เมื่อมีคำว่า “กฎหมาย” หลายคนอาจจะปิดการรับรู้หรือหยุดทำความเข้าใจโดยอัตโนมัติ แต่จริง ๆ แล้วกฎหมายนั้นถูกใช้อยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวันของเราโดยที่เราไม่ทันได้สังเกตเลย ซึ่งในวันนี้เราก็จะขอพูดถึง เรื่องของกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับใครที่ต้องซื้อขายบ้านก็ถือว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจ
ตามข้อบังคับของกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ได้กำหนดให้มีสัญญาซื้อขายบ้าน เมื่อมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้น โดยสัญญานี้จะต้องทำการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินด้วย ซึ่งหากไม่มีสัญญาซื้อขายบ้านหรือไม่ได้มีการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน จะถือว่าการซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ โดยจะต้องทำสัญญาซื้อขายบ้านเมื่อผู้ซื้อมีเงินพร้อมที่จะจ่ายตามราคาของบ้านที่ต้องการซื้อ เพราะว่าจะต้องมีเรื่องของการโอนกรรมสิทธิ์ครอบครองด้วย แต่ถ้าหากผู้ที่จะซื้อโครงการบ้านนั้นมีเงินสดไม่พอก็ต้องทำเรื่องขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยจะต้องเผื่อระยะเวลาช่วงหนึ่งซึ่งส่วนมากก็จะไม่เกินสามเดือน ซึ่งระหว่างนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่า บ้านจัดสรรที่เราต้องการนั้นจะยังคงเป็นของเราอยู่และเพื่อให้ทางโครงการบ้านจัดสรรมั่นใจได้ว่า
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นจะเกิดขึ้นจริงก็จะต้องมีการทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยมีเงื่อนไขหลายส่วน ซึ่งก็มีประเด็นที่สำคัญระบุไว้ว่าผู้ซื้อจะต้องทำการจ่ายค่ามัดจำเอาไว้จำนวนหนึ่งและผู้ขายก็ห้ามโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ ให้กับคนอื่นภายในเวลาที่กำหนด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดเงื่อนไข ก็สามารถใช้สัญญาฉบับนี้เป็นหลักฐานในทาง
กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ได้
นอกจากนี้จะต้องมีเอกสารแนบท้ายสัญญาจะซื้อจะขายที่มีรายละเอียดนอกเหนือจากในตัวสัญญา เช่น วัสดุที่ใช้ภายในโครงการบ้านเดี่ยวหรือบ้านแบบอื่น ๆ โปรโมชั่นและของแถม ซึ่งเราจะต้องทำการตรวจสอบให้ละเอียดเพื่อที่จะได้บ้านใหม่ตามที่ต้องการ ซึ่งในระหว่างที่รอการอนุมัติสินเชื่อนั้น หากโครงการพร้อมให้เข้าไปตรวจรับงานก่อสร้าง เราก็ควรที่จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดและหากพบว่ามีข้อบกพร่องก็ต้องแจ้งให้ทางโครงการแก้ไขให้ก่อนเสร็จสิ้นการโอนกรรมสิทธิ์อีกด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องเสียเวลารอนานหรือบางทีเราอาจจะจะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมแซมเอง
เมื่อการขอสินเชื่อถูกอนุมัติเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถทำสัญญาซื้อขายเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ได้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น 4 รายการหลัก ประกอบไปด้วย ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย โดยส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าธรรมเนียมการโอน ทั้งฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องแบ่งกันจ่ายกันคนละครึ่ง ส่วนอีกสามรายการที่เหลือนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของผู้ขายเท่านั้น ดังนั้นในรายละเอียดส่วนของค่าใช้จ่ายในสัญญาซื้อขายก็ต้องดูให้ดีด้วยว่ามีเงื่อนไขถูกต้องหรือไม่ เพื่อที่เราจะไม่เสียเปรียบ
หากใครสนใจอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายบ้าน คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย
https://www.sansiri.com/thai/คำแนะนำ/กฎหมายอสังหาควรรู้