![โบท็อกไมเกรน](https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/25/eWLcu2.png)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเจอปัญหาอาการปวดหัวเพราะไมเกรนอย่างต่อเนื่อง รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เราขอแนะนำอีกหนึ่งทางเลือก นั่นคือ การฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน แล้ว
โบท็อกไมเกรนคืออะไร มีวิธีการฉีดอย่างไร มีความปลอดภัยหรือมีผลข้างเคียงที่จะตามมาหรือไม่ วันนี้ เรารวบรวมข้อมูลและสถานพยาบาลดี ๆ มาแนะนำให้คุณแล้ว
ฉีดโบท็อกไมเกรนแล้ว มีผลข้างเคียงอย่างไรบ้างสำหรับการฉีดโบท็อกไมเกรนจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย และมีความปลอดภัยสูง เพราะ Botulinum toxin ไมเกรน ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาและองค์การอาหารและยาของไทย ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกาย แต่ในบางรายก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น
- อาการบวมแดง มีจุดรอยช้ำหรือรอยนูนจากเข็ม อาการจะหายไปใน 1-2 วัน
- อาการบวมแดงอันเกิดจากการแพ้ เจ็บบริเวณที่ฉีด หรือการติดเชื้อ
- ผลข้างเคียงลักษณะแบบชั่วคราว เช่น หนังตาตก รูปหน้าเบี้ยว เป็นต้น
แต่กรณีดังกล่าว ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย ถ้าหากใช้โบท็อกไมเกรนที่เป็นของแท้ ฉีดถูกตำแหน่ง และรับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ก็สามารถมั่นใจได้ว่า ปลอดภัยและลดโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้ได้
เราควรเลือกฉีดโบท็อกไมเกรนที่ไหนดี![โรงงานผลิตครีมทาผิว](https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/25/eWehnq.png)
เมื่อคุณตัดสินใจที่จะฉีดโบท็อกไมเกรนแล้ว คำถามถัดมา คือ รักษาไมเกรนที่ไหนดี เราได้สรุปแนวทางการเลือกไว้ ดังนี้
1.สถานพยาบาลต้องได้มาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือบนโลกออนไลน์ ภายในสถานพยาบาลมีความสะอาด ครบครันด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรยากาศรอบ ๆ มีความปลอดภัย และที่สำคัญ จะต้องสามารถเดินทางได้สะดวก
2.แพทย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพราะการฉีดโบท็อกไมเกรน เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเฉพาะจุด ดังนั้น แพทย์จึงต้องมีความเชี่ยวชาญและแม่นยำในการรักษา
3.ใช้ผลิตภัณฑ์โบท็อกที่เป็นของแท้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการรักษา
โดยเราขอแนะนำ BTX Migraine Center ซึ่งเป็นศูนย์รักษาไมเกรนโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่รักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางระบบสมอง ช่วยรักษาไมเกรนเรื้อรัง อาการออฟฟิศซินโดรม ลดอาการปวดและการใช้ยารับประทานได้กว่า 90%
ซึ่งทาง BTX Migraine Center ให้บริการอย่างรอบด้าน ทั้งตรวจไมเกรน รักษาไมเกรน โบท็อกไมเกรน และโบท็อกออฟฟิศซินโดรม โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบท็อกไมเกรน ราคาที่สมเหตุสมผล และการันตีด้วยรีวิวของผู้ที่เข้ารับการรักษาจริง ว่ามีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แล้วโบท็อกไมเกรน คืออะไร?![โบท็อกไมเกรน คืออะไร](https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/25/eWe8pJ.png)
ก่อนอื่น เราต้องมาทำความรู้จักเกี่ยวกับโรคไมเกรนกันก่อน ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อย ซึ่งสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย โดยจะพบมากในเพศหญิง โดยเฉพาะช่วงอายุ 25 – 55 ปี และเมื่อเข้ารับการตรวจไมเกรน ก็มักได้รับการวินิจฉัยที่ผิดพลาด
ไมเกรนจะมีอาการคล้ายปวดหัวทั่ว ๆ ไป มีลักษณะเหมือนมีอะไรมาบีบ หรือว่ามากดมารัดบริเวณรอบ ๆ เบ้าตา ขมับ 2 ข้างไปจนถึงท้ายทอย โดยบางรายก็จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ไม่อยากเห็นแสงจ้า และไม่อยากได้ยินเสียงดัง ส่วนบางคนอาจมีอาการปวดบ่อยครั้งขึ้น รุนแรงขึ้น และยาวนานขึ้น จนกลายเป็นอาการ “ปวดหัวเรื้อรัง” ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนไม่หลับ ขับรถหรือทำงานไม่ได้ เป็นต้น
แต่บางครั้งอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่อาการไมเกรน แต่อาจเป็นอาการปวดหัวจากโรคอื่น เช่น มีเนื้องอกซ่อนอยู่ มีเลือดออกในสมอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะสิ่งใด การปล่อยไว้ก็อาจส่งผลอันตรายได้ หรือหากได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง การซื้อยาทานเองบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะปวดหัวจากการใช้ยาแทน ซึ่งจะมีความรุนแรงมากกว่าและรักษาได้ยากกว่า
โดยไมเกรนนี้ เกิดจากระบบรับความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณใบหน้ามีความไวมากกว่าปกติ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้น ก็จะทำให้ปวดหัวขึ้นมาได้ ทำให้สมองไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ รวมถึงเกิดจากการอักเสบของเส้นเลือด สมอง และเส้นประสาท ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือยีนก็เป็นได้
สิ่งที่เป็นการกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีมากมายหลายประเภท เช่น
- การพักผ่อนน้อย
- ความเครียดทุกชนิด เช่น งานที่รีบเร่ง หรือต้องใช้สมาธิ ก็จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการปวดหัวจากความเครียดได้
- แสงสว่างจ้า การจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือแสงข้างนอกจ้า ๆ
- อากาศที่ร้อนจัด หรือเย็นจัด ก็สามารถกระตุ้นไมเกรนได้
- กลิ่นบางอย่าง เช่น ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ กลิ่นน้ำหอมแรง ๆ
- อาหารบางอย่าง เช่น ชา กาแฟ ชีส ช็อกโกแลต อาหารที่มีผงชูรส
- ผู้หญิงช่วงที่มีประจำเดือน
ส่วนอาการของไมเกรนที่สามารถสังเกตได้หลัก ๆ คือ
- ปวดหัวนาน 4 - 72 ชั่วโมง (ไม่ได้รับยา)
- ปวดหัวข้างเดียว คือ ปวดหัวข้างซ้าย หรือ ปวดหัวข้างขวา (พบการปวด 2 ข้างประมาณ 40-50%)
- มีอาการปวดตุบ ๆ เหมือนเส้นเลือดเต้น หรือปวดแบบหนัก ๆ บีบ ๆ
- ปวดหัวรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก
- ปวดมากขึ้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะหรือร่างกาย
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือไวกับแสง/เสียง
- บางรายอาจมีอาการนำมาก่อนการปวดศีรษะ
สำหรับการรักษาไมเกรน ก็มีทางเลือกให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การไม่ใช้ยา หรือการใช้วิธีป้องกัน ดังนี้
- การรักษาแบบใช้ยา โดยใช้ยาแก้ปวดไมเกรน ประเภทยากลุ่มอาการชัก ยาต้านซึมเศร้า ยายับยั้งตัวจับแคลเซียม ยายับยั้งตัวรับเบต้า เป็นต้น ต้องรับประทานยาทุกวันติดต่อกันประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี โดยยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากรับประทานประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วยลดความรุนแรงของอาการไมเกรน ลดความถี่ ทำให้ยาแก้ปวดออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
- การรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น การทำกายภาพบำบัด การฝังเข็มไมเกรน การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การบำบัดโดยการปรับพฤติกรรมและความคิด การฝึกการผ่อนคลาย ไบโอฟีดแบค (Biofeedback) และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- การป้องกันไมเกรน โดยการใช้วิตามินและเกลือแร่ อย่างแมกนีเซียม (Magnesium) วิตามินบี 2 (Riboflavin) โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ค็อกเทลรักษาอาการปวดศีรษะ (Headache Cocktail) เป็นต้น
แต่ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษาไมเกรนมีตัวเลือกมากขึ้น คือ การฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน แม้ว่า หลาย ๆ คนจะคุ้นเคยกับการฉีดโบท็อกเพื่อเสริมความงาม ลดริ้วรอย แต่อีกหนึ่งประโยชน์ของโบท็อกก็คือ ช่วยรักษาอาการไมเกรนได้
ด้วยอาการปวดหัวจากไมเกรนเกิดจากการตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ ทำให้รบกวนระบบการไหลเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เกิดอาการตึงและปวด และตามมาด้วยอาการของเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เห็นแสงระยิบระยับ เวียนหัว และคลื่นไส้อาเจียน
โดยโบท็อกจะเข้ายับยั้งสารอะเซทธิลโคลีน (Acethyl Choline) ที่ถูกปล่อยออกมาจับกับตัวรับที่อยู่ในกล้ามเนื้อเส้นประสาท ทำให้เกิดการสั่งการให้กล้ามเนื้อหดตัว ซึ่งโบท็อกจะยับยั้งไม่ให้เกิดการส่งสารสื่อประสาท กล้ามเนื้อจึงไม่หดตัวนั่นเอง และนอกจากนี้ ยังยับยั้งสารสื่อประสาทที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดลดลงได้ และช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น เป็นการรักษาอาการปวดไมเกรนที่ต้นเหตุ
ซึ่งการฉีดโบท็อกรักษาไมเกรนนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraine) คือ ปวดหัวอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน หรือผู้ที่มีอาการปวดหัวรุนแรง ปวดหัวบ่อย ปวดหัวโดยที่รับประทานยาแก้ปวดไม่หาย ปวดหัวจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป
ดังนั้น การฉีดโบท็อกไมเกรน จึงช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดหัว อีกทั้งยาที่ฉีดก็มีความปลอดภัยสูง โดยจะต้องฉีดในทุก ๆ 3 เดือน และมีตำแหน่งการฉีดเฉพาะ เราจึงจำเป็นต้องได้รับการฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมการฉีด เพื่อลดอาการไมเกรนโดยเฉพาะ ไม่เช่นนั้นก็อาจไม่ได้ผล
วิธีในการฉีดโบท็อกรักษาไมเกรนเป็นอย่างไร![วิธีในการฉีดโบท็อกไมเกรน](https://sv1.picz.in.th/images/2023/02/25/eWeLyR.png)
อย่างที่เราทราบแล้วว่า เราสามารถฉีดโบท็อกรักษาไมเกรนได้ โดยโบท็อกที่เลือกใช้จะเป็นโบท็อกชนิดเดียวกันกับที่ใช้ในด้านความงาม เพียงแต่ในการรักษาไมเกรน แพทย์จะฉีดโบท็อกที่ใบหน้าระหว่างคิ้ว หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า จำนวน 31 จุด ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม
โดยการฉีดโบท็อกช่วยไมเกรนนี้ เป็นวิธีที่ปลอดภัย จากการวิจัยพบว่า สามารถลดอาการปวดลงได้ 60 – 70% มีผลอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน โดยยาจะไม่ออกฤทธิ์ทันที แต่ต้องใช้เวลา 3 – 4 วัน และจะออกฤทธิ์สูงสุดในสัปดาห์ที่ 2 จะอยู่ได้ 2 – 3 เดือน แล้วค่อย ๆ หมดฤทธิ์ลง
สรุปการฉีดโบท็อกไมเกรนเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคไมเกรนที่หลายคนกำลังประสบปัญหานี้ เพราะไมเกรนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก โดยทาง BTX Migraine Center ก็พร้อมให้บริการ ซึ่งเราสามารถแอดไลน์ เพื่อขอคำปรึกษาและนัดวันเข้ารับการรักษาได้อย่างสะดวก