คนที่ประสบปัญหาปัสสาวะเล็ดแล้วไม่ได้รับการรักษา จะก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางสังคมและจิตใจ เพราะร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอจากการต้องตื่นบ่อยครั้งเพื่อเข้าห้องน้ำกลางดึก ทำให้ขาดสมาธิในการทำงาน และมีความกังวลหากต้องเดินทางไกลไปทำงาน จนในที่สุดมีอาการซึมเศร้ากระทั่งหมดความมั่นใจที่จะเข้าสังคม
แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปแล้วเพราะสามารถรักษาหายได้ ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยค่อย ๆ ดีขึ้น เราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
ปัสสาวะเล็ด อาการ สาเหตุที่ทำให้มีอาการฉี่เล็ด แล้วหาวิธีป้องกันและรักษาเพื่อที่จะได้รักษาคุณภาพชีวิตที่ดี การละเลยหรือปล่อยทิ้งไว้มีแต่ผลเสียเพราะปัสสาวะมีฤทธิ์กรดอ่อน ๆ ที่จะทำให้เนื้อเยื่อเป็นแผลและเป็นแหล่งเจริญเติบโตของเชื้อโรคได้
ปัสสาวะเล็ด คือปัสสาวะเล็ด คือ อาการที่ปัสสาวะไหลออกมาจากท่อปัสสาวะโดยที่ควบคุมไม่ได้ มักจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วประมาณเกือบ 50% และยังมักพบในผู้สูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ
เราสามารถแบ่งภาวะปัสสาวะเล็ดออกได้เป็น 4 ชนิดคือ
1. ปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง (stress incontinence) ทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นแต่กระเพาะปัสสาวะไม่หดตัวร่วมด้วย เช่น จาม หัวเราะ กระโดด ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก ไอจนฉี่เล็ด
2. ปัสสาวะเล็ดทันทีที่ปวดปัสสาวะ (urgency incontinence) ทั้งที่ปัสสาวะยังไม่มากพอ แต่เพราะระบบประสาทส่วนกลางที่ควบคุมการขับถ่ายบกพร่อง หรือ เกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
3. ปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง และทันทีที่ปวดปัสสาวะ (mixed incontinence)
4. ปัสสาวะเล็ดตลอดเวลาเพราะมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ (overflow incontinence) จากการที่กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่สามารถบีบตัวเนื่องจากมีความบกพร่องเกิดที่ประสาทสั่งงาน ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาเรื่อย ๆ ในปริมาณน้อย ๆ แม้จะไม่รู้สึกปวดเลย
อาการปัสสาวะเล็ดปัสสาวะเล็ดเป็นอาการที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และเนื้อเยื่อช่องคลอดที่อยู่รอบ ๆ ท่อปัสสาวะ และคอของกระเพาะปัสสาวะมีแรงพยุงไม่มากพอ ทำให้ไม่สามารถปิดได้สนิท และเมื่อมีแรงดันในช่องท้องเกิดขึ้นจากการออกแรงทำกิจกรรม ก็จะส่งผลให้ปัสสาวะเล็ด นอกจากนี้อาการ “ฉี่เล็ด” อาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายในการควบคุมปัสสาวะ
โดยมากอาการปัสสาวะเล็ดจะสังเกตได้จาก
- มีอาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ ปวดวันละหลาย ๆ รอบ ปกติควรปัสสาวะทุก 3-4 ชม. หรือวันละ 4-8 ครั้ง
- ปัสสาวะเล็ดเมื่อมีปัสสาวะล้น
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- มีปัสสาวะไหลซึม โดยไม่รู้ตัว
สรุปอาการปัสสาวะเล็ดจะมีน้ำปัสสาวะเล็ดลอดออกมานอกระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างโดยไม่รู้ตัว และควบคุมไม่ได้ ซึ่งอาจเกิดจาก
- ความดันในกระเพาะปัสสาวะสูงกว่าความดันภายในท่อปัสสาวะที่ปิดอยู่ ทำให้น้ำปัสสาวะเล็ดรอดออกมา
- กระเพาะปัสสาวะมีรูรั่ว ทำให้เก็บกักน้ำปัสสาวะไม่ได้
ต้นเหตุของปัสสาวะเล็ดปัสสาวะเล็ดเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือต่อมลูกหมากโตเรื้อรัง ทำให้มีปัสสาวะตกค้างในกระเพาะปัสสาวะจำนวนมากจนฉี่เล็ดออกมาโดยไม่รู้ตัว
- อายุมากขึ้นทำให้ร่างกายถดถอย ระบบขับถ่ายขาดความยืดหยุ่นและเสื่อมสภาพ ทำให้ควบคุมการปัสสาวะได้ไม่ดีเหมือนตอนยังหนุ่มสาว จนอาจเกิดอาการฉี่เล็ด
- เนื่องด้วยมีปัญหาถุงน้ำบริเวณท่อปัสสาวะ หรือต่อมลูกหมากโต ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาเล็กน้อยหลังจากปัสสาวะเสร็จแล้ว
- การกินยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ อาจทำให้ปัสสาวะเล็ด
- กระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ที่เกิดจากการติดเชื้อ หรือโรคทางระบบประสาท ทำให้ไม่สามารถคุมการปัสสาวะเล็ดได้
- มีปัญหาทางร่างกายทำให้ไปห้องน้ำลำบาก จนอาจเกิดอาการฉี่เล็ด
- มีปัญหาทางสมอง เช่น สมองเสื่อม จนทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด
- กินอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ ซึ่งไปกระตุ้นให้ท่อปัสสาวะเปิด จนเกิดอาการฉี่เล็ดขึ้นมาได้
- มีอาการท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้อาการปัสสาวะเล็ดรุนแรงขึ้น
- น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นจนทำให้เกิดแรงบีบต่อกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ด
- ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ส่งผลให้เยื่อบุในกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ดผู้หญิง
- กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแอที่เกิดจากหญิงตั้งครรภ์ และคลอดบุตร หรืออายุมากขึ้น
ผู้ชายเป็นปัสสาวะเล็ดได้ไหมผู้ชายก็เป็นปัสสาวะเล็ดได้โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องด้วยสรีระโครงสร้างของผู้ชายนั้นจะมีกระเพาะปัสสาวะอยู่ใกล้กับต่อมลูกหมาก โดยที่มีต่อมลูกหมากไว้ช่วยในเรื่องของการกลั้นปัสสาวะ
โดยปกติแล้วต่อมลูกหมากจะหยุดเติบโตเมื่ออายุ 20 ปี จนกระทั่งอายุ 50 ปีก็จะกลับมาเติบโตอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ต่อมลูกหมากจะโตขึ้นจนไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้กระเพาะปัสสาวะทำงานหนักเกินไปจนอ่อนแอลง บวกกับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของผู้ชายเมื่ออายุมากขึ้นก็อ่อนแอลงเช่นกัน ทำให้มีอาการฉี่เล็ดผู้ชายเกิดขึ้นได้
แต่ปัญหานี้แก้ไขได้หากรู้สาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ดในผู้ชาย วิธีแก้ไขมีหลากหลายทาง เช่น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือใช้วิธีทางการแพทย์ เช่น การใช้ยารักษา, การผ่าตัด หรือ การใช้คลื่นพลังงานอิเล็กโตรแมกเนติกเพื่อช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ เป็นต้น
อาการปัสสาวะเล็ด รักษาอย่างไรอาการปัสสาวะเล็ดเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อให้เลือกใช้วิธีการรักษาให้เหมาะสม เราได้ทำการจับคู่สาเหตุของอาการปัสสาวะเล็ด ว่าวิธีการรักษาแต่ละแบบทำได้อย่างไรบ้าง ดังนี้
• เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้เยื่อบุช่องคลอดฝ่อตัว และแห้งจนเสี่ยงเกิดภาวะฉี่เล็ดได้
วิธีแก้ปัสสาวะเล็ด : ฝึกขมิบกล้ามเนื้อเชิงกราน (ช่องคลอด) ไว้นาน 8-12 ครั้ง ทำ 3 รอบต่อวัน เป็นเวลาอย่างน้อย 15-20 สัปดาห์ หรือใช้วิธีทางการแพทย์ด้วยการสอดขั้วไฟฟ้ากำลังอ่อนเข้าไปทางช่องคลอดแล้วกระตุ้นให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานดีขึ้น จะใช้เฉพาะกับผู้ป่วยที่มีกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรงมาก
• เกิดจากมีแรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น จนปัสสาวะเล็ด
วิธีแก้ปัสสาวะเล็ด : ฝึกขมิบ (กลั้นไว้ 10 วินาที แล้วคลาย ทำ 30 ครั้ง/รอบ 3 เวลา/วัน) เพื่อบริหารหูรูดให้กระชับและมีแรงกลั้นปัสสาวะเล็ด
• เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท หรือปัสสาวะไวกว่าปกติ
วิธีแก้ปัสสาวะเล็ด :ปรับพฤติกรรมด้วยการลดปริมาณน้ำดื่ม ด้วยการดื่มปริมาณครั้งละน้อย ๆ พยายามปัสสาวะให้เป็นเวลา หรือกินยาแอนติโคลิเนอร์จิกลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
• กรณีที่ใช้ยากินรักษาอาการฉี่เล็ดแล้วไม่ได้ผล หรือไม่อาจใช้ยากินได้ สามารถรักษาได้หลายวิธี
- ใส่ยาตรงเข้ากระเพาะปัสสาวะ เพื่อยับยั้งการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- ใช้การผ่าตัดเพื่อเสริมแรงต้านบริเวณท่อปัสสาวะ ช่วยให้การทำงานของท่อปัสสาวะดีขึ้น
- โดยการใส่อุปกรณ์ทำจากวัสดุสังเคราะห์เพื่อแขวนท่อปัสสาวะส่วนกลาง ซึ่งนิยมมากและสำเร็จสูง
- ใช้คลื่นความถี่รังสีส่องผ่านทางท่อปัสสาวะเพื่อทำลายคอลลาเจน เหมาะกับไอฉี่เล็ดที่เกิดจากการออกแรง
- การฝังเข็มโดยใช้ไฟฟ้าที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วน lumbosacral region ประมาณ 1-8 ครั้งใน 72 ชม. เป็นเวลานาน 6 สัปดาห์ และเมื่ออาการดีขึ้นก็ให้รักษาต่อวิธีเดิมแต่เป็น 2 ครั้งใน 72 ชม. อีก 6 สัปดาห์
- การกระตุ้นด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 2-4 สัปดาห์
การป้องกันปัสสาวะเล็ดอาการปัสสาวะเล็ดสามารถป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ และน้ำอัดลม
- ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับตัวยาที่มีผลต่อปัญหาปัสสาวะเล็ด เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงไม่กิน
- รักษาอาการไอจามเรื้อรัง
- รักษาอาการท้องผูกที่ไปเพิ่มความดันในช่องท้องที่ทำให้ฉี่เล็ด ด้วยการกินอาหารที่มีกากใย
- ออกกำลังกายทุกวัน นาน 30 นาทีเป็นอย่างน้อยต่อครั้ง หมั่นบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและหูรูดทุก ๆ วัน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
- เลิกสูบบุหรี่
- ลดน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน ด้วยการควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เป็นการลดแรงบีบต่อกระเพาะปัสสาวะ ที่ทำให้เกิดอาการฉี่เล็ด
- ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน ๆ
สรุปเรื่องอาการปัสสาวะเล็ดปัญหาเกี่ยวกับปัสสาวะเล็ดนั้นเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ถึงแม้จะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แต่เมื่อไรที่เกิดขึ้นมาจะส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเราหวังว่าบทความนี้จะช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจว่าปัญหาปัสสาวะเล็ดนี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยการรักษาให้อาการดีขึ้น หรือหายขาดได้ และกลับมาใช้ชีวิตในสังคมเฉกเช่นบุคคลปกติทั่ว ๆ ไปที่ไม่เคยประสบปัญหาอีกต่อไป