ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ สัญญาณอันตรายหรือเรื่องปกติของเด็กแรกเกิด เด็กอ่อนร้องไห้งอแงเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยแรกเกิด การร้องไห้เป็นวิธีแรกของทารกในการสื่อสารให้รู้ถึงความต้องการ ทารกที่มีอายุมากกว่า 1 เดือนจะร้องไห้หลายรูปแบบเพื่อบอกความต้องการ เช่น ร้องเพราะหิว หงุดหงิด ผ้าอ้อมเปียก ท้องผูก ท้องเสีย รู้สึกเหงาหวาดกลัวต้องการแม่คอยปลอบใจ ถึงแม้จะเป็นคุณแม่มือใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปด้วยสัญชาตญาณของแม่จะเรียนรู้ได้เองว่าทำไมลูกน้อยถึงร้องไห้ แต่ในกรณีที่
ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ เป็นเวลานานอาจเป็นสัญญาณอันตราย บอกถึงความผิดปกติของร่างกายและจิตใจ ทารกอาจเจ็บป่วย เกิดการติดเชื้อ บาดเจ็บ หรือมีปัญหาบางอย่าง อาจหมายถึงว่าลูกน้อยของคุณมีปัญหาสุขภาพทำให้เจ้าตัวน้อยร้องไห้ไม่หยุด
ในช่วง 3-4 เดือนแรก ทารกร้องไห้ อาจเป็นการร้องจาก
อาการโคลิค สิ่งสำคัญคือต้องคอยดูสัญญาณเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการร้องไห้ที่ไม่เป็นไปตามปกติ ดังต่อไปนี้
-
ลูกร้องไม่หยุด หลับหูหลับตาร้องจนหน้าแดงตัวงอ
-ไม่โต้ตอบกับพ่อแม่หรือตอบสนองต่อวัตถุ
-นอนมากขึ้นหรือดูเหมือนจะไม่มีแรง
-ไม่กินนมอย่างน้อย 2 มื้อติดต่อกันหรืออาเจียน
-ไม่ขยับแขนหรือขา
-มีอาการบวมบางส่วนบนร่างกายและร้องไห้อย่างเจ็บปวดเมื่อแตะสัมผัสโดนหรืออุ้มเคลื่อนย้าย
-ตรวจดูพบว่ามีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส
-อาเจียน ท้องผูกหรือท้องเสียรุนแรง
สัญญาณของความเจ็บปวดที่คุณแม่ต้องสังเกตให้ดี มีดังนี้-เด็กทารกที่เจ็บปวดอาจหลับตาร้องไห้จนหน้าผากมีรอยย่น
-เสียงฮึดฮัดเมื่อหายใจ หายใจเสียงแหลม หรือกลั้นลมหายใจ
-กรีดร้องดัง กำหมัดแล้วเตะขาในอากาศ
-กระสับกระส่าย นอนพลิกตัวและขยับบ่อย
เพราะอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเล็กน้อยอาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กร้องไห้ก็ได้ คุณแม่ควรตรวจสอบร่างกายส่วนต่าง ๆ ของลูกน้อยว่าตรงไหนที่เจ็บปวดบ้าง โดยให้สังเกตจาก
-เปิดผ้าอ้อมตรวจเช็คผิวหนังว่ามีผื่นคัน เปียกชื้น
-ผ้าอ้อมอาจรัดแน่นและเสียดสีอวัยวะเพศ(ชาย)
-ศีรษะเด็กกระแทกเมื่ออุ้มเข้าไปวางไว้ในเบาะรถยนต์
-เด็กตกหรือกระแทกบางอย่างทำให้เกิดรอยช้ำหรือรอยขีดข่วนเล็ก ๆ
-มีขนตาหรือวัตถุอื่น ๆ ในดวงตา ให้สังเกตว่าตาสีแดง ลูกน้อยกระพริบตาถี่
-มองหาบริเวณที่มีรอยแดงบนผิวหนัง อาจเกิดจากแมลงกัดต่อย ถ้าอักเสบรุนแรงให้จับแมลงและไปพบแพทย์ทันที
หากลูกน้อยของคุณแม่ไม่มีอาการข้างต้นเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณของ เด็กร้องไห้ ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกต บางอย่างอาจไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเอง สภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย ทารกแรกเกิดมักจะปรับตัวในสภาพแวดล้อมใหม่นอกท้องของแม่ได้ยาก ยังต้องการความอบอุ่นอยู่เสมอ นอกจากการอุ้มปลอบแล้วควรให้ความอบอุ่น แต่งตัวให้ลูกใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ปรับสภาพห้องนอนให้เงียบและเหมาะกับการพักผ่อนนอนหลับ ช่วยให้คุณแม่รับมือกับลูกน้อยที่มีอาการโคลิคได้ดียิ่งขึ้น สามารถแยกแยะได้ถูกว่าอาการร้องไห้ของลูกน้อยเป็นสัญญาณอันตรายหรือเรื่องปกติของเด็กแรกเกิด
ในส่วนของผลกระทบทางตรงที่เกิดจากภาวะโคลิค คือ เด็กเกิดอาการจุกเสียดเพราะมีแก๊สแน่นท้อง รู้สึกอึดอัดไม่ยอมกินนมจึงต้องพยายามให้เรอหรือผายลมออกมา ถ้าเด็กร้องไห้ต่อเนื่องบ่อย ๆ จะเกิดความเครียดในครอบครัวขึ้นได้ ส่วนผลกระทบในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อการนอนพักผ่อน เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพ เกิดโรคภูมิแพ้ โรคกรดไหลย้อน และอื่น ๆ หากคุณแม่รับมือกับอาการร้อง
โคลิกไม่ไหวควรขอความช่วยเหลือจากครอบครัวและพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คและหาทางแก้ปัญหา