เมื่ออายุเริ่มเข้าเลข 4 หลายคนเริ่มเผชิญกับปัญหาใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะบริเวณใต้คางที่เริ่มมีไขมันสะสม ส่งผลต่อรูปหน้าให้ดูอวบใหญ่ ไม่กระชับ
การฉีดแฟตเหนียง กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมที่ช่วยให้กำจัดไขมันใต้คางได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะมาเปิดเผย 7 เหตุผลที่ทำให้คนนิยมฉีดแฟตเหนียงเมื่ออายุย่างเข้าเลข 4
1.กำจัดไขมันใต้คางได้อย่างตรงจุดการฉีดแฟตเหนียง ใช้วิธีการฉีดสารสลายไขมัน เช่น กรดไดออกไซด์ (Deoxycholic Acid) เข้าไปยังบริเวณที่มีไขมันสะสมโดยตรง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เข็มขนาดเล็ก ฉีดสารสลายไขมันอย่างแม่นยำ ตรงจุด ช่วยให้เซลล์ไขมันแตกตัว และถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยระบบน้ำเหลือง เห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 1-2 สัปดาห์ แตกต่างจากวิธีการดูดไขมันแบบดั้งเดิมที่ต้องผ่าตัด ซึ่งอาจเกิดรอยแผลเป็น และต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน
2.ปรับรูปหน้าให้เรียว V-shapeเมื่อไขมันใต้คางถูกกำจัดออกไป ใบหน้าจะดูเรียวขึ้น เรียกโครงหน้าให้ชัดเจน ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ สดใส และเพิ่มความมั่นใจ บุคลิกภาพดูดีขึ้น กล้าแสดงออก พร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์
3.รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องพักฟื้นการฉีดแฟตเหนียง ใช้เวลาเพียง 15-30 นาที โดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แตกต่างจากการทำศัลยกรรมที่ต้องอาศัยเวลาพักฟื้นค่อนข้างนานกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้
4.แทบไม่มีรอยช้ำ หรือรอยแผลเป็นการฉีดแฟตเหนียง ใช้เข็มขนาดเล็ก ทำให้เกิดรอยช้ำหรือรอยแผลเป็นน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ดังนั้น ผลข้างเคียงในการฉีดแฟตก็พลอยน้อยตามไปด้วยเช่นกัน
5.ผลลัพธ์ยาวนานผลลัพธ์จากการฉีดแฟตเหนียง ค่อนข้างคงทน หากรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ ไขมันใต้คางจะไม่กลับมาสะสมอีก
6.เพิ่มความมั่นใจ บุคลิกภาพดีขึ้นเมื่อใบหน้าดูเรียวสวย รูปหน้าชัดเจน ช่วยเพิ่มความมั่นใจ บุคลิกภาพดูดีขึ้น ส่งผลต่อความสัมพันธ์ การงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับใครที่กำลังกังวลกับอายุ หรือต้องการเพิ่มความมั่นใจและเสริมใบหน้าให้สวยดูอ่อนเยาว์ การฉีดแฟตเหนียงก็ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวสวย สมดังใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันใต้คางการฉีดแฟตเหนียง เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันใต้คาง ต้องการกำจัดไขมัน ปรับรูปหน้าให้เรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากการฉีดแฟตเหนียง ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณไขมันใต้คาง สภาพผิว สุขภาพโดยรวม และการดูแลหลังการรักษา ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือแพทย์ผิวหนัง เพื่อประเมินสภาพผิว และออกแบบการรักษาที่เหมาะสม ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ