เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง หลายคนคงเริ่มกังวลกับโรคยอดฮิตอย่าง "ไข้หวัดใหญ่" โรคที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากป่วย เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัวแล้ว ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ แล้วอาการไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร บทความนี้ จะพาไปรู้จักกับโรค
ไข้หวัดใหญ่ เพื่อเตรียมตัวป้องกันและดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธี เพื่อให้ทุกคนสามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง
อาการไข้หวัดใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างโรคไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ซึ่งอาการของไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หวัดใหญ่ ดังต่อไปนี้
1.อาการไข้หวัดใหญ่ทั่วไป
- ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส
- หนาวสั่น เหงื่อออก
- ปวดศีรษะ
- อ่อนเพลียอย่างมาก
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้
2.อาการไข้หวัดใหญ่ทางระบบทางเดินหายใจ
- เจ็บคอ
- คอแดง
- ไอแห้ง ๆ
- มีน้ำมูกใส ๆ
3.อาการไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ เช่น ตาแดง หรือในเด็กเล็กอาจมีอาการท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
สำหรับอาการไข้หวัดใหญ่นี้ จะมีระยะฟักตัวไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ 1 - 4 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน ซึ่งอาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 2 - 3 วันแรก และสามารถหายจากโรคภายใน 5 - 7 วัน ทั้งนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ หากมีอาการของไข้หวัดใหญ่รุนแรงมากขึ้น ดังต่อไปนี้
- มีไข้เกิน 24-48 ชั่วโมง
- หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
- เจ็บหรือแน่นหน้าอก
- หน้ามืด เป็นลม สับสน หน้ามืด
- อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้
- เด็กเล็กมีอาการชัก
- ผู้สูงอายุมีอาการซึมลง สับสน
อาการไข้หวัดใหญ่ VS อาการไข้หวัด แตกต่างกันอย่างไร?ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และไข้หวัด (Common cold) เกิดจากเชื้อไวรัสต่างชนิดกัน แม้ว่า อาการจะมีความคล้ายคลึงกัน แต่อาการไข้หวัดใหญ่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยสามารถเปรียบเทียบได้ ดังนี้
1.อาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ไข้ สูง 39 - 40 องศาเซลเซียส
- มีอาการหนาวสั่นและปวดศีรษะ
- อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก
- มีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ
- น้ำมูกมีลักษณะใส
- เด็กเล็กอาจมีอาการท้องเสีย
- ระยะเวลาของอาการไข้หวัดใหญ่ประมาณ 5 - 7 วัน
2.อาการไข้หวัด ได้แก่
- ไข้ ต่ำ ๆ 37 - 38 องศาเซลเซียส
- มักไม่มีอาการหนาวสั่นและปวดศีรษะ
- อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อน้อย
- มีอาการเจ็บคอ ไอมีเสมหะ
- น้ำมูกมีลักษณะใส หรือข้น เหลือง เขียว
- มักไม่มีอาการท้องเสีย
- ระยะเวลาของอาการไข้หวัดประมาณ 3 - 4 วัน
กลุ่มเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนไข้หวัดใหญ่ อาการไข้หวัดใหญ่ค่อนข้างรุนแรง จึงจำเป็นต้องระมัดระวังตนเองให้ดี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ ที่เมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น
- เด็กเล็ก ซึ่งอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี รวมถึงเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคปอด โรคหัวใจ
- ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคเบาหวาน, โรคไต, โรคตับ, โรคระบบ
ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, มะเร็ง, ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด หรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี - หญิงตั้งครรภ์ทุกระยะ
- ผู้ที่มีภาวะอ้วน พิจารณาจากผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) 35 ขึ้นไป
- ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์, ผู้ดูแลเด็กเล็ก, ผู้ดูแลผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ ภาวะแทรกซ้อนของอาการไข้หวัดใหญ่ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย เช่น หูชั้นกลางอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ
2.ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, สมองอักเสบ, ภาวะหัวใจล้มเหลว, ภาวะไตวาย
ควรดูแลรักษาอาการไข้หวัดใหญ่อย่างไรเมื่อตรวจไข้หวัดใหญ่แล้ว ควรเข้ารับการรักษาอาการ ไข้หวัดใหญ่ทันที โดยทั่วไปแล้ว สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ, ดื่มน้ำให้มาก, ทานยาแก้ปวด ยาลดไข้ หรือยาต้านไวรัส แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินในเด็ก เพราะอาจทำให้เด็กเกิดภาวะเรย์ (Reye's syndrome) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรง รวมถึงไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้
โดยแพทย์อาจสั่งยาต้านไวรัส เช่น โอลเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เพื่อบรรเทาอาการไข้หวัดใหญ่ ลดระยะเวลาการป่วย และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดหากเริ่มใช้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ นอกจากนี้ อาจจะใช้ยาต้านไวรัสในบางกรณี เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง
อาการไข้หวัดใหญ่ สามารถรักษาให้หายเองได้หรือไม่ โรคไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ต้องอาศัยเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากอาการไข้หวัดใหญ่ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส นอกจากนี้ สามารถป้องกันอาการของไข้หวัดใหญ่ได้ด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค
- ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
- ปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชู่เมื่อไอหรือจาม และทิ้งกระดาษทิชชู่ที่ใช้แล้วลงในถังขยะที่มีฝาปิด
เมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลตัวเองเป็นอย่างดี โดยสามารถปฏิบัติตัว ดังต่อไปนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8 - 10 ชั่วโมงต่อวัน ร่างกายจะได้มีเวลาซ่อมแซมตัวเองและต่อสู้กับเชื้อไวรัส
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ 2 - 3 ลิตรต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ น้ำช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น
- รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย เน้นผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีน หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน และอาหารหมักดอง
- ทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และลดไข้
- เช็ดตัวเพื่อลดไข้หวัดใหญ่ด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ไม่ควรใช้น้ำเย็น
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นวันละ 3 - 4 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ
- สระผมด้วยยาสระผมแห้ง หรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดผม เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการสระผม
- ดื่มน้ำอุ่นหรือชาสมุนไพร เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอและไอ
- ใช้เครื่องทำความชื้นในอากาศ เพื่อบรรเทาอาการไอและคัดจมูก
- นอนหนุนหมอนสูง เพื่อลดอาการคัดจมูก
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้อาการไอและเจ็บคอแย่ลง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น งดการไปทำงาน เรียน หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการไข้หวัดใหญ่รุนแรง เช่น หายใจหอบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือมีภาวะแทรกซ้อน
โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการไข้หวัดใหญ่ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะอ้วน
สรุปเกี่ยวกับอาการไข้หวัดใหญ่โรคไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะรุนแรงกว่าและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะมีอาการไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส, หนาวสั่น, เหงื่อออก, ปวดศีรษะ, อ่อนเพลียอย่างมาก, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, เบื่ออาหาร คลื่นไส้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรเข้าพบแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ทั้งนี้ สามารถรักษาไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่ต้องอาศัยเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม