เอาแล้ว! ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ในไทย ไม่ได้แข่งกันแค่แบรนด์จีนกับอินโดนีเซียเท่านั้น ยังมีแบรนด์ไทยอีกต่างหาก ชื่อ MINKKI (หมิงคิ) ขาย 15 บาท มีโมเดลธุรกิจสไตล์เดียวกัน ขายแฟรนไชส์ เปิดสาขาแรกเมื่อปลายปี 2566 ปัจจุบันมีอยู่ 4 สาขา ที่ท่าน้ำนนท์ พันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน พัทยา และซีคอนบางแค 
 

 

MINKKI มีจุดเริ่มต้นโดย "คุณหมุงหมิง-นิจชิตา วัฒนเสถียรสินธุ์" คนไทยที่รู้ภาษาจีนเป็นอย่างดี เธอเป็นคนชอบทานไอศกรีมอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงกลางปี 2566 กระแสไอศกรีมและชาจากจีนกำลังมาแรง เธอจึงอยากสร้างแบรนด์ของไทยบ้าง น่าจะแข่งกับต่างชาติได้ จากนั้นทำการศึกษาและวางโมเดลธุรกิจ จนมาเป็น MINKKI โลโก้น่ารักๆ สดใสในวันนี้ 
 

 

MINKKI อยู่ภายใต้บริษัท หมิงคิ (ประเทศไทย) จำกัด จัดตั้งเมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2567 โดยมีนางสาวนิจชิตา วัฒนเสถียรสินธุ์ เป็นกรรมการลงลายมือชื่อคนเดียว ถือเป็นแฟรนไชส์ไอศกรีมและชาผลไม้แบรนด์ไทย ที่กำลังสู้กลับแฟรนไชส์ไอศกรีมแบรนด์จีนและอินโดนีเซีย ขายราคาถูก เริ่มต้น 15-69 บาท มีเมนูไอศกรีมและเครื่องดื่มหลากหลาย ตรงกับรสชาติที่คนไทยต้องการ โดย MINKKI ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 30 สาขาในสิ้นปี 2567 และเพิ่มเป็น 100 สาขาปี 2568 
 

 

ปัจจัยที่ทำให้ MINKKI กล้าตั้งเป้าขยายสาขาถึง 100 สาขาในปี 2568 ก็เพราะเจ้าของแบรนด์ “คุณหมุงหมิง” มองว่าตลาดไอศกรีมและชาผลไม้ในไทยเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น อีกทั้งเธอยังได้ทำงานและคลุกคลีอยู่กับนักธุรกิจจีนมานาน รู้ดีว่าแบรนด์ต่างชาติยังไม่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยดีเท่ากับคนไทยด้วยกันเอง และคนไทยยังสามารถปรับเมนูและรสชาติให้เข้ากับคนไทยได้ดีกว่า ที่สำคัญยังขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ชาผลไม้ต่างๆ และ บิงซู ที่แบรนด์ต่างชาติไม่ดี 

 

จุดเด่นของ MINKKI ที่ต่างจากแบรนด์ไอศกรีมและชาจากต่างประเทศอื่นๆ อยู่ที่ทางร้านมีเมนูกลุ่มบิงซู ซึ่งขายดีไม่แพ้ไอศกรีมและชา เป็นเพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ทำให้คนไทยชอบทานอะไรเย็นๆ แต่ส่วนใหญ่ในไทย บิงซูจะขายกันที่ราคาหลักร้อยขึ้น แบรนด์ MINKKI จึงมาทำให้ราคาย่อมเยาเริ่มต้นเพียง 49 บาท 
 

#งบลงทุนเริ่มต้น 646,400 - 648,900 บาท (ยังไม่รวมก่อสร้าง-ออกแบบ)

ภาพจาก www.facebook.com/minkkithailand

ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า แฟรนไชส์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้แบรนด์ไทย อย่าง MINKKI เรียกว่าเป็นแบรนด์น้องใหม่ในตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเมืองไทยก็ว่าได้ จะสู้กับแบรนด์ต่างชาติทั้ง จีน อินโดนีเซีย อเมริกา ได้สมน้ำสมเนื้อแค่ไหน ด้วยความที่เป็นแบรนด์คนไทย น่าจะเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยได้เป็นอย่างดี 

 

อ้างอิงข้อมูล 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)