มอเตอร์โชว์: New Isuzu MU-X 3.0 Ultimate ปรับโฉมรอบคันเพิ่มความปลอดภัยพวงมาลัยไฟฟ้าชีวิตดีขึ้นเยอะ!ทดลองขับ New Isuzu MU-X 3.0 Ultimate 2WD มาพร้อมการปรับโฉมภายนอกที่ดูแล้วรู้สึกได้ว่าเปลี่ยนไปเยอะ หล่อและเข้มขึ้น ส่วนภายในเน้นโทนสีหรูหราและสบายตา พร้อมฟังก์ชั่นความสะดวกสบายเต็มคัน ปลอดภัยขึ้นอีกด้วยการเพิ่มระบบ ADAS ใหม่อีก 5 ระบบ แต่ขุมพลังยังคงเดิม เพิมเติมคือผ่าน EURO5 พร้อมปุ่ม "สลายไอเสีย" มาให้ด้วย
MU-X 3.0 Ultimate นับเป็นรุ่นท็อปสุด แต่ปัจจุบันมีเพิ่มรุ่น "RS" ตกแต่งพิเศษที่มีทั้ง 2WD และ 4WD ให้เลือกแบบเต็มพิกัด ทำให้ Ultimate กลายเป็นรุ่นรองท็อปไปซะแล้ว แต่อย่างไรก็ตามระบบต่าง ๆ ฟังก์ชั่นความสะดวกสบายและขุมพลังก็มีให้เลือกทั้ง 1.9 Ddi BluePower และ 3.0 Ddi และมีเพียงระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหลังเท่านั้น เพราะต้องการเน้นกลุ่มผู้ใช้งานในเมืองที่ให้ความหรูหราพรีเมี่ยม
ภายนอกและภายในปรับใหม่....ไม่น้อยนะ!!
สำหรับภายนอกของ MU-X 3.0 Ultimate ปรับโฉมในหลายจุดแบบ “THE NEXT PEAK” เริ่มที่ความใหม่! ของกระจังหน้าดีไซน์ Dynamic Grille หรูหราด้วยวัสดุสีดำ Titanium Carbide ตรงส่วนนี้นับว่าคันจริงสวยกว่าในรูป และดูมีมิติทำให้จากเดิมทีดูภูฐานมีอายุอย่างเดียว แต่ตอนนี้ดูสปอร์ตและทันสมัยเอาใจวัยรุ่นมากขึ้น
เพิ่มความสปอร์ตขึ้นอีกนิดด้วยไฟหน้าและไฟท้าย Dynamic Blade ลวดลายสวยงามทีเดียวครับ โดยเฉพาะไฟท้าย หากมองด้านข้างจะมีรูปร่างเหมือน "ลูกศร" สะดุดแต่ไกล พร้อมชุดไฟท้ายยาวต่อกันด้วยเส้น Embrace Line ที่ยุคนี้ต้องมี แต่แอบเสียดายที่ในโคมด้านของไฟคาดท้ายนั้นในส่วนช่องด้านล่างเป็นทึบ ๆ ไม่มีไฟ จะมีเฉพาะไฟหรี่ส่วนบนเท่านั้น ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ Dynamic Turbine ขนาด 20 นิ้ว สี Magnetite II พร้อมดีเทลก้านแม็กแบบ 3D ใส่ยางใหญ่สมตัวขนาด 265/50R20
ภายในปรับโทนสีให้หรูหราและเข้มมากขึ้นด้วยสีน้ำตาลเข้ม หรือ เรียกว่า "TRUFFLE BROWN" และหุ้มหนังวัสดุ "COOLMAX" ลดความร้อนได้ดี ซึ่งสีน้ำตาบนี้จะตัดกับสีดำ ต้องบอกว่าด้วยโทนสีนี้ช่วยให้รักษาความสะอาดง่าย สีไม่อ่อนจนเกินไปอีกด้วยครับ ส่วนวัสดุหุ้มจุดต่าง ๆ ทั้งคอนโซลหน้า กลาง แผงประตูล้วนปราณีต เนียบเรียบหรู ผิวสัมผัสพวงมาลัยตึง ๆ มือ ไม่แข็งแต่ผิวละเอียดและเหนียวติดมือ ช่วยให้บังคับทิศทางได้แม่นยำขึ้น
เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้าคนขับ 8 ทิศทาง คนนั่งข้าง 4 ทิศทาง เบาะแถวที่สองยังกว้างขวางใหญ่นับเป็นตำแหน่งที่นั่งได้สบายที่สุดในรถ ส่วนเบาะแถวที่สามก็ยังคงนั่งได้จริง ๆ มีที่ว่างเหลือพอประมาณและการเข้าออกก็ง่ายเพียงระบบดึงคันโยกแบบบ "One Step" พับที่เดียวปีนขึ้นได้เลย นอกจากนี้ตัวถังของ MU-X ในโฉมก่อนและปัจจุบันก็ถูกขยายช่วงประตูด้านหลังให้ยาวขึ้นทำให้เข้า-ออกง่ายขึ้นไปอีกครับ
รถครอบครัวอเนกประสงค์อย่างมิว-เอ็กซ์ นี้ยังสามารถพับเบาะแถวที่สองและสามได้แบนราบ จะวางที่นอน ใช้เป็นรถออกแคมป์สบายเลยครับ หรือจะบรรทุกสัมภาระต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้บริหารที่ชื่นชอบการ "ออกรอบ" ตีกอล์ฟ เชื่อว่าไปกันได้เป็นก้วนเลยครับ
ส่วนของผู้ขับขี่มาตรวัดแบบจอสี ตรงกลางเป็นจอแสดงผลที่ปรับเปลี่ยนและเลือกดูได้หลายฟังก์ชั่น เช่น ระบบความปลอดภัย ADAS, ทริป A/B, ตั้งค่าใช้งานรถยนต์, ดูอัตราสิ้นเปลือง เป็นต้น แต่สิ่งที่สะดุดตาก็คือ เมื่อลองใช้ระบบ Full Speed Range Adaptive Cruise Control หน้าจอจะเปลี่ยนรูปแบบแสดงผลให้ใหญ่ขึ้นมองง่ายมากยิ่งขึ้น
จอกลางใหม่! (ทำเสียงเข้ม ๆ) Infotainment Display ขนาด 9 นิ้ว แบบสัมผัส รองรับ Wireless Android Auto & Wireless Apple CarPlay พร้อม Multitasking System เชื่อมต่อข้อมูลกับ Integrated MID สามารถเลือกดูการแสดงผลของรถยนต์ได้ เช่น ระบบช่วยเหลือการขับขี่, ดูมุมเอียงของรถแบบ Off-Road, ตั้งระบบไฟฟ้าต่างในรถ และแสดงผลการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้อย่างรวดเร็วอีกด้วยครับ แล้วยังให้ไฟสร้างบรรยากาศภายในหรูหราด้วย White Ambient Light สีขาวสว่างแบบสลั่ว ๆ สบายตารอบคัน
ระบบปรับอากาศเย็นทั้งคันแน่นอนแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้ และมีแอร์บนเพดานอีก พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB-C แบบใหม่ด้านหน้า 1 จุด ด้านหลัง 2 จุด และช่องจ่ายไฟ DC12V อีกด้วย ต่อด้วยออปชั่นที่มีอยู่เดิมแล้วใช้งานได้ค่อนข้างดีเนียนและง่ายคือ ระบบเปิดฝาท้ายอัตโนมัติ เมื่อยืนใกล้ โดนไม่ต้องกวาดเท้าหรือ "Step Sensor" เพียงต้องมีกุญแจติดตัวไว้เมื่อยืนใกล้ฝาท้ายจะมีเสียง "ปี๊ป" 1 ครั้ง และให้ถอยมา 1 ก้าวจากนั้นจะมีเสียง "ป๊บปี๊บ" 2 ครั้ง และรอสักครู่ ไฟฉุกเฉินและประตูก็จะเปิดให้ นอกจากนี้เมื่อทำธุระเสร็จแล้ว แค่เดินออกมาประตูก็จะปิดให้เองด้วย แต่อย่าลืมล็อครถนะครับ
สมรรถนะ 3.0 ลิตร มาเต็ม ๆ เร่งทันใจประหยัดใช้ได้
ขุมพลังของ MU-X 3.0 Ultimate พื้นฐานเดิมคือ ดีเซล 3.0 Ddi Blue Power ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่มีการปรับปรุงเรื่องไอเสียให้ได้มาตรฐาน EURO 5 ที่มาพร้อมปุ่ม "สลายเขม่า" ตรงสวิตช์มุมขวาใกล้เข่าคนขับ ได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังเปลี่ยนระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ใหม่เป็นระบบไฟฟ้า EPS อีกด้วยนับว่า "ชีวิตดีขึ้นเยอะ" รถตัวใหญ่โตขนาดนี้ กลับให้ความคล่องตัวแบบรถเก๋งได้ง่ายด้วยการที่น้ำหนักพวงมาลัยเบาลงเยอะมาก ในการเลี้ยวเข้าซอย จะจอดในที่แคบหรือจะถอยหลัง สะดวกสบายขึ้น ควรจะมีตั้งนานแล้ว!!!
เมื่อพวงมาลัยเบาลงส่งผลให้การขับขี่ง่ายขึ้น และลดแรงฉุดปั้มไฮดรอลิคเดิมที่เป็นภาระเครื่องยนต์ได้อีกเล็กน้อย ทำให้อัตราเร่งไหลลื่นขึ้นและมีส่วนช่วยเพิ่มอัตราสิ้นเปลืองได้อีกเล็กน้อย แม้จะขับที่ความเร็วสูง ๆ น้ำหนักพวงมาลัยก็จะเพิ่มความหนืดขึ้นตาม ทำให้ควบคุมง่ายไม่เบาหวิวเกินไปนักและมั่นใจอีกด้วย
ถึงแม้จะเป็นพวงมาลัยไฟฟ้าก็ตาม แต่สิ่งที่อาจจะต้องทำใจคือ ความคมกระชับของการบังคับพวงมาลัย เพราะด้วยความเป็นรถยกสูง ล้อโต ตัวหนักย่อมมีอาการโยน ๆ หรือเลี้ยวแล้วไม่ตามมือบ้าง โดยส่วนตัวคิดว่า การได้พวงมาลัยไฟฟ้ามานั้น ตอบโจทย์เรื่องการขับขี่ในเมืองหรือความเร็วต่ำที่คล่องตัวมากกว่าความคมกระชับของพวงมาลัย ซึ่งในส่วนอื่น ๆ เช่น กลไลในชุดกระปุกพวงมาลัยที่ไปบังคับล้อนั้นไม่ได้มีการปรับเพิ่มมากนัก แค่เปลี่ยนมาใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าผ่อนแรงเท่านั้นเองครับ
สมรรถนะของเครื่อง 3.0 ลิตร ไว้ใจได้ การออกตัวนับว่าดีแรงสะใจ รอรอบและใช้เวลาจาก 0-100 กม./ชม. จากการใช้แอปฯ วัดคร่าว ๆ กว่า 3 รอบเวลาเฉลี่ยที่ 10 วินาที ความจริงอาจจะบวกหรือลบอีกหน่อย แต่อัตราเร่งที่ใช้งานจริง ๆน่าจะเป็นเร่งแซงมากกว่า โดยเร่งแซงที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ขึ้น จะตอบสนองดีไม่รอเปลี่ยนเกียร์นาน แต่ถ้าขับในช่วงความเร็วแบบ "ก่ำกึ่ง" หรือว่ารอบจังหวะที่ ความเร็วกลาง ๆ รอบเครื่องยนต์ต่ำหรือสูงและตำแหน่งเกียร์สูง หากต้องคิกส์ดาวน์หรือกดคันเร่งเต็มที่ อาจจะมีช่วงจังหวะ "รอรอบและเปลี่ยนเกียร์บ้าง" ซึ่งเท่าที่ลองขับดูมักจะเป็นย่านความเร็วที่ไม่ได้ใช้บ่อย ๆ อย่างเช่น ขับชิว ๆ 60 กม./ชม. แล้วกดคันเร่งต้องรอบเปลี่ยนเกียร์หลายตำแหน่ง หรือว่า เกิน 110 กม./ชม. ขึ้นไปอาจจะต้องรอคำนวนดูว่าจะต้องใช้เกียร์ไหนให้สัมพันธ์กับความเร็วรถและรอบเครื่องยนต์ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานมากนักนะครับ ถือว่าระบบเกียร์มีความฉลาดรวดเร็วน่าพอใจครับ
***เป็นการจับเวลาด้วยแอปฯ ในสมาร์ทโฟนไม่เป็นทางการห้ามใช้อ้างอิงที่อื่น
มาถึงช่วงล่างที่ยังคงเดิมให้ความเฟิร์มแน่น ๆ วิ่งความเร็วต่ำ ๆ ก็จะมีอาการเต้น ๆ เบา ๆ ที่ความเร็วสูงให้ความมั่นใจ การเข้าโค้งยาว ๆ ทำได้ดี แม้ว่าพวงมาลัยเบาแต่ความเร็วสูงก็ให้น้ำหนักหนืด ๆ ขึ้น ไม่แกว่งไม่ต้องเกร็งมือมากนัก นับว่าเป็นรถยกสูงที่ช่วงล่างมั่นใจมาก ๆ รองรับกำลังระดับ 190 แรงม้าแบบสบาย ๆ เลยครับ ส่วนความเร็วสูงสุดคาดว่าทำได้ราว ๆ 180 นิด ๆ ก็ตันแล้ว แต่รถแบบนี้ไม่ควรใช้ความเร็วสูงมากเกินไปนะครับ อย่างไรก็เป็นรถครอบครัวยกสูงมีความโยนตัวเป็นธรรมดา
ADAS เพิ่มอีก 5 ระบบ
เดิมทีระบบความปลอดภัยใน MU-X ใหม่ ก็มีให้เยอะมากมายตั้งแต่รุ่น 1.9 Ultimate ขึ้นไปแล้ว แต่ในรุ่นใหม่ก็เพิ่มระบบ ADAS อีก 5 ระบบให้มันเต็ม ๆจบ ๆ ไป ให้สมกับรถยอดนินมไปแล้วครับ และยังเป็น ADAS Generation ล่าสุด! กับระบบกล้องหน้าคู่ พร้อมเรดาร์ 2 จุด และ เซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน
ใหม่! ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System) ระบบนี้จะช่วยประคองพวงมาลัยให้รถอยู่ในเลน ป้องกันเวลาคนขับเผลอ เหมอลอยหรือกำลังหยิบจับของในรถรบกวนสมาธิในการขับขี่ มีตัวช่วยนี้เอาไว้อุ่นในกว่า
ใหม่! ระบบช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า TJA (Traffic Jam Assist) ระบบนี้จะทำงานควบคู้กับการใช้ Adaptive Cruise Control และต้องเปิดสวิตช์รูป "พวงมาลัย" เอาไว้ด้วยครับ ซึ่งสามารถตรวจจับรถคันหน้าแทนในกรณีเส้นถนน "หาย" หรือไม่ชัดเจน เมื่อมีทางโค้งก็จะตรวจจับรถด้านหน้าที่กำลังเลี้ยวโค้งอยู่ แต่ถ้าไม่มีทั้งรถนำหน้าและเส้นถนนก็ต้องขับเองนะครับ
ใหม่! ELK ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Emergency Lane Keeping) อันนี้คือการต่อยอดจากระบบควบคุมรถ โดยใช้ระบบช่วยดึงกลับและระบบเตือนมุมอับสายตาที่ตรวจจับรถด้านหลัง หากเปิดไฟเลี้ยวและจะเปลี่ยนเลนในขณะที่มีรถหรือมอเตอร์ไซค์หรือจะเป็นวัตถุที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังในระยะที่ไม่ปลอดภัย ระบบนี้จะดึงรถกลับเข้าเลนเดิมก่อน ซึ่งในการใช้งานจริงนั้นบางครั้งก็ดีเพราะอาจมองรถด้านหลังไม่เห็น แต่บางครั้งผู้ขับตั้งใจจะเปลี่ยนในระยะห่างที่กะเอาไว้แล้ว แต่ระบบก็จะเตือนพร้อมดึงกลับเข้าเลน อาจจะต้องขืนแรงบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมนับว่ามีระบบนี้ช่วยเป็นหูเป็นตาในมุมอับได้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ
ใหม่! ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลน พร้อม LDW (Lane Departure Warning) ก็คือ การเตือนและช่วยดึงรถกลับถ้าผู้ขับยังไม่มีสติหรือไม่ตอบสนองระบบก็จะดึงรถเข้าสู่เลนคล้ายการไม่ตั้งใจ หรือไม่เปิดไฟเลี้ยว แต่ถ้ามีการเปิดไฟเลี้ยวระบบก็จะไม่ทำงานเพราะเข้าใจว่าจะเปลี่ยนเลน แต่....ถ้าบังเอิญมีรถแซงขึ้นมาฝั่งนั้น ๆ ก็กลับไปสู่ระบบ (Emergency Lane Keeping) ที่จะดึงกลับมาเลนเดิมนั่นเองครับ
ใหม่! ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย RCTB (Rear Cross Traffic Brake) พร้อม ระบบช่วยเตือนขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ระบบนี้จะคอยเตือนเมื่อมีรถหรือคนหรือวัตถุผ่านขณะกำลังถอยหลัง และถ้าผู้ขับยังเฉย ๆ ก็จะเบรกให้ด้วย บอกเลยระบบนี้งามมากครับ
ส่วนระบบที่มีอยู่แล้วได้แก่
ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชัน Stop and GO ACC (Full Speed Range Adaptive Cruise Control)
ระบบช่วยแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า FCW (Forward Collision Warning) พร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Breaking)
ระบบช่วยแจ้งเตือนจุดอับสายตา BSM (Blind Spot Monitoring)
ระบบเซ็นเซอร์ช่วยจอดรถยนต์ Parking Aid System
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา TA-AEB (Turn Assist with Autonomous Emergency Braking)
ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ AHB (Automatic High Beam) ในที่มืดจะเปิดไฟสูงให้และเมื่อมีแสงสว่างจากรถด้านหน้าหรือส่วนทางจะปรับเป็นต่ำตามเดิม
ระบบช่วยตัดกำลังเครื่องยนต์เมื่อเหยียบคันเร่งผิดพลาด PMM (Pedal Misapplication Mitigation)
ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลังการเกิดอุบัติเหตุ MCB (Multi-Collision Brake)
ระบบช่วยตั้งค่าจำกัดความเร็วสูงสุดด้วยตัวเอง MSL (Manual Speed Limiter)
ส่วนตัวชอบ Full Speed Range Adaptive Cruise Control รถติด ๆ เปิดใช้ระบบนี้สบายเลยครับ การควบคุมความเร็วและเบรกก็ไม่กระชากมากนักและรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าได้ดี ยิ่งตั้งใกล้สุดยิ่งดี เหลือที่น้อยหมดกังวลเรื่องรถแทรกได้เยอะครับ
สรุปความคุ้มค่ากับราคา
“THE NEXT PEAK” ใน New Isuzu MU-X 3.0 Ultimate กับราคาที่ปรับเพิ่มจากรุ่นก่อนหน้าik; 3 หมื่นบาท เทียบรุ่น MU-X 3.0 Ddi Ultimate เดิม ราคา 1,559,000 บาท เป็นราคา 1,589,000 บาท ได้การปรับโฉมตกแต่งใหม่รอบคัน ภายในเบาะสีใหม่ จดกลางใหม่ ระบบ ADAS ใหม่อีก 5 ฟังก์ชั่น แค่นี้ก็เกิน 30,000 บาทไปแล้ว นอกจากนี้ MU-X ก็เป็นรถที่หลายคนไว้วางใจและมั่นใจในคุณภาพ ความทนทาน ประหยัด บำรุงรักษาง่าย ศูนย์บริการดี ใครสนใจก็ต้องไปลองขับลองใช้งานที่โชว์รูมได้เลยครับ