ในปัจจุบันนั้นเราคงต้องยอมรับว่าการจะเก็บเงินเพื่อ ซื้อบ้าน สักหลังในก้อนเดียวนั้นถือว่าทำได้ยากมากๆ เพราะในชีวิตประจำวันนั้นเราก็มีเรื่องที่จะต้องใช้จ่ายอยู่แล้ว ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วเราก็จะเห็นว่า จะเป็นในรูปแบบของการขอสินเชื่อเพื่อนำไป
ซื้อบ้าน ด้วยกันทั้งนั้น แต่ทว่าการจะขอสินเชื่อกับทางธนาคารได้นั้นแน่นอนว่าเราก็จะต้องมีที่มาของรายได้ที่มั่นคงและแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วธนาคารก็คงจะไม่อนุมัติสินเชื่อให้กับเราแน่ๆ อีกทั้งถ้าหากใครก็ตามที่ขอสินเชื่อผ่านแล้วและพอที่จะยังคงมีเงินเก็บสำรองเหลืออยู่บ้างนั้น เราก็อยากจะขอให้นำไปเป็นทุนในการหาเงินเพิ่มเข้ามาในกระเป๋า ซึ่งเอาอาจจะนำไปลงทุนใน
กองทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างเช่น พันธบัตร หรือใครที่คิดว่าอยากจะนำไปลงทุนใน
กองทุนltf หรือ
rmf เพื่อให้เราได้สิทธิประโยชน์ในด้านภาษีนั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเลือกลงทุนด้วยวิธีการใดดก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษาค้นหาในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ด้วย และในวันนี้สำหรับใครที่เคยขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านมาแล้ว แต่ทว่าไม่ได้รับการอนุมัติจากธนาคารหรือสถาบันการเงินสักแห่งนั้นก็อาจจะมีข้อสงสัยอยู่ว่าเพราะเหตุใดกัน ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมปัญหาและข้อบกพร่องที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่มักจะทำพลาดกันอันเป็นเหตุให้ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อบ้านให้มาฝากทุกๆ คนกัน
1. กรณีที่เอกสารไม่ครบ แน่นอนว่าในการพิจารณาของแต่ละธนาคารนั้นจะมีเงื่อนไขหลักเกณฑ์และระยะเวลาในการพิจารณาที่แตกต่างกันไป แต่ทั้งนี้ด้วยวิธีการต่างๆ นั้นก็จะมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน คือ ผู้กู้จะต้องไปติดต่อขอแบบฟอร์มและยื่นแสดงความจำนงขอกู้ พร้อมยื่นหลักฐานประกอบการขอกู้ให้ครบตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งเอกสารส่วนใหญ่นั้นก็อย่างเช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน และหนังสือรับรองเงินเดือน เป็นต้น ฉะนั้นหากยื่นเอกสารไม่ครบก็จะทำให้ยื่นกู้ไม่ผ่านอย่างแน่นอน
2. กรณีที่มีรายได้ไม่มั่นคงเพียงพอ ซึ่งธนาคารนั้นก็จะพิจารณาจากสลิปเงินเดือนและบัญชีธนาคารที่มีเงินเดือนเข้าเป็นประจำทุกเดือนอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ฉะนั้นถ้าหากว่าเราขอกู้ไม่ผ่านด้วยเหตุผลนี้เราก็อาจจะหาทางแก้ด้วยการหาผู้กู้ร่วมเพื่อให้ฐานเงินเดือนมากขึ้นและมั่นคงขึ้นนั่นเอง
3. กรณีที่มีภาระหนี้มากเกินไป ซึ่งการอนุมัติสินเชื่อเป็นเงินก้อนใหญ่นั้นก็จะทำให้ธนาคารเกิดความเสี่ยงได้ ฉะนั้นธนาคารจึงต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ไม่ให้เกินจุดเสี่ยงที่ธนาคารสามารถยอมรับได้นั่นเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็จะให้ผู้กู้มีหนี้สินได้ไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้
4. กรณีประวัติทางการเงินไม่ดี อย่างเช่น เคยผิดนัดชำระหนี้จนติดแบล็กลิสต์ มีประวัติค้างชำระ ชำระไม่ตรงเวลานั้น ส่วนใหญ่ก็จะต้องรอ 2 ปี หรือบางธนาคารสามารถขอได้แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งธนาคารก็จะพิจารณาประวัติการค้างชำระ ได้แก่ ระยะเวลาการค้างชำระ รายได้ต่อเดือน เงินออม และหลักทรัพย์ปลอดภาระ เป็นต้น