เรื่องน่ารู้ ทารกร้องไห้ ไม่หยุด สร้างผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ปัญหา ทารกร้องไห้ งอแงไม่ยอมหลับยอมนอน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องผ่านพ้นไปให้ได้ เพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กช่วงวัยแรกเกิดจะร้องไห้เพื่อแสดงความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองออกมาให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้สิ่งที่ต้องการหรือรู้สึกปลอดภัยแล้วก็มักจะหยุดร้องและกลับมาร่าเริงตามปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเด็กทารกจำนวนไม่น้อยที่มี
อาการโคลิค หรือภาวะ
ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยได้พักผ่อน เนื่องจากต้องคอยดูแลลูกน้อยที่มักจะร้องไห้รุนแรงต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงเกือบทุกวัน ตั้งแต่ช่วงเดือนแรกไปจนถึงอายุ 3 เดือน หลังจากนั้นอาการจะเริ่มทุเลาลงจนกระทั่งหายเป็นปกติ อย่างไรก็ตามการปล่อยให้
ลูกร้องไม่หยุด จะสร้างผลเสียต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้าน แต่จะมีอะไรบ้างนั้น วันนี้เรามีคำตอบดี ๆ มาฝาก
ทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยและหมดแรง หากปล่อยให้ เด็กร้องไห้ เป็นเวลานาน ในเบื้องต้นสิ่งที่จะตามมาคือ เด็กจะรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ซึ่งหากปล่อยอาจทำให้ลูกหมดแรงและนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ นอกจากนั้น ถ้าในระหว่างร้องไห้มีอาการตัวเขียวคล้ำ ตัวซีด ปากซีด ท้องเสีย อาเจียน ท้องผูก ถ่ายเป็นมูกเลือด มีไข้ มีอาการชัก หรือมีผดผื่นขึ้นตามตัว คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
ทำให้ลูกดูตัวเล็กกว่าปกติ ถึงแม้ว่า อาการ
โคลิค จะไม่ได้มีผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย แต่อาจทำให้เด็กทารกบางรายอาจดื่มนมน้อยหรือไม่ยอมดื่มนมเลย ส่งผลให้มีขนาดตัวเล็กกว่าเกณฑ์และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ช้าลง ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกดื่มนมน้อยเกินไปหรือมีพัฒนาการทางด้านร่างกายช้ากว่าปกติ แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
ทำให้มีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ช้าลง การปล่อยให้ ลูกร้องไม่หยุด เป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาที โดยไม่ได้รับการปลอบโยนจากคุณพ่อหรือคุณแม่ จะทำให้สมองของเด็กเกิดความเครียดและหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโซล (Cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียดออกมาทำลายเซลล์ประสาทของเด็ก ทำให้พัฒนาการของเด็กช้าลงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย สติปัญญา ภาษา และการเข้าสังคม
จะเห็นได้ว่าการปล่อยให้ เด็กร้องไห้ เป็นเวลานานนั้น มีผลเสียต่อลูกน้อยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นว่า ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ควรรีบเข้าไปปลอบโยนหรือหาทางให้ลูกสงบลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของลูกน้อยอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเจริญเติบโตของลูกรักได้อย่างสมบูรณ์