ในการเลี้ยงดูลูกน้อยสิ่งที่สามารถทำให้พ่อแม่ทุกคนเกิดความวิตกกังวลคือ การที่ ทารกร้องไห้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นพฤติกรรมปกติของเด็กวัยทารกที่จะร้องประมาณวันละ 2-3 ชั่วโมง เพราะการร้องไห้ของเด็กเป็นการสื่อสารเดียวที่เด็กสามารถทำได้ในวัย 2 – 4 สัปดาห์ – 4 เดือน
การร้องไห้ปกติมักจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความหิว ความเปียกชื้นของผ้าอ้อม ความเหนื่อยล้าและความง่วง อากาศที่ร้อนหรือเย็นเกินไป หรือมีอาการเจ็บป่วย เป็นต้น ซึ่งเด็กก็จะหยุดร้องเมื่อได้รับการดูแลปลอบโยน แต่หากพ่อแม่พยายามทำทุกอย่างแล้วก็ยังพบว่า
ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ และร้องนานถึงครั้งละ 2-3 ชั่วโมงคงจะยิ่งทำให้พ่อแม่เพิ่มความวิตกกังวลและความเครียดมากขึ้น
วันนี้เราลองมาทำความเข้าใจในการที่ ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ว่าเกิดจากอะไร ในทางการแพทย์จะเรียกภาวะ
เด็กร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ว่าเป็นการร้องไห้แบบ
อาการโคลิคซึ่งจะเกิดได้กับทารกในช่วงเดือนแรกๆ การร้องไห้แบบโคลิคเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น
• ทารกกำลังปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่หลังจากที่ออกมาจากท้องแม่ เพราะอาจจะเกิดความไม่คุ้นชินของสภาพแวดล้อม
• ในระบบทางเดินอาหารมีแก๊สมากเกินไปจนทำให้เด็กปวดท้อง เนื่องจากระบบการทำงานของลำไส้ยังไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้หมด เพราะฉะนั้นแม่อาจจะต้องปรับอาหารการกินเล็กน้อย
• ความไม่สมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ในร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาของอาการปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก และอาจเกี่ยวโยงเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะร้องไห้แบบโคลิคในทารกได้อีกด้วยจากความไม่สบายท้อง
• การแพ้นมวัวในเด็ก
• การกลืนอากาศเข้าไปในระหว่างดูดนมมากเกินไป ทำให้แน่นหรือจุกท้อง ไม่สบายตัว หรือจากการที่ดูดจุกนมเปล่าๆ
วิธีสังเกตว่า ทารกร้องไห้ เพราะ อาการโคลิค หรือไม่
• ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุและอาการร้องมักจะเกิดโดยทันที และร้องนานเป็นพิเศษ
• ร้องเสียงแหลมและดัง คล้ายปวดท้อง หน้าแดง และอาจจะมีอาการเกร็งที่ท้อง มือ และขางอเข้าหาลำตัว
• มักร้องในช่วงเย็นจนถึงเที่ยงคืน และในเวลาเดิม ๆ โดยร้องมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และเป็นติดต่อกันมากกว่า 1 สัปดาห์
• ระหว่างที่ไม่มีอาการโคลิค จะเป็นเด็กที่มีสุขภาพทั่วไปแข็งแรงและดูสบายดี
อ่านแล้วคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะเป็นกังวลแต่ที่จริงแล้วอาการโคลิคนี้จะหายไปเองหลังจากทารกมีอายุ 6 เดือน แต่การร้องไห้แบบโคลิคในวัยทารกอาจทำให้เกิดปัญหากับเด็กในอนาคต เช่น สมาธิสั้น หรือโรคภูมิแพ้ เป็นต้น หากพ่อแม่เป็นกังวลแนะนำให้เข้าปรึกษากับแพทย์เพื่อได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องนะ