ประกันรถยนต์จริงๆ แล้วมีกี่แบบกันนะ เชื่อว่าคำถามนี้คงอยู่ในใจของใครหลายๆ คน ทั้งที่เคยเห็นผ่านตาเกี่ยวกับประกันชั้น 1 ตามสื่อต่างๆ และไหนจะพรบ รถยนต์ที่ต้องทำพร้อมกับต่อภาษีรถยนต์อีกล่ะ ซึ่งจริงๆแล้ว 2 อันนี้เหมือนกันหรือไม่ ลองมาดูความแตกต่างกันนะคะ
พรบ รถยนต์ ก็คือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เป็นกฎหมายที่บังคับให้รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกจะต้องทำและมีไว้เป็นหลักประกันให้กับคนในรถทุกคัน หรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนว่าจะได้รับสิทธิความคุ้มครองจากเงินกองกลางที่รถทุกคันได้ทำ พ.ร.บ. ว่า จะได้รับความคุ้มครองในรูปแบบของ เงินค่ารักษาพยาบาลจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือการประสบภัยจากรถในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง ซึ่งในแง่ของกฎหมายจะเป็นการแบ่งเบาภาระค่าเสียหาย และบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยและครอบครัวได้นั่นเอง ซึ่งถือเป็นประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ
ส่วนอีกประเภทก็คือ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมไปถึงความเสียหายของรถ ซึ่งพรบ รถยนต์ ไม่ครอบคลุมนั่นเอง โดยแบ่งเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ดังนี้
1.
ประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลในรถ และบุคคลภายนอก รวมถึงความเสียภายที่เกิดขึ้นต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัย รวมถึงกรณีเกิดไฟไหม้และการสูญหายด้วย
2. ประกันชั้น 2 จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลในรถ และบุคคลภายนอก และ
ประกัน รถยนต์ 2 ยังรวมถึงความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์จากการเกิดไฟไหม้และการสูญหาย
3. ประกันชั้น 3 จะรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลภายนอก และความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์จากการเกิดไฟไหม้และการสูญหาย
4. ประกันชั้น 2+ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายในกรณีเดียวกับประกันชั้น 2 แต่เพิ่มความรับผิดต่อในส่วนของความเสียหายต่อตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย แต่เฉพาะกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น และจำเป็นต้องมีคู่กรณีด้วย
5. ประกันชั้น 3+ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายในกรณีเดียวกับประกันชั้น 3 แต่คุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันภัยในวงเงินจำกัด และเฉพาะกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น
เราสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำประกันภาคสมัครใจก็ได้ และจะเห็นว่ามีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ หลากหลายราคา ทั้งนี้การตัดสินใจก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มครองที่เราต้องการนั่นเอง จะเห็นว่าประกันรถยนต์ประเภทสมัครใจถือว่าได้รับความนิยมมากเนื่องจากให้ความคุ้มครองที่มากขึ้นจาก พ.ร.บ.รถยนต์ และมีให้เลือกหลายแบบ เรียกว่าถ้ามีไว้ก็ให้ความอุ่นใจได้มากกว่า ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็ยังช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายในส่วนของการซ่อมรถที่ตัวพรบ รถยนต์ไม่ครอบคลุมอีกด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้นหากใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์อยู่นั้นควรศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้ถี่ถ้วน พิจารณาเงื่อนไขและความคุ้มครองที่จะได้รับให้ดีเสียก่อน รวมถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทก็เป็นสิ่งสำคัญในการพิจารณา เพื่อให้ได้ในแบบที่ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุด รวมถึงคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปด้วย เนื่องจากหากความคุ้มครองครอบคลุมมาก ค่าเบี้ยประกันก็จะสูงตามไปด้วยเช่นกัน จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของเราค่ะ