มีหลายเหตุผลที่ทำให้กาแฟใส่นมไม่เคยลดความนิยมเลย นั่นคือรสชาติความกลมกล่อมของนมสดที่ผสานกับความเข้มข้นของกาแฟสด นั่นจึงทำให้ลาเต้ และ คาปูชิโน่ กลายเป็น 2 เมนูกาแฟใส่นมสุดคลาสสิกที่มีทุกร้าน
แต่กระนั้นการชงกาแฟใส่นมดื่มเองก็ไม่ยากเกินความพยายาม เพียงแค่มีเครื่องชงกาแฟสด เครื่องตีฟองนม และนมสดไว้ให้พร้อม ก็จะสามารถรังสรรค์กาแฟใส่นมแก้วโปรดได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เปิด 2 สูตรกาแฟใส่นมสุดคลาสสิก
ซึ่ง 2 สูตรกาแฟนมนี้ “ลาเต้” จะมีส่วนผสมของนมสดมากกว่า ขณะที่ “คาปูชิโน่” จะมีความเข้มข้นจากนมอุ่นและฟองนมเนื้อเนียน ซึ่งแต่ละสูตรมีวิธีการชงดังนี้
• ลาเต้ร้อน
ส่วนสูตรลาเต้ประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 30 มล. นมร้อน 180 มล. และฟองนม
วิธีการชง เริ่มจากเทนมร้อนลงในแก้วที่ใส่กาแฟเอสเพรสโซ่เตรียมไว้ ตักฟองนมมาวางด้านบนกาแฟโดยให้มีความหนาไม่เกิน 1 ซม. เพียงเท่านี้ก็จะได้ลาเต้ร้อนรสชาติลงตัวพร้อมเสิร์ฟ
• คาปูชิโน่ร้อน
สูตรสำหรับชง คาปูชิโน่ นั้นประกอบด้วยกาแฟเอสเพรสโซ่ 30 มล. นมร้อน ½ แก้ว ฟองนม ½ แก้ว และผงโกโก้เล็กน้อย
วิธีการชง เริ่มจากเทนมร้อนผสมกับกาแฟเอสเพรสโซ่ จากนั้นตักฟองนมมาวางด้านบนแล้วโรยด้วยผงโกโก้ เพียงเท่านี้ก็จะได้คาปูชิโน่ร้อนพร้อมเสิร์ฟ
ซึ่งจุดที่ต้องระวังในการทำฟองนม คือจะต้องนำนมสดสูตรปกติและเย็นจัดมาใช้สำหรับการตีฟอง เพราะหากนมสดไม่เย็นจะมีปัญหาฟองยุบหรือไม่อยู่ตัวได้ นอกจากนี้ขั้นตอนการทำฟองก็สำคัญทำให้หลายคนพิถีพิถันในการเลือกใช้เครื่องทำฟองนม ซึ่งหากใช้
ที่ตีฟองนม แบบไฟฟ้าจะได้ความเร็วเฉลี่ยในการทำฟองนมประมาณ 15 - 20 วินาทีต่อแก้ว แต่หากเลือกเป็นเครื่องแบบมือถือหรือไร้สายซึ่งต้องใช้มือจับในระหว่างการทำงานจะต้องใช้เวลาในการตีฟองนม 90 วินาที
ทั้งนี้ความเร็วในการทำฟองนมก็เป็นอีกตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ฟองนมอยู่ตัว ยิ่งต้องชงกาแฟนมต่อเนื่องกันหลายแก้ว การเลือกเครื่องทำฟองนมที่มีความเร็วมากกว่าก็จะยิ่งตอบโจทย์ได้มากกว่า
วัสดุของ ที่ทำฟองนม ก็ควรเลือกที่เป็นสแตนเลสหรือพลาสติกแบบ Non-stick ก็จะตอบโจทย์การใช้งานได้ดีเช่นกัน เพราะจะช่วยในการป้องกันสนิมและป้องกันคราบเกาะติดได้ดี ทั้งยังทำความสะอาดได้ง่าย นั่นเป็นเพราะอุปกรณ์ตัวนี้ จำเป็นต้องล้างทำความสะอาดบ่อย ๆ นั่นเอง