เบาหวานขึ้นตา ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเบาหวานขึ้นตาเบาหวานเป็นโรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ ทำให้เส้นเลือดทั่วร่างกายเปลี่ยนแปลงผิดปกติไปจากเดิม จึงอาจกล่าวได้ว่าโรคเบาหวานสามารถส่งผลต่อทุกอวัยวะในร่างกาย ซึ่งอวัยวะที่มักได้รับผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ได้แก่ สมอง หัวใจ ไต และดวงตา ได้รับเกียรติจาก อ.พญ.แพร์ พงศาเจริญนนท์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โรคตาที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวานโดยหลักแล้วผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะต้องได้รับการตรวจดวงตาเป็นประจำทุกปี เพื่อดูว่ามีภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการตรวจภาวะต้อกระจกและต้อหินร่วมด้วย เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงไป อาจส่งผลให้เป็นต้อกระจกเร็วขึ้น และการป่วยด้วยโรคเบาหวานเมื่อนานวันเข้า อาจทำให้เกิดต้อหินได้ ซึ่งแต่ละปัญหาจะมีวิธีรักษาแตกต่างกันไป
เบาหวานขึ้นจอประสาทตาแบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ1.ระยะที่ยังไม่มีเส้นเลือดงอกผิดปกติ ในระยะนี้ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องทำการรักษา แต่ต้องตรวจติดตามอาการเป็นระยะทุก 4-8 เดือนแล้วแต่กรณี
2.ระยะที่มีเส้นเลือดงอกผิดปกติ เนื่องจากโรคเบาหวานทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายแย่ลง เมื่อเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์ในดวงตาได้เหมือนเดิม กลไกของร่างกายจึงพยายามงอกเส้นเลือดใหม่ขึ้นมา เมื่ออาการดำเนินมาถึงระยะนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยวิธีการยิงเลเซอร์บริเวณจอประสาทตา ที่ไม่มีผลต่อการรับภาพและยิงเลเซอร์ทำลายเส้นเลือดงอกใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้การมองเห็นแย่ลงหรือสูญเสียการมองเห็นในอนาคต
เนื่องจากถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เส้นเลือดที่งอกผิดปกติอาจแตกออก กลายเป็นเลือดออกในลูกตา ผู้ป่วยจึงมองไม่เห็น บางรายมีอาการตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่ามองอะไรไม่เห็นเลย สำหรับการยิงเลเซอร์อาจต้องยิงซ้ำหลายครั้ง จนกว่าจะถึงจุดที่เหมาะสม
หลังจากยิงเลเซอร์ผู้ป่วยอาจมีอาการตามัวอยู่ครู่หนึ่ง แต่เป็นอาการมัวเนื่องจากความสว่างของแสงเลเซอร์ ผู้ป่วยจะมองเห็นทุกอย่างเป็นสีม่วงๆ สักพักก็จะกลับเป็นปกติ
นอกจากนี้เส้นเลือดที่งอกผิดปกติอาจก่อให้เกิดพังผืดไปดึงรั้งจอประสาทตา ทำให้เกิดภาวะจอประสาทตาลอก หรือภาวะจอประสาทตาฉีกขาดได้อีกด้วย หากเป็นในจุดที่อันตราย ทำให้การมองเห็นแย่ลง หรือมีเลือดออกมาก โดยที่เลือดไม่สลายไปเอง แพทย์อาจพิจารณารักษาโดยวิธีผ่าตัดวุ้นตา โดยเจาะรูขนาดเล็ก (ขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร) เข้าไปในลูกตา แล้วทำการผ่าตัดผ่านรูนั้น จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
สำหรับโรคตาอื่นๆ เช่น ต้อกระจก การรักษาทำได้โดยผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “การลอกต้อกระจก” แล้วใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทนในกรณีของผู้ป่วยเบาหวาน อาจมีภาวะที่เป็นอุปสรรค์ต่อการผ่าตัดต้อกระจก เช่น ม่านตาไม่ขยาย เนื่องจากปกติเวลาผ่าตัดต้อกระจกจะต้องขยายม่านตาให้กว้าง ถ้าม่านตาขยายได้น้อย (มักพบในผู้ป่วยเบาหวาน) จะทำให้การผ่าตัดยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็สามารถทำได้ สำหรับการเกิดต้อหินมักเป็นผลพวงมาจากภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา และเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกัน
เริ่มตรวจดวงตาเมื่อไหร่ดีตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจดวงตา หากแบ่งตามชนิดของเบาหวาน สามารถแบ่งได้เป็น
•
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 การตรวจดวงตาสามารถรอได้สักระยะ โดยแนะนำให้ไปตรวจดวงตาหลังจากวินิจฉัยโรคเบาหวานแล้ว 5 ปี จากนั้นให้ตรวจเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
•
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 แนะนำให้ตรวดวงตาทันทีที่ได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวาน และตรวจเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เหตุผลที่ผู้ป่วยเบาหวานควรไปรับการตรวจดวงตาอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการแสดงใดๆ ผู้ป่วยยังคงมองเห็นเป็นปกติ กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ส่วนใหญ่จะเป็นมากแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยควรเข้าใจคือ กระบวนการรักษาภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ทำได้เพียงชะลอไม่ให้การมองเห็นแย่ลงกว่าเดิม แต่ไม่สามารถทำให้ดวงตากลับมาดีเป็นปกติเหมือนก่อนเกิดโรคได้ ดังนั้น ก่อนที่จะมาถึงขั้นนี้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถป้องกันภัยร้ายคุกคามดวงตาได้ ด้วยการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด (ทั้งระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร และระดับน้ำตาลสะสม) ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งมาตรวจดวงตาอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่เราทุกคนควรตระหนักไม่ว่าจะเป็นเบาหวานหรือไม่ก็ตาม คือ ดวงตาเป็นสิ่งที่เราสามารถถนอมและป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น สวมใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ไม่สูบบุหรี่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาล้า และพักสายตาเป็นระยะเมื่อต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ แทบเล็ต หรือสมาร์ทโฟน สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการปฏิบัติของตัวเราเองเท่านั้น ไม่สามารถให้ผู้อื่นมาทำแทนได้เลยแหล่งที่มา http://health.haijai.com/3899/บทความเกี่ยวกับศัลยกรรม ulthera ปากกระจับ ปลูกผม กำจัดขน