หากเอ๋ยถึงรถยนต์สปอร์ตไบค์ที่ชนะใจไบค์เกอร์มานานนับทศวรรษ ด้วยเอกลักษณ์ของหุ่นพร้อมขุมพลังที่บ่งถึงจิตวิญญาณที่จริงจริงของสายพันธุ์ กับ Yamaha R-Series ที่ชนะใจไบค์เกอร์มาแล้วนับไม่ถ้วน ในคราวนี้ BoxzaRacing จะมาเล่าถึงประวัติความเป็นมาโดยสังเขปตั้งแต่โฉมแรกของพี่ใหญ่ในเครือญาติอย่าง Yamaha YZF-R1
รถมอเตอร์ไซค์ ทรง สปอร์ต ไปจนกระทั่งน้องเล็กสุด Yamaha YZF-R15 ว่าเพราะเหตุใดถึงเป็นเชื้อสายสปอร์ตไบค์ที่ใครๆก็ต้องการเป็นเจ้าของ
ตราบจนกระทั่งโมเดลปี 2014 ได้ทำตลาดมาจนกระทั่งปี 2016 ที่มีการตอบรับจากไบค์เกอร์ทุกเพศทุกวัย จนกระทั่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากันแบบเทน้ำเทท่ากันอย่างยิ่งจริงๆ และไม่นาน Yamaha ก็เลยได้เปิดตัว YZF-R15 โมเดลใหม่ในปี 2017 ที่มีความสปอร์ตเพิ่มขึ้น หล่อเพิ่มขึ้น...โดยในคราวนี้เกือบจะบอกได้เต็มปากเลยว่า เลียนแบบจากพี่ใหญ่ที่เป็นโมเดลใหม่ปัจจุบันอย่าง YZF-R1 รวมทั้ง YZF-R6 ออกมาได้อย่างแจ่มแจ้งมากกว่าโมเดลที่แล้วเสียอีกไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์สุดหล่อที่ให้อารมณ์ซูเปอร์สปอร์ตแบบเต็มขั้น และก็อีกหนึ่งข้อดีคือเรือนไมล์รูปแบบใหม่แบบ Full LCD Digital Meter กับมุมมองซูเปอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง กับบล็อคเครื่องจักรใหม่ขนาด 155 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วเปลี่ยน VVA อันโด่งดังของ Yamaha ที่จะทำให้กำลังรถยนต์จัดจ้าตั้งแต่รอบต่ำจนกระทั่งรอบสูง รวมถึง Assist & Slipper Clutch ที่สามารถจะช่วยลดแรงลากของล้อหลังเมื่อศาสนาเชนจ์เกียร์จากเกียร์สูงลงสู่เกียร์ต่ำ ที่สามารถเรียกได้เลยว่าต้องใจสายสปอร์ตไม่น้อย นับได้ว่าเป็นคุณลักษณะเด่นของเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาสู่เครื่องจักรกลในคลาส 150 ซีซี. ได้อย่างมีคุณภาพ
และก็ตามด้วยตอนล่างอัพเกรดใหม่ไม่ว่าจะเป็นโช้คหน้า Up Side Down รวมถึงสวิงอาร์มออกแบบใหม่ (New Design Alluminium Rear Arm) รวมทั้งล้อแม็กวางแบบใหม่ที่เพิ่มเนื้อหาให้มองแม็ทช์กับสรีระรูปลักษณ์ที่มีความเป็นสปอร์ตไบค์อย่างสุดกำลัง รัดด้วยยางเรเดียลขนาดใหญ่ (Super Wide Tire) โดยยางหน้ามีขนาด 100/80-R17 และก็ยางข้างหลังขนาด 140/70R17 เพิ่มพื้นที่หน้ายางที่จะทำให้การสัมผัสผิวถนนในยามเข้าโค้งได้อย่างมั่นอกมั่นใจ พร้อมด้วยความสามารถระบบเบรกที่สะดุดตาไม่ด้อยกว่าผู้ใดกันแน่กับดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 282 มิลลิเมตร (Big Size Disc Brake) เพื่อความมั่นใจและความเชื่อมั่นสำหรับเพื่อการหยุดรถยนต์ทุกเหตุการณ์ โดยภาพรวมแล้วไม่น่าสนเท่ห์ใจเลยครับผมที่ Yamaha YZF-R15 เป็นรถยนต์สปอร์ตไบค์ขวัญใจวัยรุ่นในยุคนี้ โดยประกันจากยอดจำหน่ายแล้วก็ผู้ใช้งานบนถนนที่ไม่ว่าจะดูไปทางไหนใครๆก็รัก R15 จนได้รับการตั้งชื่อว่าสปอร์ตไบค์เล็กพริกขี้หนูกันอย่างยิ่งจริงๆขอรับ
ต่อด้วยน้องรองสุดท้องในเชื้อสายอย่าง Yamaha YZF-R3 สปอร์ตไบค์ Entry Class รูปลักษณ์สุดโฉบเฉี่ยว ที่เปิดตัวทีแรกเมื่อปี 2015 และก็ทำเอาไบค์เกอร์หลายท่านเวลานี้จำเป็นต้องร้องว้าวกับขุมพลังเครื่องยนต์กลไกที่ให้มาเกินประชาชนชาวช่องในพิกัดเดียวกันอย่างยิ่งจริงๆ...กับบล็อคเครื่องจักร 2 ลูกสูบเรียง ขนาด 321 ซีซี. 4 จังหวะ DOHC 4 วาล์วต่อดูด ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 42 แรงม้า ที่ 10,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 29.6 นิวตัน-เมตร ที่ 9000 รอบต่อนาที รวมทั้งเป็นสปอร์ตไบค์คลาส Under 400 ในตลาดประเทศไทยคันแรกที่มีลูกเล่นต้องใจไบค์เกอร์ด้วยการต่อว่าดตั้งชิพไลท์มาให้จากโรงงาน...
ถัดมาในปี 2019 Yamaha YZF-R3 ได้กระทำเปิดตัวโมเดลใหม่อีกรอบ โดยคราวนี้ได้เพิ่มความสปอร์ตเข้าไปอีกด้วยดูดีไซน์ใหม่คล้ายกับรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1 ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ใหม่โดยยิ่งไปกว่านั้นชุดแฟริ่งด้านหน้าที่ให้อารมณ์สปอร์ตไบค์ Full Fairing เยอะขึ้น และก็ตามด้วยไฟหน้า Full แอลอีดี Headlight สุดทันสมัย รวมถึงชุดเรือนไมล์แบบ Full LCD ที่มีความคล้ายกับ Yamaha MT-10 สื่ออารมณ์ความนำสมัยในคลาสพิกัด 300 ซีซี.ได้อย่างเหนือชั้น แล้วก็ชุดสวิตช์สตาร์ทรูปแบบใหม่พร้อมด้วยแผงคอ Handle Crown ออกแบบซูเปอร์สปอร์ตให้ความแข็งแรง รวมทั้งลดหุ่นได้มากขึ้น พร้อมเสริมความสปอร์ตขึ้นไปอีกขั้นเพื่อเหนือกว่าคู่แข่งขันด้วยการต่อว่าดตั้งโช้คหน้า Up Side Down มาให้ เรียกเอาเสียงฮือจากไบค์เกอร์พอได้ แถมน้ำหนักตัวรถยนต์จากเดิมในโมเดลก่อนหน้าอยู่ที่ 170 กิโล แม้กระนั้นโมเดลปัจจุบันจากการจัดวางส่วนประกอบตัวรถยนต์ใหม่ทำให้น้ำหนักน้อยลงเหลือ 167 กิโล ก็ถือว่าต้องใจพอได้สำหรับผู้ใดกันที่กำลังต้องการเริ่มขี่แนวสปอร์ตเป็นคันแรก ที่จำต้องขอเสนอแนะเลยนะครับว่า Yamaha YZF-R3 เฟี้ยวแน่ๆนะครับ
ถึงคิวของน้องชายสุดหล่อเชื้อสายซูเปอร์สปอร์ตสุดจี๊ด กับความเฟี้ยวลากจิตใจไบค์เกอร์มาแล้วนับไม่ถ้วนกับ Yamaha YZF-R6 ที่มีประวัติตั้งแต่ปี 1999 ไม่แพ้พี่ใหญ่อย่างยิ่งจริงๆ...แล้วก็ถัดไปพวกเราจะมากล่าวถึงรายละเอียดของเจ้า YZF-R6 กันว่าเพราะอะไรถึงเป็นเลิศในซูเปอร์สปอร์ตที่ไบค์เกอร์ต่างต้องการทดลองสัมผัสสักหนึ่งครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 ถือได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวอีกรอบของคลาส 600 ค่าย Yamaha ซึ่งจากเดิมก่อนหน้า ที่จะเกิด Yamaha YZF-R6 ขึ้นมา Yamaha ได้สร้างรุ่น YZF600 ขึ้นมาในปี 1996 ที่มีทรงยังเป็นครึ่งหนึ่งสปอร์ตทัวร์ริ่งรวมทั้งอีก 3 ปีถัดมาก็ได้ให้กำเนิด Yamaha YZF-R6 ที่มาในแบบอย่างซูเปอร์สปอร์ตสุดกำลังพร้อมบล็อคเครื่องจักรกลใหม่ 4 ลูกสูบ 599 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ ให้กำลังวังชาสูงสุด 120 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที และก็มีแรงบิดสูงสุด 68 นิวตันเมตรที่ 11,500 รอบต่อนาที โดยหามน้ำหนักตัวรถยนต์ไว้ที่ 192 โล ซึ่งในสมัยนั้นนับว่า Yamaha YZF-R6 เป็นซูเปอร์สปอร์ตที่มีน้ำหนักค่อยและก็มีกำลังที่จัดจ้ากว่ารุ่นอื่นในพิกัดเดียวกันอย่างยิ่งจริงๆ
เมื่อการเปิดตัว Yamaha YZF-R6 โฉมแรกในตอนปี 1999-2002 Yamaha ได้กระทำการปรับปรุงโดยตลอดแล้วก็เปิดตัวรูปแบบใหม่ขึ้นในปี 2003 โดยมีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ให้มีความสปอร์ตเพิ่มขึ้นรวมถึงคุณภาพของเครื่องยนต์กลไกที่ได้แปลงจากคาร์บูเรเตอร์เป็นหัวฉีด รวมทั้งมีการปรับจูนข้างในเครื่องยนต์กลไกให้มีกำลังวังชามากขึ้นเป็น 123 แรงม้า พร้อมด้วยอัพเกรดระบบเบรกจากเดิมที่เป็น Axial Mount มาเป็น Radial Mount แบบรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1
มาถึงโฉมที่ซึ่งพูดได้ว่าเป็นที่คุ้นตาชินตาอย่างใหญ่โตสำหรับชื่อ YZF-R6 กับการปรับโฉมอีกรอบจนกระทั่งกล่าวได้ว่ามีความนำสมัยขึ้นอย่างชัดเจน โดยการปรับโฉมโมเดลนี้ของ Yamaha YZF-R6 ทาง Yamaha ได้ย้ำในเรื่องของ Aerodynamic อย่างเต็มเปี่ยมเพื่อการแหกของตัวรถยนต์ทำออกมาได้ดิบได้ดีที่สุด และก็ตามด้วยการอัพเกรดเครื่องจักรกลด้วยการต่อว่าดตั้งระบบ YCC-I หรือ Yamaha Chip Controlled Intake พร้อมด้วยปรับจูนข้างในเพิ่มเติมทำให้มีรอบเครื่องยนต์กลไกที่สูงถึง 17,500 รอบต่อนาที แล้วก็สามารถรีดพลังแรงม้าได้สูงสุดถึง 129 แรงม้า อย่างยิ่งจริงๆ...พอเพียงมาถึงตอนปี 2010 Yamaha YZF-R6 ได้มีการปรับน้อยที่เรียกว่าเป็นไมเนอร์ศาสนาเชนจ์ก็ว่าได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงโทนสีเพื่อเพิ่มความสปอร์ตมากเพิ่มขึ้น รวมถึงการตัดทอนกำลังวังชาลงให้เหลือเพียงแค่ 124 แรงม้า แล้วก็วางแบบท่อไอเสียใหม่ให้ยาวมากขึ้นทำให้ตัวรถยนต์มีแรงบิดที่มากขึ้นกว่าเดิม โดยเหตุนี้ทาง Yamaha ต้องการที่จะให้ YZF-R6 เป็นซูเปอร์สปอร์ตซึ่งสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ในระดับนึง เนื่องมาจากในโมเดลนี้ YZF-R6 นับได้ว่าเป็นโมเดลยอดนิยมอย่างใหญ่โตแล้วก็เป็นโมเดลที่อยู่นานที่สุด การีนตีถึงประสิทธิภาพจริงๆนะครับ
ในปี 2017 หนึ่งในกระแสรถยนต์ใหม่ที่ซึ่งพูดได้ว่าฮอตสุดๆอีกหนึ่งรุ่นคงจะต้องชูให้ Yamaha YZF-R6 โมเดลใหม่ปัจจุบันกันอย่างยิ่งจริงๆ กับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่หมดสะกดรอยพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1 พูดได้ว่าโมเดล 2017 ที่เป็นโมเดลศาสนาเชนจ์คราวนี้ได้จัดเต็มความสามารถมาอย่างยิ่งจริงๆทั้งยังในด้านเครื่องจักรที่ใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อความคงทนในรอบสูง และก็ระบบช่วยเหลือสำหรับการขับรถต่างๆดังเช่นว่า โหมดสำหรับเพื่อการขับรถที่มีถึง 3 โหมดเป็นA , STD แล้วก็ B และก็ตามด้วย Traction Control รวมถึง Quick Shifter ที่รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตควรจะมีไว้ ก็เลยกล้าเรียกได้เต็มปากว่า Yamaha YZF-R6 เป็นซูเปอร์สปอร์ตยอดนิยมของศักราชนี้เลยครับผม
มาจบท้ายกันที่พี่ใหญ่สุดในเครือญาติอย่าง Yamaha YZF-R1 โดยเกิดขึ้นโฉมแรกในปี 1998 เพื่อต่อร้อยกรองกับคู่ปรปักษ์ในสมัยนั้น กล่าวได้ว่าในตอนปี 1998 Yamaha YZF-R1 ยอดเยี่ยมในรถยนต์สปอร์ตไบค์ที่มีขุมพลังถึง 1,000 ซีซี. เพียงแต่ไม่กี่รุ่นเลยก็ว่าได้ กับบล็อคเครื่องจักรกล Genesis ขนาด 998 ซีซี. 4 ลูกสูบ DOHC 5 วาล์วต่อลูกสูบ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาบูเรเตอร์ Mikuni ให้กำลังวังชาสูงสุด 148.8 แรงม้าที่ 10,000 รอบต่อนาที และก็หามน้ำหนักตัวรถยนต์อยู่ที่ 192 กิโล ซึ่งนับว่าน้ำหนักโดยประมาณนี้กำลังพอดีสำหรับสปอร์ตไบค์ไซส์บิ๊ก โดยมีต้นเหตุมาจากความสะดุดตาของเฟรม Aluminium DeltaBox อันโด่งดังของ Yamaha ถัดมาในตอนปี 2000-2003 YZF-R1 ได้มีการปรับโฉมน้อยในส่วนของภาพลักษณ์รวมทั้งทรงให้ดียิ่งขึ้นในเรื่องของ Aerodynamic กับปรับตำแหน่งท่านั่งใหม่ให้คนขับขี่กระชับกับตัวรถยนต์...รวมถึงการอัพเกรดขุมพลังให้แรงขึ้น คงทนขึ้นรวมทั้งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นต่างๆของเฟรมให้มีความแข็งแรง กระจัดกระจายน้ำหนักได้ดีมากยิ่งกว่าเดิม
มาถึงปี 2004-2006 Yamaha YZF-R1 ได้มีการแปลงโฉมครั้งใหญ่แบบที่เรียกได้เลยว่าหล่อดึงจิตใจเลยก็ว่าได้ กับเอกลักษณ์ที่ทำให้ไบค์เกอร์หลายคนจำเป็นการออกแบบตำแหน่งท่อไอเสียคู่ที่จัดตั้งไว้ใต้ซุ้มล้อ พร้อมทั้งใบหน้าใหม่ทรงใหม่ที่ให้ความสปอร์ตเพิ่มมากขึ้นเป็นกอง รวมถึงการเริ่มใช้สวิงอาร์มวางแบบพลิกด้านสุดโก้เก๋ และก็ตามด้วยอัพเกรดขุมพลังเป็นระบบหัวฉีดและก็เพิ่มช่องแรมเครื่องปรับอากาศเข้าไป ทำให้สมรรถนะของเครื่องจักรจัดจ้าขึ้น ไปจนกระทั่งระบบเบรกที่อัพเกรดให้เป็นแบบ Radial Mount ที่จะตอบสนองการเบรกได้อย่างแน่ใจ
ในปี 2007-2008 Yamaha YZF-R1 ได้มีการอัพเกรดอีกรอบโดยเริ่มที่ภาพลักษณ์แล้วก็ทรง ที่มีการออกแบบข้างหน้าใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าสุดเฉียบคมอันเป็นเอกลักษณ์ที่คนไม่ใช่น้อยจำ พร้อมด้วยแรมเครื่องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และก็ตามด้วยการอัพเกรดเฟรมใหม่เป็น Aluminium Deltabox V ที่ทำให้ตัวรถยนต์มีการกระจัดกระจายน้ำหนักได้ดิบได้ดีมากยิ่งกว่าเดิม ขยับลงมาที่ข้างล่างกับการอัพเกรดระบบเบรกโดยใช้เป็นปั๊มเบรก Radial Mount ขนาด 6 ลูกสูบพร้อมกันกับดิสก์เบรกขนาด 310 มิลลิเมตร เพื่อล็อคคอความแรงจากการเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์กลไกบล็อคใหม่ที่มีการเริ่มใช้เทคโนโลยีจากรถแข่ง MotoGP กับขนาดปริมาตรกระบอกสูบ 998 ซีซี. 4 ลูกสูบ DOHC 4 วาล์วต่อดูด พร้อมระบบหัวฉีด YCC-T และก็ YCC-I ให้พลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 12,500 รอบต่อนาที พร้อมสลิปเปอร์คลัทช์ที่จะทำให้การใช้คลัทช์นิ่มนวลขึ้น...จัดว่าเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา ถ้าหากผู้ใดได้ควบ Yamaha YZF-R1 ความหล่ออาจจะไม่ต้องอธิบายกันอย่างยิ่งจริงๆครับผม
ปี 2009 กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Yamaha YZF-R1 เลยก็ว่าได้ กับการเปลี่ยนรูปแบบใหม่หมดโดยในปี 2009-2011 YZF-R1 ได้ดิบได้ดีไซน์รูปโฉมโนมพรรณใหม่ให้มีความดุเดือดเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่ไฟหน้าเป็นไฟหน้า 4 ตาในโฉม 2007-2008 ได้เปลี่ยนแปลงเป็นไฟหน้าโปรเจคเตอร์คู่หน้าเพียวๆรวมทั้งย้ายช่องแรมเครื่องปรับอากาศมาไว้ภายในรอบๆไฟหน้าแถวข้างๆดวงไฟโปรเจคเตอร์ และก็ตามด้วยการออกแบบให้ตัวรถยนต์มีความกระทัดรัดเข้ามากขึ้นเพื่อทำให้การขับขี่คล่องแคล่วมากยิ่งกว่าเดิม และก็สิ่งที่ยังคงอยู่เป็นเอกลักษณ์ให้มองเห็นอย่างชัดเป็นตำแหน่งท่อไอเสียคู่ที่จัดตั้งอยู่ใต้ซุ้มล้อแต่ว่ามีดีไซน์ใหม่เพื่อกับหุ่นของตัวรถยนต์ที่กระชับมากยิ่งกว่าเดิม รวมทั้งสิ่งที่ซึ่งพูดได้ว่าเป็นจุดไคลแม็กซ์ของความเคลื่อนไหวในปี 2009 เลยก็ว่าได้ เป็นการเปลี่ยนใช้เครื่องจักรบล็อคใหม่รูปแบบใหม่โดยถ่ายทอดมาจากรถแข่ง MotoGP อย่าง Yamaha YZR-M1 ที่ใช้ระบบเพลาข้อเหวี่ยง CrossPlane จุดระเบิดไม่เหมือนกัน 270° กระทั่งทำให้เสียงเครื่องจักรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลจนกระทั่งทำให้ไบค์เกอร์คนไม่ใช่น้อยในสมัยนั้นต่างก็เป็นที่ผิดหูกันเป็นว่าเล่นอย่างยิ่งจริงๆ และก็ให้กำลังสูงสุดที่ 182 แรงม้าที่ 12,500 รอบต่อนาที พร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมด A ที่ให้กำลังสูงสุด , โหมด STD ที่ให้กำลังวังชาปานกลาง แล้วก็โหมด B ที่ให้พลังสมูธที่สุด สามารถเลือกใช้ตามสมควรของผู้ใช้งานนะครับ กล่าวได้ว่าเริ่มไปสู่สมัยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาจัดตั้งกับตัวรถยนต์เพื่อให