เศรษฐกิจมาเลเซียปี 2555

สภาวะเศรษฐกิจมาเลเซีย

1. ภาพรวม เศรษฐกิจมาเลเซียปี 2555

1.1 อัตราการเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจรัฐบาลมาเลเซีย คาด การณ์ว่า เศรษฐกิจมาเลเซีย(GDP) ขยายตัวประมาณ  ร้อยละ 5 ในปี 2554 และคาดการณ์ว่าจะสามารถขยายตัวร้อยละ 5 ในปี 2555 ในขณะที่การคาดการณ์จากสถาบันและศูนย์วิจัย เศรษฐกิจ ต่างๆ ระบุว่า เศรษฐกิจมาเลเซียขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5-5 ในปี 2554 และจะขยายตัวประมาณร้อยละ 3.8-5.3 ในปี 2555

หมายเหตุ:

1. รัฐบาลมาเลเซีย(รบ.มซ.)GDP ปี 2554 ประมาณการ 5-5.5%, GDP ปี 2555 คาดการณ์ 5-6%

2. OBG (Oxford Business Group) GDP ปี 2554 ประมาณการณ์ มากกว่า 5%, GDP ปี 2555 คาดการณ์ 5.3% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และ 5.6% ปี 2559

3. คำย่อ

• รบ. มซ.(รัฐบาลมาเลเซีย) (Government’s Forecast)
• MIER (Malaysian Institute of Economic Research)
• CIMB Investment Bank
• MARC (Malaysian Rating Corporation)
• EIU (Economist Intelligence Unit)
• OBG (Oxford Business Group)
• ADB (Asian Development Bank)
• IMF (International Monetary Fund

1.2 อัตราเงินเฟ้อ

วัดโดยดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ล่าสุดในเดือน พ.ย. 2554 ขยายตัวร้อยละ 3.3 จากช่วงเดียวกันของปี 2553 และคาดว่าทั้งปี 2554 อัตราเงินเฟ้อของ มาเลเซีย จะขยายตัวร้อยละ 3.2 (เพิ่มจากอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1.7 ในปี 2553) ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2555 อัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่าร้อยละ 3 เนื่องจาก รัฐบาลมาเลเซีย ยังคงนโยบาย fuel subsidy และเงินสกุลริงกิตมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นซึ่งจะทำให้ราคาสินค่า นำเข้าถูกลง

1.3 อัตราดอกเบี้ย

ในเดือน พ.ค. 2554 ธนาคารแห่งชาติมาเลเซียขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลัก Overnight Policy Rate (OPR) จาก 2.75% เป็น 3.00% และคงอัตราดอกเบี้ยหลักที่ 3.00% ตลอดทั้งครึ่งหลังของปี 2554 ทั้งนี้คาดว่า ธนาคารแห่งชาติมาเลเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยหลักที่ 3.00% ตลอดทั้งปี 2555 เนื่องจากปัจจัยด้านอัตราเงินเฟ้อจะไม่รุนแรง

1.4 อัตราแลกเปลี่ยน

ในปี 2554 ค่าเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยนริงกิตมาเลเซีย (RM) ต่อ 1ดอลลาร์สหรัฐ (USD) คือ 3.06 ซึ่งแข็งค่าขึ้น 4.9% จากค่าเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยน 3.22 RM ต่อ 1 USD ในปี 2553 ทั้งนี้คาดว่าค่าเฉลี่ยอัตราแลกเปลี่ยนจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.04 RM ต่อ 1 USD ในปี 2555 เนื่องจาก มาเลเซีย ยังได้เปรียบดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง

1.5 การค้าระหว่างประเทศและบัญชีเดินสะพัด

ในปี 2554 คาดว่า มาเลเซีย จะได้ดุลบัญชีการค้าประมาณ 49.1 พันล้าน USD (มูลค่าการส่งออกประมาณ 225.6 พันล้าน USD และมูลค่าการนำเข้าประมาณ 176.5 พันล้าน USD) โดยประเทศคู่ค้าสำคัญของ มาเลเซีย. 5 ลำดับแรก ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหรัฐ และไทย ในขณะที่บัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณ 33.5 พันล้าน USD หรือคิดเป็นร้อยละ 12.7 ของ GDP ทั้งนี้ คาดว่า  ในปี 2555 การค้าระหว่างประเทศของ มาเลเซีย ยังคงความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยการค้าในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียตะวันออกจะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น มาเลเซีย จะขยายประเภทสินค้าในการส่งออก ในขณะที่สินค้าประเภทไฟฟ้าและอิเลคทรอนิกส์จะมีความอ่อนไหวสูงต่อสภาวะ เศรษฐกิจโลก มูลค่าการส่งออกปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอาจจะลดลงตามแนวโน้มราคา ในตลาดโลกที่อาจจะลดลง โดยคาดว่า มาเลเซีย จะได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 50 พันล้าน USD และได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณ 36.6 พันล้าน USD (ร้อยละ 12.9 ของ GDP) ในปี 2555

2. ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซีย

2.1 ในปี 2555 รัฐบาลมาเลเซีย น่าจะยังมุ่งเน้นการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และมาตรการที่มีลักษณะประชานิยมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่มาตรการ เช่น การยกเลิก fuel subsidy และการเริ่มใช้ Goods and Services Tax (GST) จะถูกเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจาก รัฐบาลมาเลเซีย ต้องการซื้อใจประชาชนในช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไป ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2555

2.2 นโยบายในภาพรวมที่ รัฐบาลมาเลเซีย จะขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2555 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายวิสัยทัศน์ 2020 (การพัฒนาให้ มาเลเซีย เป็นประเทศพัฒนาแล้วหรือมีรายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีไม่ต่ำกว่า 15,000 USD ในปี ค.ศ. 2020) ได้แก่

• 1 Malaysia
• GTP (Government Transformation Program)
• ETP (Economic Transformation Program)
• PTP (Political Transformation Program)
• RTP (Rural Transformation Program)
• Digital Malaysia

2.3 ในการแถลงนโยบายงบประมาณประจำปี  2555 เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2554 นายกรัฐมนตรี นาจิบได้ประกาศเรื่องการเปิดเสรีสาขาการบริการเพิ่มขึ้นอีก 17 สาขาย่อย (subsector) หลังจากที่มีการเปิดเสรีภาคบริการไปแล้ว 27 สาขาย่อย เมื่อปี 2552 ซึ่งจะเป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเป็นการดำเนินนโยบายตามแนวคิด New Economic Model (NEM) ซึ่งมีจุดประสงค์สำคัญประการหนึ่งคือการลด inefficiency และปัญหา คอรัปชั่นจากนโยบาย New Economic Model (NEP) ซึ่งใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1971 ในการกำหนดให้ชาว มาเลเซีย เชื้อสายภูมิบุตรถือครองหุ้นอย่างน้อยร้อยละ 30 ในบริษัทจดทะเบียน

2.4 ประเด็นเรื่องการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ (national minimum wage) จะเป็นนโยบายสำคัญของ รัฐบาลมาเลเซีย โดย National Wage Advisory Council กำลังหารือกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อเสนอตัวเลขค่าแรงขั้นต่ำให้ รัฐบาลมาเลเซีย พิจารณา ในขณะที่ Malaysian Trade Union Congress (MTUC) เรียกร้องให้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 900 ริงกิต และให้มีสิทธิประโยชน์อื่นอีก 300 ริงกิต (รวมเป็น 1,200 ริงกิต) และพรรค PKR แกนนำแนวร่วมพรรคฝ่ายค้านซึ่งเป็นรัฐบาลรัฐสลังงอร์ได้ประกาศ ว่าจะเริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 1,100 ริงกิตในรัฐสลังงอร์ในปี 2555

2.5 รัฐบาลมาเลเซีย อาจจะประสบปัญหาการควบคุมระดับการขาดดุลงบประมาณ เนื่องจากรัฐบาลยังจะไม่สามารถลดค่าใช้จ่าย fuel subsidy  และการขยายฐานภาษีจากการเริ่มใช้ GST (จากเหตุผลด้านการเมืองที่กล่าวไว้ในข้อ 2.1)

2.6 รัฐบาลมาเลเซีย จะเดินหน้าส่งเสริมให้บริษัท มาเลเซีย พัฒนาสินค้าของตน ให้เป็น regional หรือ global brand โดยในขณะนี้มีบริษัทใหญ่และ SMEs จำนวนวนมากของมาเลเซีย ได้มี ASEAN and Global Business Strategies อย่างชัดเจนเพื่อขยายธุรกิจไปในทั้งระดับอาเซียนและระดับโลก

2.7 ในขณะเดียวกันรัฐบาลมาเลเซีย ก็จะส่งเสริมให้บริษัท มาเลเซียขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มชาว มาเลเซีย เชื้อสายจีนซึ่งได้ไปลงทุนในต่างประเทศมานานและเป็นมูลค่ามากแล้วหันมาลงทุน ใน มาเลเซียโดยเฉพาะในโครงการ Entry Point Projects ภายใต้ ETP

2.8 รัฐบาลมาเลเซีย และ Khazanah ซึ่งเป็น investment arm ของ รัฐบาลมาเลเซีย จะเดินหน้าในการ divestment ทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย ETPเช่น การขายหุ้นของ Khazanah ใน บริษัท Proton เพื่อให้ Proton สามารถพัฒนาไปได้มากขึ้นกว่านี้

อ้างอิงจาก thaibizmalay