ปัญหาที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ พบเจอกันบ่อยมากที่สุดก็คือปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือนที่มาไม่ปกตินั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนมามากกว่าปกติ ประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ ประจำเดือนขาด หรือประจำเดือนเลื่อน
ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือนเหล่านี้ทำเอาผู้หญิงอย่างเรา ๆ กังวลกันไปหมด ว่ามีอะไรผิดปกติกับร่างกายหรือเปล่า แล้วจะอันตรายไหม หรือมีความอันตรายมากน้อยแค่ไหน โดยในบทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยปัญหา
ประจำเดือนมาน้อยกัน
ประจำเดือนมาน้อยอาการประจำเดือนมาน้อย หรือ Light Period คือการที่ปริมาณของประจำเดือนในรอบเดือนนั้น ๆ มีน้อยลงจนผิดปกติ หรือจำนวนวันที่ประจำเดือนมาในรอบนั้นลดน้อยลง ซึ่งการที่ประจำเดือนมาน้อยนั้นถ้าหากเกิดขึ้นไม่บ่อยก็อาจไม่ใช้สัญญาณอันตราย โดยจะพบได้มากในวัยรุ่นและผู้ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน
แต่ถ้าหากว่ามีอาการประจำเดือนมาน้อยผิดปกติบ่อย ๆ ก็ควรที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุ และทำการรักษาให้ประจำเดือนมาเป็นปกติโดยทันที
ลักษณะประจำเดือนปกติโดยปกติทั่วไปแล้วลักษณะของประจำเดือนในผู้หญิงจะมีประมาณ 3-5 วันต่อรอบเดือน แต่ในบางคนก็อาจมีประจำเดือนจนถึง 7 วันเลยก็มีเช่นกัน ซึ่งรอบประจำเดือนจะอยู่ช่วงเวลา 21-35 วันโดยประมาณ และปริมาณของประจำเดือนที่ออกมาในแต่ละวันไม่ควรเกิน 80 ซีซี
วิธีสังเกตอาการประจำเดือนมาน้อยในอาการประจำเดือนมาน้อยผิดปกติสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้
- ประจำเดือนในรอบเดือนนั้น ๆ มีระยะวันที่มาน้อยลงกว่าปกติ
- การใช้ผ้าอนามัยในรอบเดือนนั้น ๆ ลดจำนวนลง
- มีประจำเดือนในปริมาณที่น้อยผิดปกติตั้งแต่วันแรกของรอบเดือนนั้น ๆ
- ปริมาณของประจำเดือนมีน้อยมากจนเหมือนมากะปริบกะปรอย
ประจำเดือนมาน้อยเกิดจากอะไรสาเหตุที่ส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยนั้นมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุจากสภาพร่างกาย หรือสาเหตุจากการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวัน และอาจรวมไปถึงสาเหตุจากการใช้ยา โดยในหัวข้อนี้จะอธิบายให้รู้กันว่ามีสาเหตุอะไรบ้าง
1. น้ำหนักสูง - ต่ำกว่าเกณฑ์การมีน้ำหนักตัวที่สูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์นั้นก็ส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยได้เช่นกัน เนื่องจากการมีน้ำหนักตัวน้อยหรือผอมเกินไปร่างกายจะขาดไขมันที่จะผลิตฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการตกไข่ ส่วนการมีน้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไปจะทำให้การผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) มีมากเกินไป
2. อายุและช่วงวัยในช่วงวัยรุ่นและวัยใกล้หมดประจำเดือนจะทำให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ เนื่องจากในวัยรุ่นร่างกายจะยังมีการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ จึงส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมการมีประจำเดือน ส่วนในวัยใกล้หมดประจำเดือนระดับฮอร์โมนจะเริ่มลดลง จึงส่งผลถึงปริมาณประจำเดือนมาน้อยลงไปด้วย
3. ระดับฮอร์โมนไม่ปกติระดับของฮอร์โมนที่ไม่ปกติก็จะส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยลงกว่าปกติ โดยฮอร์โมนที่เมื่อเกิดความผิดปกติหรือขาดความสมดุลแล้วทำให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยคือ ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นการตกไข่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone)
4. การใช้ยาคุมกำเนิดการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ด ยาฉีด หรือวงแหวนคุมกำเนิด ก็อาจทำให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยได้เช่นกัน ซึ่งอาการจะขึ้นในช่วงที่เพิ่งเริ่มใช้ยาหรือหลังจากหยุดยาได้ไม่นาน
5. ความเครียดการเกิดความเครียดจะทำให้การผลิตฮอร์โมนโกนาโดโทรฟิน (Gonadotrophin) ถูกรบกวน และส่งผลต่อการควบคุมระบบสืบพันธุ์ จนทำให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยได้
6. ภาวะไข่ไม่ตกภาวะไข่ไม่ตกนั้นมีสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน ทั้งความเครียด การออกกำลังกายหนักเกินไป หรือความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งเมื่อมีภาวะไข่ไม่ตกก็ส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยกว่าปกติหรือประจำเดือนมาไม่ปกติได้
7. การตั้งครรภ์และให้นมบุตรผู้ที่มีการตั้งครรภ์จะมีเลือดออกกะปริบกะปรอยประมาณ 1-2 วัน ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการปฏิสนธิ จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดประจำเดือน ส่วนในผู้ที่มีการให้นมบุตรจะเกิดอาการประจำเดือนมาน้อยเนื่องจากฮอร์โมนที่ช่วยผลิตน้ำนมจะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเพศ ส่งผลให้การตกไข่ช้าลง
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์เมื่อเกิดอาการประจำเดือนมาน้อยที่มีอาการดังนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที
- มีอาการประจำเดือนมาน้อยอยู่บ่อยครั้ง
- ปริมาณของประจำเดือนมีน้อยผิดปกติ
- ประจำเดือนในรอบเดือนนั้น ๆ มีน้อยกว่า 2 วัน
- มีประจำเดือนน้อยกว่า 9 ครั้งต่อปี
- ระยะเวลาของรอบเดือนนานเกินกว่า 35 วันมาหลายรอบเดือน
อาการประจำเดือนผิดปกติที่มักเกิดร่วม อาการต่าง ๆ ที่มักเกิดร่วมในอาการประจำเดือนผิดปกติ มีดังนี้
- ปวดท้องประจำเดือนมากผิดปกติ
- ปวดท้องน้อยทั้งที่ไม่ได้อยู่ในรอบเดือน
- มีลิ่มเลือดเป็นก้อนปนออกมาขณะที่มีรอบเดือน
- มีปริมาณตกขาวมาก
การวินิจฉัยภาวะประจำเดือนมาน้อยเมื่อมีอาการประจำเดือนมาน้อยที่มีอาการผิดปกติมาก เกิดอาการบ่อย หรือเกิดอาการร่วมที่ผิดปกติต่าง ๆ ก็ควรที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อที่จะทำการรักษาได้อย่างตรงจุด โดยการวินิจฉัยภาวะประจำเดือนมาน้อยมีดังนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกายในขั้นแรกแพทย์จะทำการซักประวัติ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามอาการเบื้องต้น ความผิดปกติของรอบเดือน ประวัติการมีเพศสัมพันธ์ ยาที่มีการใช้หรือรับประทานอยู่ การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และมีการตรวจร่างกายเบื้องต้น
2. การตรวจภายในในขั้นตอนการตรวจภายในจะมีการตรวจอยู่ 3 แบบด้วยกัน
- กดคลำบริเวณมดลูกและรังไข่ เพื่อตรวจขนาด หาก้อนแปลกปลอม และตรวจอาการเจ็บปวด
- คลำหรือส่องกล้องบริเวณช่องคลอดและปากมดลูก เพื่อหาแผล ก้อน หรือติ่งเนื้อ
- เก็บเซลล์จากบริเวณปากมดลูก เพื่อนำมาเพาะหาการติดเชื้อ หรือการอักเสบ
3. การตรวจอัลตราซาวด์ในการขั้นตอนการตรวจอัลตราซาวด์จะมีการตรวจอยู่ 2 แบบด้วยกัน
- การอัลตราซาวด์อุ้งเชิงกราน เพื่อตรวจหาความผิดปกติของมดลูก รังไข่ และอุ้งเชิงกราน
- การอัลตราซาวด์น้ำ เพื่อตรวจหาติ่งเนื้อ หรือเนื้องอกภายในมดลูก
ประจำเดือนมาน้อย บอกอะไรได้บ้างอาการประจำเดือนมาน้อยที่ผิดปกตินั้นสามารถบ่งชี้ถึงโรคหรือภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย ได้แก่
1. โรคไทรอยด์อาการประจำเดือนมาน้อยอาจเกิดได้จากฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีอยู่มากหรือน้อยจนเกินไป และนอกจากนี้ถ้าหากว่าโรคไทรอยด์ที่เป็นมีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ก็อาจส่งผลให้รังไข่หรือต่อมต่าง ๆ ทำงานผิดปกติอีกด้วย
2. โรคถุงน้ำรังไข่ (PCOS)ในโรคถุงน้ำรังไข่ หรือ PCOS คือกลุ่มอาการถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ ซึ่งโรคนี้จะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง และรบกวนการตกไข่ ซึ่งส่งผลให้ประจำเดือนมาน้อยได้เช่นกัน
3. เนื้องอกในมดลูกการที่เกิดเนื้องอกภายในมดลูกจะทำให้มีเลือดออกจากช่องคลอด ที่อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดประจำเดือนที่มีอาการประจำเดือนมาน้อยได้
4. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่อาจทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือมามากผิดปกติได้ เนื่องจากเยื่อบุโพรงมดลูกได้แทรกตัวเข้าไปในกล้ามเนื้อผนังมดลูก
5. การติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานจะทำให้มีเลือดออกทางช่องคลอด ที่อาจทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดประจำเดือนที่มีอาการประจำเดือนมาน้อย โดยการติดเชื้อนี้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน หรืออาจเกิดการสะสมของเชื้อโรคจนเกิดการลุกลามไปยังอวัยวะต่าง ๆ
วิธีรักษาภาวะประจำเดือนมาน้อยในการรักษาภาวะประจำเดือนมาน้อยมีอยู่ทั้งหมด 3 แนวทางด้วยกัน ได้แก่
1. การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การออกกำลังกายที่ไม่หักโหมหรือหนักจนเกินไป หรือการทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบเพื่อลดความเครียด จะช่วยให้ภาวะประจำเดือนมาน้อยดีขึ้นได้
2. การรักษาด้วยการใช้ยา วิธีการรักษาด้วยการใช้ยาจะเป็นการใช้ยาปรับฮอร์โมนในการรักษา ซึ่งจะเป็นการใช้กลุ่มยาฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) โดยมีทั้งรูปแบบยาเม็ดและรูปแบบยาฉีด และยาปรับฮอร์โมนที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นก็คือยาคุมกำเนิด
3. การรักษาจากต้นเหตุของโรคเมื่อทราบว่าเป็นอาการประจำเดือนมาน้อยที่มีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ ก็ควรที่จะเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันที เพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสมและตรงจุด ทั้งยังไม่ให้มีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น
การป้องกันไม่ให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยเพื่อไม่ให้เกิดอาการประจำเดือนมาน้อยผิดปกติ เราก็มีวิธีป้องกันต่าง ๆ มาแนะนำดังนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีโภชนาการครบถ้วน
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ควรหักโหมหรือออกกำลังกายหนักจนเกินไป
- หางานอดิเรกหรือกิจกรรมที่ผ่อนคลายทำเพื่อลดความเครียด
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- หมั่นสังเกตความผิดปกติของรอบเดือน และตรวจภายในเป็นประจำทุกปี
ข้อสรุปอาการประจำเดือนมาน้อยที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็อาจจะไม่มีอันตราย แต่ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือมีอาการร่วมอื่น ๆ ด้วยล่ะก็ ควรที่จะเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที เพราะอาจมีสาเหตุมาจากโรคหรือภาวะอันตรายต่าง ๆ ก็เป็นได้