ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


5 ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อตู้เซฟราคาประหยัด

ในยุคสมัยที่สิ่งของมีค่ามีราคาแพงขึ้นทุกวัน ตู้เซฟจึงกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้เราเก็บรักษาข้าวของมีค่าให้ปลอดภัย มั่นใจ แม้จะไม่มีใครอยู่บ้าน แต่ด้วยราคาตู้เซฟในท้องตลาดที่ค่อนข้างสูง หลายคนจึงมองหาตู้เซฟราคาประหยัดมาใช้งาน ทว่าการเลือกซื้อตู้เซฟราคาประหยัดนั้น ก็ใช่ว่าจะซื้อแบบไหนก็ได้ ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ตู้เซฟที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


1. ขนาดและความจุ
อันดับแรก ควรพิจารณาขนาดและความจุของตู้เซฟให้เหมาะสมกับความต้องการใช้งาน ว่ามีของมีค่าอะไรบ้างที่ต้องเก็บ
กรณีเป็นเอกสารสำคัญ หรือของมีค่าชิ้นเล็ก ๆ: ตู้เซฟขนาดเล็กที่มีความจุประมาณ 0.5 - 1 คิวบิกฟุต ก็เพียงพอ ตัวอย่างเช่น ตู้เซฟสำหรับเก็บเอกสารสำคัญ โน้ตบุ๊ก หรือเครื่องประดับชิ้นเล็ก ๆ
กรณีต้องการเก็บของชิ้นใหญ่: ควรเลือกตู้เซฟที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ความจุประมาณ 1 - 2 คิวบิกฟุต ตัวอย่างเช่น ตู้เซฟสำหรับเก็บแล็ปท็อป กล้องถ่ายรูป หรือกระเป๋าเงิน
2. ระบบล็อก
ระบบล็อกเป็นหัวใจสำคัญของตู้เซฟ ตู้เซฟราคาประหยัดมักมีระบบล็อกแบบกุญแจ หรือระบบล็อกแบบรหัส
ระบบล็อกแบบกุญแจ: มีข้อดีตรงที่ใช้งานง่าย หาซื้อง่าย แต่ข้อเสียคือกุญแจอาจหายได้ ควรเลือกตู้เซฟที่มีระบบกุญแจแบบ 2 รูกุญแจ เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น และควรเก็บกุญแจสำรองไว้ในที่ปลอดภัย
ระบบล็อกแบบรหัส: มีความปลอดภัยมากกว่า แต่ต้องจดจำรหัสให้แม่นยำ ควรเลือกตู้เซฟที่มีระบบล็อกแบบดิจิทัล ใช้งานสะดวก เปลี่ยนรหัสได้ง่าย และควรตั้งรหัสที่คาดเดายาก
3. วัสดุและการออกแบบ
ตู้เซฟราคาประหยัดมักผลิตจากเหล็กกล้า ควรเลือกตู้เซฟที่มีความหนาของเหล็กอย่างน้อย 1 มม. ขึ้นไป เพื่อป้องกันการงัดแงะ และควรตรวจสอบรอยเชื่อมให้เรียบร้อย ไม่มีรอยร้าว ส่วนการออกแบบ ควรเลือกตู้เซฟที่มีดีไซน์เรียบง่าย ใช้งานสะดวก เช่น มีชั้นวางของภายใน ช่วยให้จัดเก็บข้าวของได้เป็นระเบียบ
4. มาตรฐานความปลอดภัย
ตู้เซฟราคาประหยัดบางรุ่นอาจไม่มีมาตรฐานความปลอดภัยรองรับ ควรเลือกซื้อตู้เซฟจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรองรับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐาน UL จากสหรัฐอเมริกา หรือมาตรฐาน VdS จากเยอรมนี เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของข้าวของมีค่า
5. บริการหลังการขาย
ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรสอบถามเรื่องบริการหลังการขายจากผู้ขาย ว่ามีการรับประกันสินค้าหรือไม่ ระยะเวลานานแค่ไหน มีศูนย์บริการซ่อมแซมที่ไหนบ้าง เพื่อความสะดวกหากเกิดปัญหาในภายหลัง ตัวอย่างเช่น การรับประกันสินค้า 1 ปี มีศูนย์บริการซ่อมแซมทั่วประเทศ

การเลือกซื้อตู้เซฟราคาประหยัด ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ตู้เซฟที่ตรงกับความต้องการ ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป