ควรศึกษาถึงปัญหาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ขมับ เพื่อเตรียมตัวและรับมืออย่างเหมาะสมค่ะ

ทำความรู้จักผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ อาการที่อาจเกิดขึ้น!
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ตาม คือ
  • อาการบวมบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ อาจเกิดจากการบวมเข็มและเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งจะยุบลงและหายได้เองเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์
  • อาการปวดศรีษะ เนื่องจากขมับเป็นจุดรวมเส้นประสาทและไวต่อความรู้สึก อาการปวดอาจหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน หากปวดมากสามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ
ทั้ง 2 อาการนี้โดยทั่วไปจะดีขึ้นเองและไม่เป็นอันตราย ส่วนอาการฟิลเลอร์เป็นก้อน ย้อย หรือไหล มักเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้กับคลินิกที่เชื่อถือได้

เช็กความพร้อม ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใคร ?
ฟิลเลอร์ขมับ เป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนที่มีปัญหาใบหน้าดูไม่สมส่วนเนื่องจากโครงหน้าเหลี่ยม  กระดูกขมับยุบ หรือขมับตอบ จากการลดลงของไขมันและกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้หน้าดูโทรม หรือ คนต้องการปรับโครงหน้าให้เข้ากับหลักโหงวเฮ้ง ที่ไม่ต้องการฉีดไขมัน ไม่อยากผ่าตัดเสริมซิลิโคน เพราะกังวลเรื่องแผลติดเชื้อ

Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ขมับ
ฟิลเลอร์ขมับ กี่วันเห็นผล ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถเห็นผลได้ทันที และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ภายใน 14 วัน หลังอาการบวมลดลง หากหลังจากระยะเวลาดังกล่าวแล้วยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ ก็สามารถกลับมาฉีดเพิ่มเติมได้ ตามคำแนะนำของแพทย์ที่มีประสบการณ์
ฟิลเลอร์ขมับ อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ระยะเวลาการอยู่ได้ของฟิลเลอร์ขมับ ขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ เช่น
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Ultra Plus (อยู่ได้ 12 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Voluma  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Volux  (อยู่ได้ 18-24 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane รุ่น Volyme  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore รุ่น Max  (อยู่ได้ 9-12 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น RHA 2  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น RHA 3  (อยู่ได้ 12-18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น Ultra Deep  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis รุ่น Volume  (อยู่ได้ 6-9 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis รุ่น Deep Lidocaine  (อยู่ได้ 6-8 เดือน)
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เจ็บไหม ?
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ไม่เจ็บมากค่ะ อาจรู้สึกตึง ๆ ได้เล็กน้อย ก่อนฉีดจะมีการแปะยาชาให้ก่อนทำ และในฟิลเลอร์บางยี่ห้อก็มียาชาผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีด ไม่ต้องกลัวค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ งดนอนตะแคงกี่วัน ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรงดนอนตะแคงในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันไม่ให้กดทับจุดฉีดจนทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ราคาเท่าไหร่ ?
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ราคาเริ่มต้น 7,500-18,000 ต่อซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้จำนวนฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 ซีซี ก่อนตัดสินใจฉีดควรสอบถามกับคลินิกที่สนใจเกี่ยวกับราคาหรือโปรโมชันในช่วงนั้นให้แน่ใจค่ะ

สรุป
ฟิลเลอร์ขมับ ถือเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยเพิ่มความอิ่มเต็มให้ขมับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีมิติสวยงามขึ้น ถือเป็นวิธีในการปรับรูปหน้า ที่ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมดุลกับส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าได้อย่างตรงจุด ทำได้ง่าย เห็นผลลัพธ์ทันที โดยไม่รอพักฟื้น

สำหรับคนที่สนใจ ก่อนฉีดควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ ทำกับคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี

3


จำนวนมากเกินไป ทำให้ยากต่อการดูแลจนเกิดปัญหาสิ่งสกปรกสะสมได้ การกำจัดขนจึงช่วยให้ดูแลรักษาความสะอาดง่ายขึ้น ลดเหงื่อ ลดกลิ่นอับ เพิ่มความสวยงาม ความมั่นใจให้มากขึ้น ในบทความนี้จะพูดถึงวิธีการต่าง ๆ ในการกำจัดขนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงเปรียบเทียบวิธีการกำจัดขนในด้านต่าง ๆ

กำจัดขนด้วยวิธีไหนได้บ้าง ?

เมื่อก่อนมีเพียงวิธีการกำจัดขนที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เช่น การโกน หรือการถอน เป็นวิธีที่เรียบง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีสูง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้น ทำให้มีวิธีกำจัดขนให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยวิธีกำจัดขนที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ มีดังนี้

1.กำจัดขนด้วยการโกน



วิธีกำจัดขนแบบชั่วคราวที่ง่ายและรวดเร็ว ใช้ใบมีดโกนขนบริเวณที่ต้องการออก แต่ผลคงอยู่ได้ไม่นาน 1 - 2 วัน ขนก็เริ่มกลับมาขึ้นใหม่ วิธีนี้มีข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว กำจัดขนได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่ข้อเสียคือขนขึ้นใหม่เร็ว เสี่ยงต่อการเกิดบาดแผล และมีโอกาสเกิดขนคุดได้ง่าย

2.กำจัดขนด้วยการถอน

ใช้แหนบดึงถอนขนบริเวณพื้นที่เล็ก ๆ เช่น รักแร้ คิ้ว ขนหน้า ขนจะขึ้นมาใหม่ช้ากว่าการโกน แต่การถอนจะสร้างความระคายเคืองให้กับผิวได้มากกว่า ข้อดีวิธีนี้คือสะดวก สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ข้อเสียคือจะรู้สึกเจ็บขณะทำ หากทำไม่ถูกวิธี อาจทำให้รูขุมขนอักเสบ เกิดปัญหาขนคุดและตุ่มหนังไก่ตามมาได้

3.แว็กกำจัดขน

การแว็ก ใช้แว็กร้อนหรือเย็นจับเส้นขนแล้วดึงออก สามารถกำจัดขนได้ถึงโคน ซึ่งขนจะขึ้นช้ากว่าการโกน แต่จะรู้สึกเจ็บกว่า เหมาะสำหรับบริเวณขาและรักแร้ มีข้อดีคือกำจัดขนออกได้ทั้งราก ส่วนข้อเสียคือจะรู้สึกเจ็บได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และหากดึงไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวอักเสบ ระคายเคืองได้

4.ครีมกำจัดขน

การใช้ครีมกำจัดขน มีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถละลายเส้นขน นิยมใช้กำจัดขนบนแขนขา แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะคนที่ผิวบางแพ้ง่าย วิธีนี้ข้อดีคือราคาประหยัด หาซื้อได้ง่าย และไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ แต่ข้อเสียคือครีมกำจัดขนมักมีกลิ่นฉุน และอาจทำให้ระคายเคืองได้ง่าย

5.เลเซอร์ขนกำจัดขน



เลเซอร์กำจัดขน เป็นการใช้พลังงานเลเซอร์ทำลายรากขน เป็นวิธีกำจัดขนแบบถาวรที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีเลเซอร์ให้เลือกหลายแบบ ที่นิยมคือ DIODE LASER และ YAG LASER ทั้ง 2 แบบสามารถทำได้ทั่วร่างกาย แต่มองถึงประสิทธิภาพและความปลอด YAG LASER ตอบโจทย์ได้มากกว่า แต่ราคาก็แพงกว่า DIODE LASER เช่นกัน


ข้อดีของเลเซอร์ขนคือสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร สามารถช่วยหยุดการเติบโตของเส้นขน ทั้งขนเก่าเเละขนใหม่ที่กำลังจะเกิด ให้ลดน้อยลงเเละจางหายไปอย่างถาวรไม่ทำให้เกิดปัญหาขนคุดและตุ่มหนังไก่ ส่วนข้อเสียคือมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมา

6. IPL กำจัดขน

ใช้พลังงานแสงช่วยทำลายรากขน ราคาถูกกว่าเลเซอร์ แต่ก็ให้ประสิทธิภาพในการกำจัดขนน้อยกว่าเช่นกัน ปัจจุบันจึงไม่ได้รับความนิยม ในการนำมาใช้เพื่อกำจัดขน เพราะต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน ข้อดีวิธีนี้คือราคาไม่สูงชช จ็บน้อย แต่ข้อเสียคืออาจเสี่ยงทำให้ผิวไหม้ได้มากกว่า และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม หรือขนสีอ่อน

กำจัดขนวิธีไหนดีที่สุด ?

การจะเปรียบเทียบว่าวิธีการกำจัดขนแบบไหนดีที่สุด ต้องดูจากหลายปัจจับ รวมถึงความพึ่งพอใจในแต่ละบุคคล รวมด้วย เช่น

  • ด้านลักษณะการกำจัดขน
    - หากต้องกำจัดเส้นขนที่โผล่เหนือผิว : การโกน และการใช้ครีมกำจัดขน สามารถทำได้
    - กำจัดเส้นขนออกทั้งราก : การถอน การแว็ก การเลเซอร์ขน แนะนำทำเลเซอร์จะลดผลข้างเคียงได้ดีกว่า ไม่เสี่ยง ผิวอักเสบ เกิดขนคุด ผิวหนังไก่ ตามมา

  • ด้านผลลัพธ์
    - เห็นผลลัพธ์ชั่วคราว : การโกน การถอน การแว็ก และการใช้ครีมกำจัดขน
    - เห็นผลลัพธ์ถาวร (หากทำอย่างต่อเนื่อง) : การเลเซอร์ขน

  • ด้านราคา
    - ราคาประหยัด : การโกน การถอน การแว็ก และการใช้ครีมกำจัดขน
    - มีค่าใช้จ่ายสูง : การเลเซอร์ขน

  • ด้านความเจ็บ
    ขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึก ลักษณะเส้นขนและปริมาณเส้นขนของแต่ละคน
    - ไม่รู้สึกเจ็บ : การโกน และการใช้ครีมกำจัดขน
    - รู้สึกเจ็บ : การถอน การแว็ก การเลเซอร์ขน และการทำ IPL

    สรุป

    การเลือกวิธีกำจัดขนที่ดีที่สุดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งลักษณะผิว ความหนาแน่นของขน และงบประมาณ แต่หากมองในแง่ของผลลัพธ์และความคุ้มค่า การเลเซอร์ขนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร ครอบคลุมทุกบริเวณ รวมถึงไม่ทำให้เกิดขนคุด การเลเซอร์ขนจึงเป็นวิธีกำจัดขนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
    - https://www.thaifranchisecenter.com/forumboard/index.php?action=post;board=111.0 - https://www.thaifranchisecenter.com/forumboard/index.php?action=post2;start=0;board=111

4
ในยุคสมัยที่ทุกคนต่างแสวงหาความงามและความอ่อนเยาว์ การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการชะลอวัยและเพิ่มความสดใสให้ใบหน้าคือ การฉีด “ฟิลเลอร์ร่องแก้ม” ค่ะ

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึกได้ปลอดภัยแค่ไหน ? เหมาะกับใครบ้าง ? ที่สำคัญช่วยให้หน้าเด็ก เต่งตึง อย่างเป็นธรรมชาติ ได้จริงหรือไม่ ?  บทความนี้มีคำตอบ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใดได้บ้าง ?
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม (Cheek Filler) คือ การใช้สารเติมเต็ม HA ฉีดเข้าไปในบริเวณแก้มที่หย่อนคล้อยหรือมีร่องลึก เพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ เต่งตึง และอ่อนเยาว์ ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าซ้ำๆ และใบหน้าที่เหี่ยวย่นจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการชะลอความเสื่อมของผิวและเพิ่มความกระชับให้ใบหน้า

ฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยทำให้หน้าเด็กลงได้อย่างไร ?
เมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่นและคอลลาเจน ทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มปริมาตรให้แก้มอิ่มเอิบ ใบหน้าจึงดูเด็กลง ไม่โทรม เมื่อใบหน้าได้รับการเติมเต็ม ยังส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูกระชับ ยกกระชับและเต่งตึงขึ้น จึงช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ และทำให้หน้าดูเด็กลงได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับใครบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา

  • ร่องแก้มลึก แก้มตอบ  จากอายุที่มีขึ้น
  • ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยจากวัยที่เพิ่มขึ้น จนเสียความมั่นใจ
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด
นอกจากนี้ผู้ที่มีใบหน้าผอม แก้มลีบ หรือขาดมิติ ก็สามารถเลือกใช้วิธีนี้ในการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มเอิบ สดใส และอ่อนวัยได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญเห็นผลรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรทำคู่กับหัตถการใด ที่ทำให้หน้าเด็ก อ่อนเยาว์
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถทำควบคู่ไปกับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณอื่น ๆ ของใบหน้า เพื่อสร้างความสมดุลและกลมกลืน เช่น ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฟิลเลอร์คาง ที่ช่วยปรับรูปหน้า เพิ่มความกระชับ และลดริ้วรอย
นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถทำคู่กับการรักษาอื่น ๆ เพื่อผลลัพธ์มีประสิทธิภาพ เช่น การร้อยไหม การฉีดโบท็อก การฉีดเมโสหน้าหน้าใส รวมถึงเครื่องยกกระชับอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ และระยะห่างในการทำอย่างเหมาะสม  เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื่น และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ เท่าไร กี่ CC ?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดร่องแก้มจะแตกต่างกันตามสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ปริมาณ 1-2 ซีซี (cc) ต่อข้าง รวมเป็น 2-4 ซีซีต่อการทำ 1 ครั้ง

ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำปริมาณที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงสัดส่วนใบหน้า ความสมดุล และผลลัพธ์ที่ต้องการ ควรทยอยฉีดเพื่อควบคุมปริมาณและสร้างความเป็นธรรมชาติ ไม่ควรฉีดปริมาณมากจนเกินไปในครั้งเดียว เพราะอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เหมาะสม ราคาแพงไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม มีฟิลเลอร์ให้เลือกใช้หลายยี่อห้อ เช่น Juvederm, Restylane, Belotero เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นฟิลเลอร์แบรนด์ดัง ที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับ ปลอดภัย สลายได้ตามธรรมชาติ

โดยปกติแล้วราคาของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ในช่วง 10,000-20,000 บาทต่อ 1 ซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและคลินิกที่เลือกใช้บริการ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคากับประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว ฟิลเลอร์เหล่านี้ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน เพื่อเติมเต็มร่องแก้มและเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าอย่างมั่นใจ เพราะสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน  8-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มดีไหม ก่อนฉีดมีอะไรบ้างที่ควรรู้ ?
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องแก้มตื้น และเพิ่มความอิ่มเอิบให้ใบหน้า ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอความเสื่อมของผิวและเสริมความอ่อนเยาว์ แต่ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ สิ่งที่ควรพิจารณา คือ

  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและข้อบ่งชี้ในการฉีด
  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานและเป็นยี่ห้อที่เชื่อถือได้
  • ฉีดในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
  • ทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการบวม ช้ำ และไม่สมมาตร
  • ดูแลรักษาผิวภายหลังการฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ระวังการสัมผัสแดดจัด งดกด บีบ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เป็นต้น

สรุป

มาถึงตรงนี้จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้คุณสามารถชะลอวัย สร้างความอ่อนเยาว์ และเติมเต็มความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ความงามที่แท้จริงเป็นสิ่งที่มาจากภายใน การเติมเต็มสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์ พยายามไม่เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ก็จะช่วยให้เรามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ได้อย่างยั่งยืนค่ะ



5

ฟิลเลอร์ คือ หัตถการที่มักได้รับคำแนะนำให้ทำเป็นอย่างแรก ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้า เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? แท้จริงแล้วฟิลเลอร์ คือ ตัวช่วยชั้นดีที่สามารถลดเลือนริ้วรอย ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม ร่องใต้ตา แถมยังปรับเสริมเติมแต่งรูปหน้าในแบบที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะสายเกา หรือสายฝอ รับรองว่าเอาอยู่หมด

มาถึงตรงนี้ เพื่อน ๆ อาจจะมีคำถามกันแล้วว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร ? มีข้อดีอย่างไร ? เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ? ฟิลเลอร์แท้ดูได้จากอะไร ? บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปไขข้อข้องใจกันค่ะ

ฟิลเลอร์ คืออะไร ? ทำไมมักถูกแนะนำให้ทำ


อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้นนะคะเพื่อน ๆ ว่าหัตถการอย่างแรก ๆ ที่มักได้รับการแนะนำให้ทำ คือ การฉีดฟิลเลอร์ ที่ช่วยแก้ปัญหาบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม ปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA ที่ฉีดเสริมเข้าไปในใต้ชั้นผิว เพื่อทดแทนคอลลาเจน และอิลาสตินที่ยุบตัวลง ช่วยยกพยุงกระดูก ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวที่มีริ้วรอยร่องลึกบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์ ปรับรูปหน้าให้มีมิติ มีความสมดุลมากขึ้นได้

นอกจากความหมายข้างต้นแล้ว ฟิลเลอร์ยังมีความหมายในทางการแพทย์ด้วยนะคะ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะแตกต่างจากความเข้าใจเดิมของเพื่อน ๆ ได้ มาทำความรู้จักฟิลเลอร์ในความหมายอื่นไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

ฟิลเลอร์ในความหมายทางการแพทย์

ในทางการแพทย์แล้ว ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มทุกชนิดที่ฉีดเข้าร่างกาย ไม่ได้จำกัดว่าเป็นสารใดสารหนึ่งค่ะ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

1. ประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA เป็นฟิลเลอร์ที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะนิยมใช้กันทั่วโลกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายเองได้หมดตามธรรมชาติในระยะเวลา 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์นั้น ๆ โดยไม่มีสารตกค้างใดในร่างกาย

2. ประเภท Transplanted Fat หรือการฉีดไขมัน เป็นการดูดไขมันจากบางส่วนของร่างกายแล้วย้ายไปเติมในจุดที่ต้องการปรับแก้ โดยนิยมใช้กับคนที่ต้องการฉีดครั้งละมาก ๆ หรือต้องการฉีดต่อครั้ง 10-20 cc ขึ้นไป

3. ประเภท Collagen ฟิลเลอร์กลุ่มนี้จำพวกที่สกัดมาจากสัตว์ เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่างด้วยกัน สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ หรือทำให้เกิดอาการบวมแดงได้ง่ายด้วยค่ะ

4. ประเภท Biosynthetic polymers กลุ่มของซิลิโคนเหลว เช่น Polymethylmethacrylate ซิลิโคนเหลวกลุ่มนี้เป็นอันตรายมาก เนื่องจากไม่สามารถสลายได้หมดค้างอยู่ในชั้นผิว ไม่มีความปลอดภัย และไม่ผ่านการรับรองจากอย. ไม่แนะนำให้ใช้ฟิลเลอร์ประเภทนี้เลยนะคะน่ากลัวมาก ๆ

ฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และอนุญาตให้ฉีดเข้าสู่ร่างกายได้ คือ ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA นั่นเองค่ะ

ข้อดีของการใช้ ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

- หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ในส่วนต่าง ๆ บริเวณใบหน้าได้
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผลเป็นให้กวนใจ
- แก้ไขปัญหาจุดที่ต้องการความละเอียดสูงได้ เช่น บริเวณใต้ตา ร่องแก้ม
- แก้ไขปัญหาจุดที่มีปัญหาได้อย่างแม่นยำ ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- สามารถเติมฟิลเลอร์ได้เรื่อย ๆ หากต้องการเสริมใบหน้าตรงจุดไหนเพิ่มเติม
- มีความปลอดภัย ไม่เกิดอาการแพ้ และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ไว้ในร่างกาย
- ไม่ต้องเสี่ยงกับยาสลบสามารถฉีดได้เลย

ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

ฟิลเลอร์ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะเป็นสารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid ที่สร้างเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง นิยมใช้ในวงการแพทย์ และคลินิกเสริมความงามกันอย่างแพร่หลาย

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ คืออะไร ? ดูอย่างไรไม่ให้โดนหลอก

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องให้แพทย์เปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าเท่านั้น

ฟิลเลอร์แท้ คือ ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์กรอาหารและยา (อย.) ไทย และ องค์การอาหารและยา (FDA) จากสหรัฐอเมริกา สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง เพื่อน ๆ ควรรู้วิธีสังเกตฟิลเลอร์ด้วยนะคะว่าเป็นของแท้หรือไม่ มีบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายหรือเปล่า โดยสังเกตได้จาก

- บนกล่องบรรจุภัณฑ์ต้องมีเลขทะเบียนอย.
- ภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย
- เลข Lot. ของกล่อง ซอง สติ๊กเกอร์ และหลอด ทั้ง 4 จุดต้องตรงกัน
- สามารถนำเลข Lot. โทรสอบถามกับบริษัทที่นำเข้า และจัดจำหน่ายโดยตรงได้

ข้อมูลข้างต้นคือวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้คร่าว ๆ เพราะแต่ละยี่ห้อจะมีจุดสังเกตต่างกันไปเล็กน้อยค่ะ ที่สำคัญก่อนฉีดเพื่อน ๆ จะต้องให้แพทย์ทำการแกะฟิลเลอร์ออกจากกล่องต่อหน้าด้วยนะคะ เพื่อให้มั่นใจว่ากล่องฟิลเลอร์ยังไม่ถูกเปิดผนึก และได้ฟิลเลอร์แท้แน่นอนค่ะ

สรุป

เพื่อน ๆ คงได้คำตอบกันแล้วใช่มั้ยคะว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร ? ความหมายในแบบต่าง ๆ ของฟิลเลอร์ คืออะไรบ้าง ? หากเพื่อน ๆ สนใจหัตถการนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นฟิลเลอร์กลุ่ม HA แต่เพื่อน ๆ จะต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดข้อผิดพลาด สามารถมั่นใจถึงผลลัพธ์ และความปลอดภัยได้แน่นอนค่ะ

6
ร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไร ? ต่างจากไหมชนิดอื่นอย่างไร ?


“ร้อยไหมก้างปลา” เป็นเทคนิคการยกกระชับใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการใช้เส้นไหมสอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อยกหน้าพร้อมกับกระตุ้นคอลลาเจน เห็นผลได้ทันที เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้ดูเรียว วีเชฟขึ้น อย่างเร่งด่วน

สำหรับใครที่สนใจ อยากรู้ว่าร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ? ช่วยอะไร ? เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร ? ราคาเท่าไหร่ ? ร้อยไหมก้างปลา VS ร้อยไหมชนิดต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร ? อาการและปัญหาที่ควรรู้ หลังร้อยไหมก้างปลา มีอะไรบ้าง ? สามารถศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำ ในบทความนี้ได้ค่ะ

ร้อยไหม คืออะไร ?


ร้อยไหม (Thread lift) คือ เทคนิคการยกกระชับใบหน้า หรือ การปรับรูปหน้า โดยใช้เส้นไหมเล็ก ๆ หลายเส้น สอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อยกและยืดผิวหนัง รวมถึงกระตุ้นคอลลาเจนในผิวบริเวณที่ต้องการ แก้ไขปัญหาผิว เช่น ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ยกแก้มหย่อน ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง

ร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ?


ร้อยไหมก้างปลา คือการร้อยไหมเงี่ยงที่มีลักษณะคล้ายก้างปลา ร้อยเข้าไปในชั้นผิวโดยการใช้เข็มนำเส้นไหม เพื่อให้ไหมเกี่ยวผิวให้ยกกระชับ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมถึงเส้นใยอีลาสตินขึ้นใหม่เพื่อช่วยประคองผิวให้ตึงกระชับเข้ารูป ปรับหน้าเรียว รวมถึงลดความหย่อนคล้อย

ลักษณะไหมก้างปลา


นอกจากนี้การร้อยไหมเงี่ยง ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ  เช่น ไหมก้างปลา, ไหมเงี่ยงกุหลาบ,ไหมก้างปลา 8D, ไหม Rose, ไหมฟันฉลาม, ไหมจระเข้, ไหมปิรันย่า, ไหมล็อค,ไหมค็อก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการตั้งชื่อของแต่ละคลินิก เพื่อความแตกต่างทางการค้า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การร้อยไหมเงี่ยงจะมีหลายชื่อ แต่ประเภทเส้นไหมทั้งหมดล้วนเป็นไหม bidirectional barbed thread ด้วยกันทั้งหมด แตกต่างกันเพียงแค่วัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมค่ะ

วัสดุที่ใช้ ในการร้อยไหมก้างปลา

วัสดุที่ใช้ในการร้อยไหมก้างปลา จะเป็นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์  มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง ผลิตมาจากวัสดุ 3 ชนิด ที่ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลหรือนำมาใช้ทางการแพทย์

วัสดุ 3 ชนิดที่ใช้ในการผลิตไหมก้างปลา

ขอบคุณภาพ : V Square Clinic

- วัสดุไหม PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมสีขาว รุ่นใหม่ล่าสุด มีความยืดหยุ่นสูง แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย อยู่ได้นานที่สุด มักถูกนำมาผสมกับไหม PLLA + PCL เพื่อให้ไหมสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี และคงอยู่ได้นานขึ้น
- วัสดุไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นไหมสีขาว ที่ถูกพัฒนามาจาก PDO กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่น บาง เปราะ หักง่าย จึงไม่เป็นที่นิยม
- วัสดุไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ ร้อยง่าย บวมน้อย ยืดหยุ่นสูงสุดในวัสดุ 3 ชนิด

ร้อยไหมก้างปลา ช่วยอะไร ?

- ช่วยยกกระชับผิว เพิ่มความชัดให้กรอบหน้า และปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้มหย่อน
- ช่วยลดแก้มตอบ เพิ่มเนื้อแก้มตอบให้ดูเต็ม
- ช่วยเสริมจมูกให้โด่งสวย รับกับใบหน้า
- ช่วยลดริ้วรอย ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

รีวิวก่อนทำ-หลังทำ
ร้อยไหมหน้าเรียว ยกกระชับหน้าหย่อนคล้อย





ร้อยไหมก้างปลา บริเวณไหนได้บ้าง ?


การร้อยไหมก้างปลา สามารถนำไปร้อยได้หลายจุดบนใบหน้า ดังนี้
จมูก : เพื่อช่วยปรับทรงสันจมูกให้ดูโด่งขึ้น มีเนื้อเพิ่มขึ้น ให้ผลลัพธ์คล้ายการเสริมซิลิโคน
ร่องแก้ม : เพื่อช่วยยกแก้มให้ตึงกระชับ แก้ปัญหาแก้มตก แก้มห้อย หรือร้อยไหมเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียว V Shape
หน้าผาก : เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยหน้าผาก  หน้าผากหย่อนคล้อย แต่ไม่ค่อยนิยม เพราะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาตรงจุด แนะนำฉีดโบท็อกลดริ้วรอย จะเห็นผลดีและตรงจุดมากกว่าค่ะ
หางตา : เพื่อช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหนังตาตก คิ้วตก ให้ดูเฉี่ยวคมแบบ foxy eyes
มุมปาก : แก้ปัญหามุมปากตก ปากคว่ำ ตำแหน่งนี้ไม่ค่อยนิยมเช่นกัน เพราะไม่ได้ช่วยยกมุมปากได้โดยตรง เสี่ยงไหมขาดได้ง่าย ช่วยยกมุมปากได้นิดหน่อยเท่านั้น

ร้อยไหมก้างปลา เหมาะกับใคร ?

- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ แก้มหย่อนคล้อย แก้มตก แก้มห้อย
- ผู้ที่มีปัญหาแก้มดูตอบจากความหย่อนคล้อย ผิวขาดคอลลาเจน ไขมันเนื้อแก้มน้อย หลังร้อยไหมเนื้อเยื่อจะมีการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ดูเต่งตึงขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าบาน หน้าใหญ่ ต้องการปรับหน้าเรียววีเชฟแบบเห็นผลเร่งด่วน

ร้อยไหมก้างปลา ไม่เหมาะกับใคร ?

- ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ หรือเป็นแผล บริเวณที่จะร้อยไหม
- ผู้ที่มีไขมันสะสมบนหน้าเยอะเกินไป (แนะนำให้ฉีดเมโสแฟตก่อน)
- ผู้ที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorder)
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้วัสดุไหม

ร้อยไหมก้างปลา VS ร้อยไหมชนิดต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร ?

ร้อยไหมก้างปลา หรือ ร้อยไหมเงี่ยง


ไหมก้างปลา/ไหมกุหลาบ/ไหมเงี่ยง (Barbed threads/ Cog threads) เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงยื่นออกมา เมื่อสอดเข้าไปใต้ผิว จะช่วยเกี่ยวเนื้อเยื่อผิวให้ยกกระชับขึ้นได้ดี ใช้ในการยกกระชับแก้มที่หย่อน ลดแก้มตอบ เพิ่มความคมชัดให้กรอบหน้า และเป็นที่นิยมมากที่สุด มี 2 ขนาด คือไหมเงี่ยงใหญ่ และ ไหมเงี่ยงเล็ก

ร้อยไหมคอลลาเจน หรือ ร้อยไหมทับทิม



ไหมคอลลาเจน/ไหมเรียบ/ไหมทับทิม/ไหมโมโน (Mono threads) เป็นไหมละลายที่ไม่มีเงี่ยง ลักษณะจะเป็นเกลียวเส้นเล็ก ๆ ช่วยลดริ้วรอยได้ในบางจุด และกระตุ้นคอลลาเจนคล้าย ๆ กับฟิลเลอร์ แต่ไม่สามารถช่วยดึงยกกระชับผิวได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นไหมชนิดแรกๆ ที่นำมาใช้ แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว

ร้อยไหมเทอร์โบ หรือ ร้อยไหมกรวยซิลลูเอท


ไหมเทอร์โบ หรือไหมกรวยซิลลูเอท (Silhouette Soft) เป็นไหมละลายที่มีปมติดตามเส้นไหมเป็นระยะ ๆ ลักษณะคล้ายโคนหรือกรวย ช่วยในการยกกระชับหน้า หลังทำเห็นผลทันที แต่มีโอกาสบวมช้ำสูง เพราะต้องใช้เข็มขนาดใหญ่ในการร้อย ต้องใช้เวลาพักฟิ้นนานกว่าไหมเงี่ยง

ร้อยไหมสปริง หรือ ร้อยไหมทอร์นาโด


ไหมสปริง/ไหมทอร์นาโด/ไหมเกลียว เป็นไหมละลายที่มีลักษณะเป็นเกลียว (Screw Threads /Tornado Threads) ทำจากวัสดุ PDO เส้นเรียบ 1-2 เส้น พันเป็นเกลียว ก่อนสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นไหม ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย หรือยุบเป็นแอ่ง ให้เรียบตึงขึ้น รวมถึงช่วยปรับรูปหน้า ยกแก้มส้ม สำหรับใครที่ต้องการร้อยไหมประเภทนี้ อาจต้องระวังเรื่องการบวมช้ำหลังร้อยไหม

ร้อยไหมมิ้นท์ (Mint Lift)


ไหมมิ้นท์ (Mint Lift) เป็นไหมละลายที่ถูกพัฒนาเพื่อช่วยในเรื่องการยกกระชับหน้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเส้นไหมจะมีลักษณะพิเศษคือมีเงี่ยงทั้ง 360 องศา เพื่อช่วยในการยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หลายทิศทาง ตัวไหมแข็งแรง ไม่เปราะง่าย เห็นผลดีในการยกกระชับหน้า ผ่าน อย.

ร้อยไหมโครงตาข่าย (Tesslift Soft)


ไหมโครงตาข่าย (Tesslift Soft) เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงและปกคลุมด้วยตาข่ายด้านบน ทำให้มีคุณ สมบัติเด่นเรื่องความแข็งแรงของเส้นไหม ยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หลายทิศทางช่วยในการยกกระชับและพยุงผิวที่หย่อนคล้อยได้ดี ผ่านการรับรองจาก CE Approved (European Conformity) สามารถทนแรงต้านได้ดีกว่าไหมทั่วไปถึง 80 เท่า เพราะการใช้ไหมโครงตาข่าย 1 เส้น เทียบเท่ากับการร้อยไหม 2 เส้น

ร้อยไหมก้างปลาดีไหม ?

การร้อยไหมก้างปลา ถือเป็นหัตถการที่ดี เทียบเท่ากับการทำศัลยกรรมดึงหน้าขนาดเล็ก สามารถยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง หน้าเรียวขึ้น ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลชัดเจนทันทีหลังทำ  มีความปลอดภัย และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

ร้อยไหม แบบไหนดี ?

ในปัจจุบัน การร้อยไหมก้างปลา ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเส้นไหมสามารถยึดเกาะกับเนื้อเยื่่อผิวได้ดี หลังทำเห็นผลทันทีว่าผิวยกกระชับขึ้น และช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน

อย่างไรก็ตาม การร้อยไหมแบบไหนดี ? ไม่สามารถตอบได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากไหมแต่ละชนิด แก้ไขปัญหาได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ว่าจะเลือกใช้เส้นไหมชนิดใด ให้เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันของคนไข้แต่ละเคส เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยหลังร้อยไหม

ร้อยไหมก้างปลา กี่วันเห็นผล ?

หลังร้อยไหมก้างปลา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรก และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่หลังผ่านไป 1 เดือน อาจมีอาการช้ำและบวม 14 วันหลังร้อยไหม แต่เป็นอาการหลังร้อยไหมทั่วไปที่สามารถหายได้เอง โดยไม่เป็นอันตราย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

อาการและปัญหาที่ควรรู้ หลังร้อยไหมก้างปลา มีอะไรบ้าง ?


อาการที่อาจพบ หลังร้อยไหมก้างปลา

- หน้าบวม
หลังร้อยไหม ในช่วง 3-4 วันแรก จะมีอาการบวมมากถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นอาการบวมจึงจะค่อย ๆ ยุบลง จนหน้าเรียวเข้าที่ใน 14 วัน

หากหลัง 4 วันอาการบวมไม่บรรเทาลง แต่กลับบวมแดงและปวดมากขึ้น ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมิน และรับยากลับไปรับประทานเพิ่ม

ปัญหาที่อาจพบ หลังร้อยไหมก้างปลา

- อ้าปากได้น้อย ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพราะตึงไหมที่ร้อยเข้าไป
- หน้ามีรอยบุ๋ม รอยยุบ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แล้วจะหายไปได้เอง อาการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากไหมยังไม่เข้าที่ดี (ในกรณีนี้ มักมีโอกาสเกิดกับคนที่ผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ)
- หน้าเป็นคลื่น ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ในกรณีมีเลือดออกมาก สามารถใช้ผ้ารัดใบหน้าได้ หากแพทย์แนะนำ
- เสียวไหม จะรู้สึกแปลบ ๆ จากเส้นไหมที่ร้อยเข้าไป ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากไหมเสียดสีบริเวณใบหน้า
- ไหมขาด มักเกิดจากการอ้าปากกว้าง ๆ หรือแสดงสีหน้ามากเกินไป รวมถึงแพทย์ที่เลือกใช้เส้นไหมไม่ได้คุณภาพ ใช้ไหมผิดประเภท
- เป็นก้อน ไต ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพราะเส้นไหมดึงผิวที่หย่อนคล้อยไปกองรวมกัน เมื่อไหมเข้าที่ ส่วนของใบหน้าที่เป็นก้อน ไต จะหายไปได้เอง
- รู้สึกว่าหน้าเบี้ยว ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกหลังร้อยไหม ซึ่งเกิดจากการบวมยาชา หรือบวมแรงดึงของไหมที่ยกหน้าขึ้น เป็นอาการที่จะรู้สึกเพียงชั่วคราว จะสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้เองเมื่อไหมเข้าที่

ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ร้อยไหมก้างปลาอยู่ได้นาน ประมาณ 4-12 เดือน ขึ้นอยู่กับวัสดุไหมก้างปลา (PDO,PLLA,PCL)
ที่นำมาใช้ ซึ่งอายุของวัสดุแต่ละชนิด ได้แก่

- วัสดุไหม PDO อายุ 4-5 เดือน
- วัสดุไหม PLLA อายุ 12 เดือน
- วัสดุไหม PCL อายุ 12 เดือน

นอกจากนี้ ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน ? ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพผิวเดิมก่อนร้อยไหมก้างปลา และวิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหมของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน

วิธีการดูแลตัวเอง หลังร้อยไหมก้างปลา

สิ่งที่ทำได้ หลังร้อยไหมก้างปลา
✔ สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ ได้ไม่เกิน 15 นาที
ตรงรอยเข็มที่ร้อยไหม หลังทำ  3 ชม.
✔  สามารถประคบเย็นด้วยความเบามือ หากมีจุดไหนที่ยังบวมมาก หลังทำ 6 ชม.
✔  สามารถออกกำลังกาย และ กินอาหารได้ปกติ  ถ้าหายจากการบวม หลังทำ 14 วัน
✔ นอนในห้องแอร์ที่อุณหภูมิ 18-23 °C
✔ นอนหัวสูงกว่าหน้าอกโดยการหนุนหมอนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ

สิ่งที่ควรเลี่ยง หลังร้อยไหมก้างปลา
✖ ห้ามแกะ เกา หรือกดนวด บริเวณที่ร้อยไหม
✖ หลีกเลี่ยงการทาครีม อย่างน้อย 24 ชม.
✖ หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และงดกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด ลงสระว่ายน้ำ ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชม.
✖ ไม่ควรนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ
✖  ใน 1 เดือนแรก ไม่ควรแสดงสีหน้ามากเกินไป หรืออ้าปากกว้าง ๆ เช่น แปรงฟันแรง ๆ เพราะอาจทำให้ไหมขาด
✖  ใน 1 เดือนแรก งดเลเซอร์ ทำ RF thermage ทำทรีตเมนต์ นวดหน้า ขัดผิวหน้า
✖  ใน 1 เดือนแรก งดทำฟัน 

ร้อยไหมก้างปลา ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาร้อยไหมก้างปลา ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่เลือกใช้ และจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ดังนี้

ราคาร้อยไหมก้างปลา โดยประมาณ

ไหมก้างปลา PDO (อยู่ได้ 4-5 เดือน)
- ราคา 8,900-    | 6 เส้น
- ราคา 13,000-  | 10เส้น

ไหมก้างปลา PCL (อยู่ได้ 1 ปี)
- ราคา 14,000- | 4 เส้น
- ราคา 18,000- | 6 เส้น
- ราคา 25,000- | 10 เส้น

ไหม Mint Lift (อยู่ได้ 6-8 เดือน )
- ราคา 15,000- | 4 เส้น
- ราคา 25,000- | 8 เส้น
- ราคา 35,000.- | 12 เส้น

ไหม Tesslift Soft (อยู่ได้ 8-12 เดือน)
- ราคา 20,000- | 4 เส้น
- ราคา 28,000- | 6 เส้น
- ราคา 35,000- | 8 เส้น

ไหม Tesslift Foxy Eye แก้ตาตก (อยู่ได้ 4-5 เดือน)
- ราคา 25,000.- | 2 เส้น
- ราคา 40,000.- | 4 เส้น

ไหมก้างปลา PDO ร้อยจมูก (อยู่ได้ 6-8 เดือน)
- ราคา 9,900-   | 6 เส้น
- ราคา 15,000- | 10 เส้น

สรุป

ร้อยไหมก้างปลา เป็นเทคนิคที่ปลอดภัยและเห็นผลดีในการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึงขึ้น แต่ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ก่อนตัดสินใจทำ ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ใช้เส้นไหมคุณภาพ รวมถึงศึกษาวิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหมอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหลังร้อยไหม

7
ฟิลเลอร์ปาก ทรงไหนดี ต่างกันอย่างไร เทคนิคเลือกทรงปากให้เข้ากับใบหน้า

ฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่นอกจากเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้หลังฉีดปากมาแล้วได้ทรงสวยเข้ากับใบหน้า ยังมีเรื่องของทรงปากที่ในการเลือกทรงปากนอกจากจะเลือกแบบปากที่ชอบแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละคนอีกด้วย

ในบทความนี้เราได้รวบรวมทรงปากที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่กำลังหา reference ทรงปากสวย ๆ มาฝาก



เลือกทรงปากอย่างไร ให้เข้ากับใบหน้า

เลือกทรงปาก ให้เข้ากับใบหน้า

การเลือกทรงปากให้เข้ากับใบหน้า ต้องดูความเหมาะสมของสัดส่วนใบหน้า เพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วกลมกลืนไปกับหน้า อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด โดยมีจุดที่ควรพิจารณา ดังนี้

  • ริมฝีปากบน : ล่าง มีความเหมาะสมตามสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) 1:1.6
  • มุมปาก (Oral Commissures) ยกขึ้น ไม่ทิ่มลง
  • ขอบปาก (Vermillion Border) มีสัดส่วนเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
  • เนื้อปาก อวบอิ่ม เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย
  • เมื่อมองด้านข้างแล้วลากเส้นจากปลายจมูกลงมาที่คาง ริมฝีปากล่างควรจะแตะเส้นนี้พอดี ส่วนริมฝีปากบนควรจะห่างจากเส้นนี้ 2 mm
  • มีร่องริมฝีปากบน (Philtrum) ที่เป็นรูปตัว M ควรมีขอบหยักชัดเจน มีมิติ
  • เนื้อริมฝีปากล่างไม่ควรใหญ่เกินขอบเขตของยอดตัว M ของริมฝีปากบน

1. รูปทรงปากกระจับ (Cherry Kysse)

รูปทรงปากกระจับ

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากกระจับ สไตล์เกาหลี ถือเป็นทรงที่ได้รับความนิยมมากมาอย่างยาวนาน และถือเป็นทรงปากในฝันของหลายคน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากใช้การผ่าตัดเพื่อตกแต่งริมฝีปาก การฉีดฟิลเลอร์ปากก็สามารถปรับรูปทรงปากให้เป็นกระจับสวยได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากล่างอวบอิ่มคล้ายผลเชอร์รี่ และเติมเนื้อติ่งตรงกลางปากบน ก็จะได้ปากกระจับสวยโดยไม่ต้องผ่าตัด

2. รูปทรงปากอวบอิ่ม (Sexy Kysse)

รูปทรงปากอวบอิ่ม

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากสายฝอ แบบตะวันตก เป็นอีกทรงที่ได้รับความนิยมสำหรับสาวไทย ที่อยากเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปากทั้งบนและล่าง โดยที่ผลลัพธ์ยังดูเป็นธรรมชาติ ทรง Sexy Kysse จะฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเนื้อปากในสัดส่วน 1:1 ก็จะได้ปากเต็มสวย มีเสน่ห์แบบสายฝอ

3. รูปทรงปากธรรมชาติ (Classy Kysse)

รูปทรงปากธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ปาก ทรงธรรมชาติ มีสัดส่วนปากบนเล็กกว่าปากล่าง เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง เนื้อปากน้อยและต้องการเพิ่มเนื้อปากให้หนาขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้หนาแบบทรงสายฝอ นอกจากฟิลเลอร์จะช่วยให้ปากหนาขึ้น เต็มขึ้น ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี กลบร่องบนริมฝีปากให้ตื้นขึ้น เวลาทาลิปจะไม่มีปัญหาลิปตกร่อง

4. รูปทรงปาก Full Lip

รูปทรงปาก Full Lip

ฟิลเลอร์ปาก ทรงหนาอวบอิ่ม เป็นทรงที่เพิ่มเนื้อปากให้หนาทั้งบนและล่างในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน จะทำให้รูปปากโดดเด่นมาก เหมาะกับคนที่มีโครงหน้าชัด หน้าคม เมื่อฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วปากจะรับกับจมูก คาง ดวงตา ทรงนี้อาจไม่ค่อยเข้ากับโครงหน้าแบบคนเอเชีย ที่ไม่ได้มีโครงสร้างคิ้วเด่น ตาโต จมูกโด่ง คางยาว หากฉีดไปแล้วอาจดูไม่เป็นธรรมชาติได้

5. รูปทรงปาก Heavy Upper Lips

รูปทรงปาก Heavy Upper Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรง Heavy Upper Lips เป็นทรงปากสายฝอ โดยฉีดฟิลเลอร์เพิ่มให้เนื้อปากบนหนาขึ้น มีความเต็ม อวบอิ่ม หนา มากกว่าริมฝีปากล่าง เพิ่มเสน่ห์ให้เจ้าของใบหน้าเวลาพูดหรือยิ้ม เหมาะกับการแต่งหน้าคม ๆ เน้นดวงตาให้รับกับริมฝีปาก

6. รูปทรงปาก Heavy Lower Lips

รูปทรงปาก Heavy Lower Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรง Heavy Lower Lips เป็นทรงสายฝอ ได้รับความนิยมมากในฝั่งอเมริกา รวมถึงสาวไทยหลายคนที่นิยมทำปากทรงนี้ โดยการฉีดฟิลเลอร์เพิ่มให้เนื้อปากล่างหนาและอวบอิ่มขึ้น โดยที่ยังเป็นทรงสวย ไม่ดูปากเจ่อเกินไป

7. รูปทรงปาก Wide Lips

รูปทรงปาก Wide Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปาก Wide Lips เป็นทรงที่มีลักษณะปากกว้างกว่าทรงอื่น เนื้อปากบนและล่างมีความอวบอิ่มสมดุลกัน สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองปากแคบ ยิ้มไม่สวย ไม่มีมุมปาก ในการฉีดฟิลเลอร์แพทย์จะใช้เทคนิคยกมุมปาก เพื่อขยายให้ทรงปากดูยาวมากขึ้น

8. รูปทรงปากปีกนก

รูปทรงปากปีกนก

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากปีกนก เป็นอีกทรงที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย มีต้นแบบมาจากดาราสาวหลายคน เช่น อั้ม พัชราภา ปากปีกนกเป็นทรงปากที่มีลักษณะปากบนบางเป็นกระจับ มีมุมปากยกขึ้น เวลายิ้มจะเหมือนปีกนกที่กางออก แพทย์ต้องมีประสบการณ์และเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จึงจะได้รูปทรงปากที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ



ฟิลเลอร์ปาก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
ประโยชน์ของฟิลเลอร์ปากแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่
  • ฟิลเลอร์ปาก แก้ไขปัญหา คืนความอ่อนเยาว์
เมื่ออายุมากขึ้น ริมฝีปากจะบางลง แห้ง เป็นร่องแตก ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย การเติมฟิลเลอร์ปากจะช่วยเพิ่มเนื้อปากและทำให้ผิวปากเต่งตึง หรือสามารถใช้แก้ไขในคนที่เกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้ปากไม่เท่ากัน เติมเต็มให้ปากกลับมามีความสมมาตร

  • ฟิลเลอร์ปาก เสริมความงาม เสริมโหงวเฮ้ง
ฟิลเลอร์ปากที่นิยมในปัจจุบัน คือการฉีดเพื่อเสริมความงามและเสริมโหงวเฮ้ง โดยการปรับทรงปากให้เป็นในแบบที่ต้องการ เพิ่มความคมชัดของขอบปาก เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากไม่แห้งลอก ไม่เป็นร่อง ดูฉ่ำน้ำ แก้ทรงปากคว่ำให้ยกขึ้น ด้วยเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก



สรุป
สำหรับในไทยก่อนหน้าที่ทรงปากที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือปากทรงเกาหลี แต่ปัจจุบันการฉีดปากทรงสายฝอ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ทรงปากที่เหมาะสมกับโครงหน้าเดิม ไลฟ์สไตล์ การแต่งหน้า ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถออกแบบทรงปากที่เข้ากับใบหน้าของแต่ละคนได้ ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากแตกต่างกับการผ่าตัดปาก เพราะฟิลเลอร์สามารถฉีดเพื่อสลายหรือแก้ไขใหม่ได้โดยไม่ยุ่งยาก ต่างกับกับผ่าตัดปากที่ทำแล้วได้ผลถาวร ดังนั้นถ้าฉีดฟิลเลอร์ปากมาแล้วไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ก็สามารถฉีดแก้ไขได้โดยไม่ต้องกังวล

8

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้น รวมทั้งเติมเต็มริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้สมส่วน มีมิติ และลดโอกาสการเกิดริ้วรอยร่องลึกในอนาคต ซึ่งแต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นใต้ตา / คาง / ร่องแก้ม /ปาก / ขมับ / หน้าผาก / จมูก แต่ละเคสจะใช้ปริมาณ CC ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละเคส ซึ่งคุณหมอจะวิเคราะห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์

ในบทความนี้จะพาไปดูว่าแต่ละจุด ควรเติมเต็มฟิลเลอร์ได้กี่ CC ถึงจะเหมาะสม ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ การรู้ปริมาณ CC จะได้ช่วยเตรียมงบประมาณในเบื้องต้น เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่สามารถแก้ปัญหาที่ตรงจุด ภายใต้งบประมาณที่กำหนดได้ 


ฟิลเลอร์ใต้ตา

  • 2-4 CC
การแก้ปัญหาใต้ตา โดยส่วนมากจะเติมฟิลเลอร์ใต้ตา 2-4 CC ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละเคส เช่น ความลึก ริ้วรอย ความคล้ำของใต้ตา

ในเคสที่มีปัญหาไม่เยอะมาก ก็สามารถเติมฟิลเลอร์ใต้ตาข้างละ 1 cc หรือแบ่งฟิลเลอร์ 1 cc สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้ หรือในเคสที่มีปัญหาใต้ตาลึก กระดูกใต้ตามีการยุบตัวมาก ๆ เช่น ในเคสที่อายุมากขึ้น กระดูกเบ้าตาก็จะทรุดตัวลงมากกว่าปกติ แพทย์ก็จะพิจารณาใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือผลลัพธ์ที่ต้องออกมาดูเป็นธรรมชาติ


ฟิลเลอร์คาง

  • 1-2 CC
ส่วนใหญ่แล้วหมอจะฉีดฟิลเลอร์คาง 1 CC โดยจะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง เพื่อคงสภาพและอยู่ทรงได้นาน

ฟิลเลอร์คาง ไม่สามารถเติมคางให้ยาวลงมาได้เกิน 1 ซม. ในแคสที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม ต้องการปรับแก้รูปคางให้ยาวขึ้น ปริมาณฟิลเลอร์เพียง 1 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน

การฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยคำนวนปริมาณ เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

  • 1-3 CC
คุณหมอจะเป็นคนประเมินตามความเหมาะสม ในเคสที่อายุไม่เยอะมาก อายุ 30-40 ปี มีร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ส่วนใหญ่จะใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทั้ง 2 ข้างแค่ประมาณ 1-2 CC แต่ถ้าในกรณีที่คนไข้ที่อายุเยอะ เช่น 50 ปีขึ้นไป คุณหมอจะพิจารณาใช้ฟิลเลอร์จำนวนหลาย CC (บางเคสใช้ 3-4 CC)

นอกจากนี้อาจจะต้องทำ hifu หรือร้อยไหมร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หน้าเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด


ฟิลเลอร์ปาก

  • 1-2 CC
โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ปากเติมเพียง 1 CC หลังฉีดก็เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากคนที่ปากบางมาก หรืออยากได้ทรงอวบอิ่มแบบฝรั่ง ต้องการเพิ่มวอลลุ่มมาก ๆ อาจจะต้องใช้ 2 CC โดยการจะปรับทรงปากให้สวยงามเหมาะกับรูปหน้าของแต่ละคน ก็จะต้องประเมินความเหมาะสมเป็นเคส ๆ ไป


ฟิลเลอร์ขมับ

  • 2-4 CC
สำหรับฟิลเลอร์ขมับ ในเคสส่วนมากจะใช้ประมาณข้างละ 1-2 CC ขึ้นกับความลึกของขมับตอบ หมอจะช่วยประเมินและแนะนำให้ตามความเหมาะสม แพทย์ประสบการณ์สูงจะเลือกใช้ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้า และผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ เติมเต็มขมับตอบ ขมับยุบ นอกจากจะเป็นการปรับรูปหน้าให้สมส่วน ยังช่วยให้ดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น รวมถึงช่วยเสริมโหงวเฮ้ง ทั้งในด้านการค้าและธุรกิจ เชื่อว่าคนที่มีขมับเต็มอิ่มจะทำให้รับทรัพย์ มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู


ฟิลเลอร์หน้าผาก

  • 3-5 CC
เมื่ออายุมากขึ้น ในเคสที่ร่องหน้าผากบริเวณเหนือคิ้วที่ยุบตัวลง ต้องการเติมฟิลเลอร์ให้ร่องตื้นขึ้น หน้าผากเรียบเข้ารูป อยากให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ต้องการความโหนกนูน จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ไม่มาก 1-2 CC ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนในเคสที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้งหน้าผากให้โหนกนูน ก็สามารถเลือกรูปของคนที่หน้าผากสวย ๆ ไปให้หมอดูเป็นตัวอย่างได้ เพื่อประเมินว่าควรใช้ฟิลเลอร์กี่ cc ถึงจะเหมาะสม

ฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ควรฉีดเกินครั้งละ 5 CC เพราะอาจกิดการกดทับเนื้อเยื่อและบวมลงมาถึงบริเวณรอบดวงตา หมอจะจะค่อย ๆ ทยอยฉีดทีละ 3-5 CC รวม ๆ แล้วฟิลเลอร์ที่ใช้ก็จะอยู่ในช่วง 3-10 CC


ฟิลเลอร์แก้มส้ม

  • 1-2 CC
ฟิลเลอร์แก้มส้ม โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1 CC ขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาของแต่ละเคส ถ้าใบหน้ามีปัญหามาก แก้มตก แก้มแบน ร่วมกับปัญหาอื่น ๆ เช่น มีร่องใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูโทรม ไม่สดใส แก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม

โดยจะเป็นการเติมฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณกลางหน้าหรือพวงแก้ม ซึ่งมีการยุบตัวของกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน ทำให้ผิวหย่อนคล้อย หรือเป็นร่องริ้วรอย สามารถฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มร่องลึก ก็จะช่วยให้ได้แก้มส้มที่สวย ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น


สรุป

จะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้ปริมาณ CC ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว รวมถึงงบประมาณ ในการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม

ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ จสามารถะวางแผนการรักษา เริ่มแก้ไขที่สาเหตุหลักก่อนตามงบประมาณและความต้องการของคนไข้เป็นหลัก เนื่องจาการฉีดฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม HA ที่มีความปลอดภัย สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย สามารถเติมเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงาม คงความอ่อนเยาว์ไว้ได้เป็นธรรมชาติมากที่สุด



9
บริการทั่วไป | General Services / บริการด้านความงาม
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2021, 05:10:16 AM »
บริการด้านความงาม ความรู้ด้านความงาม ที่จะทำให้คุณสวยขึ้นได้อย่างทันกาล แม้เวลาจะผ่านไป แต่คุณยังคงดูดี

10
เสื้อโปโล เป็นเสื้อผ้าที่เราสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ หลายๆบริษัท หลายๆองค์กร ต่างก็มักจะนิยมหยิบยกประเภทเสื้อผ้า อย่าง เสื้อโปโล มาเป็นแบบสั่งตัดเสื้อโปโลเป็นของตนเองไม่ว่าจะสั่งตัด สั่งผลิตเป็นชุดพนักงาน ใส่ทำกิจกรรม ใส่ออกบูธ หรือแจกเป็นของขวัญในการทำกิจกรรมทางการตลาด

และถ้าเราอยากจะสั่งผลิตเสื้อโปโลกับโรงงานผลิตเสื้อโปโลสักที่ เราจะต้องรู้อะไรบ้าง ?

ลองมาดูรายละเอียดที่ต้องรู้ก่อนการสั่งผลิตเสื้อโปโลกันครับ

1.การเลือกโรงงานผลิตเสื้อโปโล

ปัจจุบันมีบริษัทหรือโรงงาน รับผลิตเสื้อโปโล อยู่เยอะมากภายในประเทศไทย แต่จะเลือกบริษัทหรือโรงงานผลิตเสื้อโปโลที่ไหนดี ที่จะได้คุณภาพ ในราคาที่สมเหตุสมผล ในส่วนนี้ อันดับแรก เราต้องเริ่มจากการหาข้อมูลกันก่อน เช่นการค้นหาผ่านทาง Google ดูว่ามีใครบ้างที่รับทำเสื้อโปโล เราอาจจะค้นหา จากคำว่า รับทำเสื้อโปโล, รับผลิตเสื้อโปโล หรือ โรงงานผลิตเสื้อโปโล เจอจ้าวไหนแล้วก็ลองอ่านรายละเอียดในเว็บไซต์ของเขาดูก่อน ถ้าจ้าวไหนมีการให้รายละเอียดที่เยอะ ครบถ้วน มีตัวอย่างงาน ผลงานจากลูกค้ามาแสดงโชว์ด้วย ให้นำมาเก็บไว้เป็นอันดับต้น สัก 3-4 ชื่อก็พอครับ

2. การออกแบบและแพทเทิร์นเสื้อของเสื้อโปโล

หลังจากได้รายชื่อโรงงานผลิตเสื้อโปโล ก็ลองมาออกแบบเสื้อโปโล ว่าเราอยากได้แบบไหน ที่จะสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับบริษัทหรือองค์กรของเรา เราอาจจะดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมเอาไว้ข้างตน แล้วนำแต่ละแบบมา mix and match ให้ได้เป็นรูปแบบของตนเอง พร้อมกับจัดวางสีที่ต้องการ ซึ่งสียอดนิยม ก็มักจะเป็นสีกรมท่า

3. เนื้อผ้าในการสั่งผลิตเสื้อโปโล

เนื้อผ้าเสื้อโปโล ที่นิยมนำมาผลิต จะมี TK, TC, CVC, Dry-tech

ผ้าแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันออกไปดังนี้

  • TK เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% เป็นผ้าที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์ จึงมีราคาที่ถูกมากที่สุด แต่ใส่ไปนานๆ ตัวผ้าจะขึ้นขน สีซีด ดูไม่สดใหม่ เหมาะกับบุคคลที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลในช่วง 6 เดือนครั้งหรือ ใส่เฉพาะกิจกรรมเป็นต้น
  • TC เป็นผ้าที่ผสมระหว่าง โพลีเอสเตอร์ กับ คอตตอน โดยจะมีส่วนผสมของ โพลีเอสเตอร์มากกว่าคอตตอน จึงทำให้ผ้ามีการระบายอากศได้ดีกว่า TK และขึ้นขนยากกว่านิดนึง ในด้านราคาก็จะแพงกว่านิดนึงด้วยเช่นกัน
  • CVC เป็นผ้าที่มีส่วนผสมของ คอตตอน > โพลีเอสเตอร์ จึงทำให้ได้ผ้าที่มีความนุ่มมากกว่าผ้า TC TK และระบายอากาศได้ดีกว่า เป็นเนื้อผ้ายอดนิยมในการสั่งผลิตเสื้อโปโล เนื่องจากได้เสื้อผ้าคุณภาพดี ในราคาปานกลาง ไม่แพงและไม่ถูกจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลคุณภาพดี ในระดับราคาปานกลาง
  • Dry Tech เป็นเนื้อผ้าที่เพิ่มเติมนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยี ในการผลิตแบบทอสองชั้น สามารถใช้เป็นเสื้อโปโลได้ทั้งสองด้าน ด้านนึงเป็น คอตตอน และอีกด้านเป็น Micro-Fibered Polyster อยู่ที่โรงงานผลิตเสื้อโปโลว่าจะเลือกด้านใดเป็นด้านนอก และด้านใดเป็นด้านใน มีคุณสมบัติมากกว่าผ้าชนิดอื่น ยับยาก รีดง่าย ไม่หด ไม่ย้วย ไม่ร้อน ใส่ได้ตลอดทั้งวัน ในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะออกแดดหรือในร่ม สวมใส่ได้ยาวนาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลคุณภาพดีมาก และรับได้กับราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าผ้าชนิดอื่น

4. การปัก การสกรีน เสื้อโปโล

การปักเสื้อโปโล เราจะได้ลายที่มีความคงทน ภาพอยู่ได้นาน โดยไม่หลุดหรือลอก แต่ถ้าหาเราได้โรงปักที่ไม่ดี ก็อาจจะทำให้ด้ายที่ใช้ปักหลุดลุ่ยได้ง่าย ดังนั้นเราควรที่จะดูด้วยว่าโรงงานนั้นปักแบบใด ปักโดยใช้เครื่องจักรรึเปล่า
ในส่วนของงานสกรีน ก็จะมีราคาถูกกว่าของงานปัก แต่ภาพจะหลุด ลอก ได้ง่ายกว่า ปัจจุบัน ก็มีงานสกรีนหลากหลายแบบให้เลือก ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกแบบไหน โดยที่นิยมกันก็จะเป็น ซิลค์สกรีน, พลาสติซอล,

5. ต้นทุนในการสั่งผลิตเสื้อโปโล

มาถึงในข้อสุดท้าย ที่สำคัญมากที่สุด นั้นก็คือ ต้นทุนในการสั่งผลิตเสื้อโปโล ในกรณีที่เรามีต้นทุนการผลิตสูง เราอาจจะพิจารณาเลือกเป็นผ้า CVC หรือ ผ้า Dry Tech ที่มีคุณภาพสูง สวมใส่ได้ยาวนาน และใส่สบายกว่าผ้าชนิดอื่น
ในกรณีมีต้นทุนการผลิตต่ำ หรือมีช่วงเวลาที่ต้องการสั่งผลิตบ่อย การเลือกเนื้อผ้า TK หรือ TC ก็จะเหมาะสมมากกว่า เพราะทำให้ต้นทุนในการผลิตเสื้อโปโลถูกลง

ถีงตรงนี้ ถ้ามีคำตอบ ของทั้ง 5 ข้อ ที่ผมได้บอกไปข้างต้นก็ เริ่มนำ list รายชื่อโรงงานผลิตเสื้อโปโลที่เก็บไว้ 3 – 4 ชื่อมาสอบถามกันครับว่าแต่ละที่เสนอราคาเท่าไหร่บ้าง โดยให้รายละเอียดการออกแบบโครงเสื้อตามข้อ 2 การเลือกเนื้อผ้าตามข้อ 3 และการเลือกปัก หรือสกรีน ตามข้อ 4 นั้นเอง ถ้าจ้าวไหน พูดคุยด้วยแล้วถูกใจ ก็ Deal กับจ้าวนั้นได้เลยครับ

หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในด้านต่างๆ ก็สอบถาม ปรึกษากับ โรงงานผลิตเสื้อโปโล เก้า ห้า แวริ่ง จำกัด ได้ที่ https://ninefivewearing.com/ ที่นี่ เขามีประสบการณ์ในด้านการรับผลิตเสื้อโปโล หรือด้านงานที่เกี่ยวกับผ้ามามากกว่า 10 ปีแถมยังทำแบบครบวงจร พร้อมปัก-สกรีน ในที่เดียว มีเนื้อผ้าให้สั่งผลิตได้หลากหลายแบบมาก

การันตี ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนแน่นอนครับ

หน้า: [1]