เมื่อมีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆ เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องพัฒนาการแต่ละช่วงวัยของลูกน้อย เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะใช้ในการเฝ้าติดตามดูการเติบโตและช่วยเสริมสร้างให้พัฒนาการดีขึ้นตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม
โดยปกติแล้วเด็กที่อายุประมาณ 1 เดือนจะยังไม่ทำอะไรมากนอกไปเสียจากการดื่มนม และนอน โดยช่วงนี้กล้ามเนื้อส่วนคอยังไม่ค่อยแข็งแรง การอุ้มโดยประคองส่วนคอ และค่อย ๆ จัดท่าให้ลูกนอนคว่ำบ้าง ก็จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อส่วนนี้ได้เร็วขึ้น ช่วงวัย 1 เดือนแรกของลูกน้อยนี้เอง ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พ่อแม่จะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจลูกน้อยผ่านวิธีสื่อสารของทารกคือ "การร้องไห้" พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า ทารกร้องไห้ แบบไหนเป็นการบอกว่ากำลังหิว ร้องไห้แบบไหนที่บอกว่าง่วงนอน และร้องแบบไหนที่กำลังบอกว่ากำลังเฉอะแฉะจากการขับถ่ายเพื่อจะได้ตอบสนองลูกได้อย่างถูกต้องเหมาะสม แต่หากว่า
ลูกร้องไม่หยุด หรือ
ลูกร้องไห้ไม่มีสาเหตุ ร้องไห้อย่างรุนแรงจนหน้าแดง เสียงเล็กแหลม บางครั้งมีอการเกร็งมือเท้า โดยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการหิว ไม่สบาย เฉอะแฉะละก็ อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกของเรามี
อาการโคลิค สังเกตอย่างไรว่าลูกน้อยมีการร้องไห้แบบโคลิค
อาการโคลิค หรือ ร้องร้อยวัน เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในทารกวัย 3 สัปดาห์ – 4 เดือน โดยมีการร้องไห้ที่รุนแรง ไม่มีสาเหตุ ร้องต่อเนื่องยาวนานเป็นชั่วโมง และร้องในเวลาเดิม ๆ แทบทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเย็น - กลางคืน ทั้งที่ช่วงเวลาอื่น ๆ ลูกน้อยดูมีความสุขและปกติดี หรือพ่อแม่อาจพาลูกน้อยไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายละเอียดให้มั่นใจว่าลูกมีการร้องไห้แบบโคลิคจริง ๆ ไม่ใช่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดผลเสียกับลูกน้อย
การร้องไห้แบบโคลิค กับพัฒนาการลูกน้อย
แม้อาการร้องไห้มีมีสาเหตุนี้จะส่งผลให้พ่อแม่เกิดความกังวล แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ ผลต่อพัฒนาการของลูกน้อย ในระหว่างนี้ลูกน้อยจะยังสามารถกินนม เติบโต และมีพัฒนาการได้ตามวัย พ่อแม่ก็สามารถช่วยเสริมพัฒนาการได้ตามความเหมาะสม เพียงแต่จะต้องดูแลลูกให้มากขึ้น หากมีอาการร้องไห้ควรปลอบโยนโดยการอุ้มให้แนบอกก โยกตัวเบาๆ จัดบรรยากาศให้สงบ และควรให้ลูกเรอทุกครั้งหลังดื่มนมเพื่อกันแก๊ซเข้ากะเพราะมากเกินไป
ทั้งนี้ การที่พ่อหรือแม่ต้องรับมือกับเรื่องนี้เพียงลำพัง อาจจะทำให้เกิดความเครียดและกดดันซึ่งจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว การสลับสับเปลี่ยนให้มีผู้ช่วยมาดูแลลูกน้อยระหว่างร้องไห้ไม่หยุดบ้างจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับครอบครัว แต่ถ้าไม่มี ก็ควรผลัดกันดูแล เพื่อให้อีกฝ่ายได้มีเวลาพักผ่อนคลายความเครียดในแต่ละวัน โดยหากไม่แน่ใจว่าลูกมีอาการ
โคลิคหรือควรรับมือกับอาการเหล่านี้อย่างไร แนะนำให้ปรึกษาแพทย์