ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


เลือดล้างหน้าเด็ก คืออะไร วิธีสังเกตเลือดล้างหน้าเด็กดูยังไง

การตั้งครรภ์

ในช่วงระยะเวลาตั้งครรภ์ คุณสุภาพสตรีจะไม่มีเลือดประจำเดือนออกมาในช่วงระยะเวลานั้น เนื่องจากหลังจากที่ไข่ได้ปฏิสนธิกับตัวอสุจิแล้ว จะทำให้เกิดเป็นตัวอ่อนขึ้นมานั่นเองครับ แต่ก่อนที่เลือดประจำเดือนจะหายไปในเดือนสุดท้าย หรือการเริ่มต้นระยะเวลาตั้งครรภ์ จะมีเลือดล้างหน้าเด็กไหลออกมาจากช่องคลอดแทน

เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร เหมือนประจำเดือนไหม สีของเลือดล้างหน้าเด็กเป็นอย่างไร คำถามที่คุณแม่มือใหม่หลายคนยังสงสัย นอกจากเลือดประจำเดือนที่เราคุ้นเคยและรู้จักกันอยู่แล้ว ก็ยังมีเลือดอีกชนิดหนึ่งมีชื่อเรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็ก ซึ่งเลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร ลักษณะ สี เป็นอย่างไร มีความอันตรายไหม เราไปรับความรู้พร้อมๆ กันเลย

เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleed)

เลือดล้างหน้าเด็กมาตอนไหน

เลือดล้างหน้าเด็กเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากช่องคลอด แต่ไม่ใช่ประจำเดือน มักเกิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงระยะแรก เลือดล้างหน้าเด็กมักมาในระยะเวลา 10-14 วันหลังจากที่มีการปฏิสนธิระหว่างไข่ และตัวอสุจิ

ซึ่งเลือดล้างหน้าเด็กนั้นจะเป็นเลือดที่เกิดมาจากไข่ผ่านการผสมกับสเปิร์มแล้วเท่านั้น บางคนอาจจะเข้าใจผิดระหว่างเลือดล้างหน้าเด็ก และประจำเดือน ซึ่งความจริงแล้วลักษณะ, ผิวสัมผัส และสีเลือดจะแตกต่างกันออกไป

อาการของเลือดล้างหน้าเด็ก

ผู้หญิงบางคนเมื่อตั้งครรภ์แล้วอาจจะมีเลือดล้างหน้าเด็ก ซึ่งเลือดดังกล่าวจะไหลออกมาจากทางช่องคลอดเป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 วัน และอาจจะมีอาการแทรกซ้อนอย่างอื่นร่วมด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ปวดศีรษะ, อารมณ์แปรปรวน, คลื่นไส้, คัดเต้านม รวมไปถึงอาการปวดหลัง อย่างไรก็ตามถ้าปวดเพียงแค่เล็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เพราะเบื้องต้นจะมีอาการปวดเล็กน้อยเป็นปกติ หรือถ้ามีอาการปวดท้องผิดปกติก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์โดยไวที่สุด

ปัจจัยอื่นที่อาจทำให้เลือดออกทางช่องคลอด

เพศสัมพันธ์ ปัจจัยทำให้เลือดออกทางช่องคลอด

การที่เลือดออกจากทางช่องคลอด ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเลือดประจำเดือน หรือเลือดล้างหน้าเด็กเพียงเท่านั้น อาจจะมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย จะมีปัจจัยอะไรบ้าง มาอ่านไปพร้อมๆ กันเลย

1. การมีเพศสัมพันธ์

เลือดออกหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ เกิดได้จากความไม่พร้อมในการมีเพศสัมพันธ์, มีเลือดประจำเดือนตกค้างระหว่างมีเพศสัมพันธ์, ฮอร์โมนร่างกายผิดปกติ, ติดเชื้อในช่องคลอด, ปากมดลูกอักเสบ, เยื่อมดลูกเจริญผิดที่, เส้นเลือดในช่องคลอดฉีกขาด รวมไปถึงมะเร็งปากมดลูกเลยครับ เพราะฉะนั้นแล้ว หากเราเห็นความผิดปกติทางร่างกายตัวเอง ควรปรึกษาแพทย์โดยไวที่สุด

2.การคุมกำเนิดบางประเภท

การมีเลือดออกหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดนั้น เกิดได้จากสุภาพสตรีที่เพิ่งเริ่มต้นรับประทานยาคุมกำเนิด เป็นปัญหาข้างเคียงที่เกิดจากยาอยู่แล้วครับ ซึ่งหลังจากกินครบ 3 เดือน อาการเลือดออกทางช่องคลอดจะดีขึ้นเอง อย่างไรก็ตามหากรู้สึกปวดท้อง ให้ปรึกษาแพทย์ด่วนที่สุด

3. ผลข้างเคียงจากโรคอื่น

ผลข้างเคียงจากโรค อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ลือดออกทางช่องคลอด ซึ่งโรคที่กำลังกล่าวถึงนั้น คือโรคมะเร็งครับ ทั้งมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งช่องคลอด, มะเร็งมดลูก และมะเร็งไข่ โดยโรคมะเร็งต่างๆ จะส่งผลทำให้เกิดเลือดออกจากทางช่องคลอดได้เช่นกัน

4. การติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเกิดจากภาวะอาการอักเสบของอวัยวะสืบพันธุ์ ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย ซึ่งจะมีอาการเลือดออก และปวดท้องตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก่อนมีเพศสัมพันธ์ เราควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อความปลอดภัยจากโรคติดต่อ

5. การตั้งครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครร์นอกมดลูก เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้เลือดออกจากทางช่องคลอด ซึ่งการตั้งครรภ์นอกมดลูกจะมีเลือดออกมากะปริบกะปรอย เนื่องด้วยสาเหตุจากตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตได้ จึงทำให้แตกตัว และเลือดไหลออกมานั่นเอง

6. การแท้งลูก

ปัจจัยสุดท้ายของอาการเลือดออกจากช่องคลอด คืออาการแท้งครับ ซึ่งเลือดจะไหลออกมาจากทางช่องคลอดเป็นสีแดงสดปริมาณเล็กน้อยในช่วงแรก แต่อาการจะเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ครับ ทั้งนี้ต้องรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อคุณสุภาพสตรีได้

เปรียบเทียบเลือดล้างหน้าเด็ก Vs ประจำเดือน

สีของเลือด

สีของประจำเดือนนั้น จะมีตั้งแต่สีแดงคล้ำ, สีแดงสด, สีน้ำตาลอ่อน, สีน้ำตาลเข้ม รวมไปถึงสีดำซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดแต่ละสีจะมีหลายปัจจัยแตกต่างกันออกไป เช่น อาหารการกิน รวมไปถึงความเครียดในชีวิตประจำวันด้วยครับ ส่วนสีของเลือดล้างหน้าเด็กจะมีตั้งแต่สีชมพูอ่อน, สีน้ำตาลเข้ม และสีสนิม แล้วแต่สภาวะร่างกายของแต่ละคน

ลักษณะของเลือด

ลักษณะของประจำเดือนจะไม่มีลิ่มเลือด หรือชิ้นเนื้อปนออกมากับประจำเดือน ส่วนใหญ่มักเป็นของเหลวเหมือนน้ำ แต่เลือดล้างหน้าเด็กจะมีลักษณะเป็นเลือด หรือลิ่มเลือด จะเห็นได้ชัดว่าลักษณะของเลือดทั้ง 2 อย่างนี้ค่อนข้างที่จะแตกต่างกันเลยทีเดียว

ระยะเวลาที่เลือดออก

โดยเฉลี่ยแล้วประจำเดือนจะมาไม่เกิน 7 วันต่อเดือน ส่วนเลือดล้างหน้าเด็กจะมีเลือดไหลออกมาประมาณ 1-2 วัน

เลือดล้างหน้าเด็ก ตรวจครรภ์เจอไหม

ตรวจครรภ์หาเลือดล้างหน้าเด็ก

หลังจากคุณสุภาพสตรีพบว่าตัวเองมีเลือดล้างหน้าเด็ก จะสามารถตรวจพบครรภ์ในระยะเวลา 1 อาทิตย์หลังจากนั้นครับ หรือว่าอยากทราบอย่างแน่ชัดว่าตัวเองตั้งครรภ์หรือไม่ ควรปรึกษากับโรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอตรวจครรภ์โดยตรงได้เช่นกัน

เลือดล้างหน้าเด็ก อันตรายไหม

เลือดล้างหน้าเด็ก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามกลไกลธรรมชาติของร่างกาย และเป็นเลือดที่ไม่เป็นอันตรายต่อคุณสุภาพสตรี และลูกในท้องอย่างแน่นอนครับ สิ่งที่ควรทำอยู่เสมอหลังรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ คือรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ เพื่อที่จะได้แข็งแรงทั้งคุณแม่ และลูกในท้อง

คำถามที่พบบ่อย

เลือดล้างหน้าเด็ก มาตอนท้องกี่เดือน

เลือดล้างหน้าเด็กจะมาหลังจากไข่ถูกผสมกับเชื้ออสุจิประมาณ 7-9 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนประจำเดือนจะมารอบถัดไปประมาณ 7 วัน

เลือดล้างหน้าเด็ก มาเยอะสุดกี่วัน

โดยปกติแล้ว เลือดล้างหน้าเด็กจะมีแค่ 1-2 วันเท่านั้น

ข้อสรุป

เลือดล้างหน้าเด็ก เป็นเลือดที่บ่งบอกว่าเรากำลังตั้งครรภ์อยู่  ไม่ใช่ประจำเดือนและ ไม่มีอันตรายต่อคุณสุภาพสตรีและลูกในครรภ์ การเกิดเลือดล้างหน้าเด็ก เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิดบางประเภท การแท้งลูก เป็นต้น โดยปกติแล้วเลือดล้างหน้าเด็กจะมาแค่ 1-2 วันเท่านั้น

วิธีสังเกตอย่างง่ายว่าเลือดที่ไหลออกจากช่องคลอดนั้นเป็นเลือดล้างหน้าเด็กหรือเลือดประจำเดือนก็คือสังเกตจากลิ่มเลือด หากเป็นประจำเดือนจะไม่มีลิ่มเลือด แต่เลือดล้างหน้าเด็กจะมี อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเลือดล้างหน้าเด็ก หากไม่แน่ใจว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่ หรือมีอาการปวดท้องผิดปกติ ควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง และลูกในครรภ์