สปอยล์หนัง The Pursuit of Happyness (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)ภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness หรือยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ เป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก โดยเฉพาะกับคนที่มีความรู้สึกสิ้นหวังด้วยแล้ว ยิ่งต้องดูเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของคริส การ์ดเนอร์ พ่อหม่ายผู้แทบจะสูญสิ้นความหวังทุกอย่างแล้วประสบความสำเร็จจากการมีบริษัทเป็นของตัวเอง แต่กว่าที่เขาจะมีวันนี้ได้ เขาต้องฝ่าฟันความลำบากชนิดเรียกว่าต้องกัดก้อนเกลือกินกันเลยทีเดียว รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น เราลองมาดูกัน
ภาพจาก bit.ly/2wxium1
เริ่มเรื่องนั้นคริสได้พาลูกชายของเขาไปส่งโรงเรียนตามปกติ พร้อมกับเล่าบรรยายชีวิตของตัวเองเกี่ยวกับชีวิตการงาน โดยเขาได้ลงทุนไปกับกิจการขายเครื่องสแกนความหนาแน่นของกระดูก พร้อมกับแบกเครื่องสแกนความหนาแน่นของกระดูกตระเวนขายเลี้ยงชีพตามสถานพยาบาลที่ต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธที่จะซื้อ เนื่องจากเป็นเครื่องที่มีราคาแพงเกินจริง
อีกทั้งเขายังเจอกับปัญหากับการแจ้งเตือนของกรมสรรพกรจากการที่เขาได้ผ่อนผันชำระต่อเนื่อง และเขายังเจอกับปัญหาการขายเครื่องสแกนไม่ได้เลย คริสกับภรรยาเริ่มทะเลาะกันเรื่องการจ่ายภาษี ทำให้เขาต้องขยันขายเครื่องสแกนมากขึ้น ระหว่างที่เขาเดินทางนั้น เขาได้สอบถามคนที่ใส่สูทคนหนึ่งว่า เขาทำอาชีพอะไร และเขาตอบว่า เป็นนายหน้าค้าหุ้น จุดนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองบ้างแล้ว
ภาพจาก bit.ly/2xqR7de
เขาตัดสินใจที่จะไปบริษัทโบรกเกอร์หุ้นเผื่อหวังว่าจะมีงานให้เขาได้ทำ แต่ทางภรรยาของเขาไม่ค่อยเห็นชอบมากนัก และทั้งสองเริ่มทะเลาะกันเรื่องการเงินที่กำลังประสบอยู่ แต่เขายังคงไปบริษัทโบรกเกอร์หุ้นเพื่อไปสมัครฝึกอบรมการเป็นนายหน้าค้าหุ้น คริสได้ทำการกรอกใบสมัครฝึกอบรม แต่เขายังคงเดินหน้าไปสมัครงานพร้อมกับแบกขายเครื่องสแกนต่อไป
ขณะเดียวกันเขาได้เล่าเรื่องของตัวเองเกี่ยวกับเส้นทางการลงทุนไปกับการขายเครื่องสแกนกับภรรยาของเขา ซึ่งเครื่องสแกนแต่ละเครื่องมีความหมายต่อคริสมาก ต่อมาคริสได้พบกับฝ่ายคัดเลือกผู้สมัคร ทั้งคริสและเขาได้นั่งแท็กซี่ด้วยกัน คริสได้บรรยายสรรพคุณของตัวเอง แต่ทางนั้นหมกมุ่นอยู่กับการหมุนรูบิคคริสเลยใช้โอกาสนี้ในการแก้รูบิค จนทำให้คัดเลือกผู้สมัครถึงกับอึ้งเมื่อเห็นคริสแก้ปริศนารูบิคได้
ภาพจาก imdb.to/3atCG72
ทว่าตอนนี้คริสไม่มีเงินเหลือพอจ่ายค่ารถแท็กซี่ เลยต้องหาทางวิ่งหนีสุดชีวิตจนทำให้เครื่องสแกนของเขาต้องหลุดมือไปจากการโดยประตูรถไฟใต้ดินหนีบ ข่าวดีก็คือ คริสหนีได้แม้จะเสียเครื่องสแกนไป แต่ข่าวร้ายก็คือ ภรรยาของคริสเริ่มหมดความอดทนกับคริสจนต้องขอแยกกันอยู่ เมื่อคริสพบว่า ภรรยาได้หนีจากเขาไปแล้ว คริสเริ่มคิดหนัก แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องบรรเทาใจได้บ้างเมื่อฝ่ายคัดเลือกผู้สมัครที่ได้นั่งแท็กซี่ด้วยกันได้โทรนัดคริสมาสัมภาษณ์ ระหว่างทางคริสกับภรรยาเจอกันระหว่างทาง
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยสถานการณ์ให้ดีขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างทะเลาะและขอเลิกขาดกัน ตอนนี้เหลือแค่คริสกับลูกชายเท่านั้น ทว่าปัญหาใหญ่ที่ตามมาอีกก็คือ คริสไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าเช่าบ้าน และทางเจ้าของบ้านได้ให้คริสอยู่ต่อเพียงแค่อาทิตย์เดียวพร้อมกับต้องทาสีบ้านเช่าด้วย ปัญหาของคริสยังไม่หมดแค่นั้น ตำรวจได้บุกเข้ามาถึงบ้านเพื่อให้จ่ายค่าปรับจอดรถ แต่ทางคริสไม่มีเงินจ่ายค่าปรับมากพอ คริสจึงต้องเข้าซังเต เมื่อคริสออกจากซังเตแล้ว เขารีบวิ่งไปที่บริษัทที่นัดสัมภาษณ์งานฝึกหัด เมื่อคริสได้เข้าไปดูบรรยากาศแล้ว ก็เต็มไปด้วยความอลหม่านภายในที่ทำงานนายหน้าค้าหุ้น
เมื่อคริสได้เข้ามาห้องสัมภาษณ์แล้ว ฝ่ายสัมภาษณ์ได้สอบถามรายละเอียดต่าง ๆ เป็นที่น่าพอใจแล้ว ทางบริษัทได้รับเลือกให้เขาเข้ามาทำงาน แต่มีข้อแม้ว่าเป็นการฝึกงาน ไม่มีการจ่ายเงินเดือน ทำให้คริสต้องกลับมาคิดหนักอีกครั้ง เนื่องจากคริสต้องการเงินเป็นอย่างมาก แต่ทางนั้นได้ขู่กลับว่า หากเขาไม่รับงาน เขาจะแต่งตั้งคนใหม่ทันที ทำให้คริสจำใจต้องทำงานในบริษัทนี้ เมื่ออดีตภรรยาได้ส่งลูกที่บ้านเช่าของคริสแล้ว ทั้งสองเริ่มพูดคุยกันถึงสิทธิ์ในการดูแลลูกของตัวเอง เขากล่าวกับอดีตภรรยาว่า เขาจะเรียนให้จบหลักสูตรการอบรมเป็นนายหน้าค้าหุ้น แล้วชีวิตของลูกจะสบายมากขึ้น แต่ทางอดีตภรรยาได้พูดจาเชิงดูถูกเหยียดหยามว่า ทำแบบนี้เท่ากับถอยหลังลงคลอง และเธอก็ได้จากไป
ภาพจาก imdb.to/3atCG72
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น คริสได้ตอบตกลงเข้าร่วมหลักสูตรการอบรม และคริสกับลูกชายได้ย้ายหนีออกจากบ้านเช่าไปพักที่อื่นซึ่งเป็นห้องเช่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง คริสได้ให้ความหวังกับลูกชายของตัวเองโดยให้เหตุผลว่า เขาได้งานดีกว่าเดิมแล้ว คริสได้อบรมลูกชายของเขาว่า ไม่ว่าจะมีใครว่าอะไร อย่าไปให้คนอื่นพูดดูถูกอย่างนั้นเป็นอันขาด จะต้องปกป้องความฝันตัวเอง และจะต้องทำความฝันนั้นให้ได้ ต้องการอะไรก็ต้องเอาความต้องการนั้นมาให้ได้
คริสได้เริ่มฝึกงานเป็นวันแรก คริสได้พยายามเรียนรู้การทำงานแบบละเอียดอย่างจริงจัง เขาได้เรียนรู้เรื่องค่าคอมมิชชั่น และพยายามทำคะแนนสอบออกมาได้อย่างดีที่สุด รวมไปถึงหาเทคนิคแนวทางหาลูกค้าให้ได้มากที่สุด ทว่าคริสเองก็ต้องทำตัวเปรียบเสมือนกับคนรับใช้ให้กับทางผู้จัดการไปด้วยจากการที่ผู้จัดการได้ใช้เขาไปเสิร์ฟกาแฟ ซื้อโดนัทบ้าง แต่คริสก็เต็มใจที่จะรับใช้ คริสยังคงตั้งใจเรียนรู้ฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง พยายามหาลูกค้าอย่างสุดฝีมือกับคู่แข่งคนอื่น ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าคริสยังคงตามหลังคู่แข่งคนอื่น ๆ อีกมาก
คริสยังคงต้องแบ่งเวลาไปเที่ยวกับลูกชายอีก ทำให้คริสเสียเปรียบที่ต้องแข่งตามหลังคู่แข่งเสมอ แต่คริสก็ได้ลูกค้าคนหนึ่ง ทั้งเขาและลูกค้าได้ไปชมอเมริกันฟุตบอล ซึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับลูกค้าคนอื่น ๆ ด้วย คริสได้กล่าวกับผู้ชมว่า เขาสามารถขายเครื่องสแกนหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งดูเหมือนทำให้คริสลืมตาอ้าปากขึ้นมาอีกครั้ง แต่มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องลงเหวอีกครั้งเมื่อทางกรมสรรพกรได้แจ้งให้ทางคริสรีบทำการชำระภาษี หากไม่ชำระแล้วทางรัฐบาลจะดำเนินการยึดเงินทั้งหมดของคริสไป ทั้ง ๆ ที่เงินของคริสมีเงินเหลืออันน้อยนิดก็ตาม สุดท้ายคริสก็ถังแตกจากการที่ไม่มีเงินเหลือในบัญชีแดงเดียว
ภาพจาก bit.ly/2QPW5Hf
ตอนนี้คริสเผชิญกับจุดตกต่ำที่สุดของชีวิตแล้ว แต่คริสยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าคริสจะเจอเครื่องสแกนที่เคยหล่นบนตอนหนีขึ้นรถไฟ คริสยังคงพยายามขายเครื่องสแกน แต่เครื่องสแกนเกิดมีปัญหาขึ้นมา เมื่อกลับมาถึงที่ห้องพักแล้ว ข้าวของของคริสกับลูกชายถูกกองนอกห้อง เนื่องจากคริสไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า นั่นหมายความว่า คริสกับลูกชายไม่มีที่พักพิงที่ไหนอีกแล้ว ต้องพเนจรร่อนเร่อยู่ข้างถนน คริสกับลูกชายเดินร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างถนนไปเรื่อย ๆ เขากับลูกชายได้นอนในห้องน้ำสาธารณะที่รถไฟใต้ดิน สุดท้ายคริสกับลูกชายได้หาที่พักพิงที่โบสถ์ชั่วคราว ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย
ภาพจาก bit.ly/39myZOT
คริสยังคงไปฝึกงานที่บริษัทเดิม แต่คราวนี้คริสเริ่มเดินสายหาลูกค้าอย่างจริงจังมากขึ้น และยังคงร่อนเร่พเนจรต่อไปเรื่อย ๆ หาข้าวประทังชีวิตที่โบสถ์ คริสใช้เวลาฝึกฝนเรียนรู้ต่อเนื่องจนถึงวันสอบคัดเลือกนายหน้าค้าหุ้น คริสไม่ได้กังวลกับการสอบเหมือนกับคนอื่น ๆ มากนัก ในแต่ละวันเขาคิดอยู่อย่างเดียวว่า เขากับลูกชายจะหาที่ซุกหัวนอนและหาข้าวกินประทังชีวิตได้ที่ไหน แต่คริสไม่ได้ทิ้งเวลาเปล่าประโยชน์ เขาใช้เวลาอ่านตำรานายหน้าค้าหุ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าคริสจะไม่มีเงินเดือน แต่เขาหาเงินด้วยวิธีการบริจาคเลือดเพื่อแลกกับเงินประทังชีวิตอันน้อยนิด เขาได้ใช้เงินส่วนหนึ่งซื้ออุปกรณ์ซ่อมแซมเครื่องสแกน เมื่อเขาซ่อมเครื่องสแกนเสร็จแล้ว เขานำไปขายให้กับทางสถานพยาบาลในราคา 250 เหรียญ ซึ่งเงินก้อนนี้ถือเป็นเงินที่ต่อยอดชีวิตและความฝันของเขาให้เป็นจริงได้
ภาพจาก bit.ly/39myZOT
คริสกับลูกชายเริ่มแบ่งเวลาไปเที่ยวด้วยกันมากขึ้นเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกมา ทำให้คริสมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อ คริสเริ่มได้ลูกค้าจากการฝึกงานมากขึ้น แล้ววันหนึ่งทางผู้จัดการได้เรียกคริสมาเข้าพบ และทางฝ่ายบริหารของบริษัทได้แจ้งกับคริสว่า คริสสามารถเป็นนายหน้าค้าหุ้นได้อย่างเต็มตัวแล้ว ทำให้คริสถึงกับร้องไห้ในสิ่งที่เขาพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ แน่นอนความพยายามนี้ขาดไม่ได้เลยหากไม่มีลูกชายของเขาอยู่เคียงข้างด้วย เมื่อคริสได้สั่งสมประสบการณ์มากพอสมควรแล้ว ต่อมาคริสได้ก่อตั้งบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของตัวเองชื่อ Garder Rich
ภาพจาก bit.ly/39myZOT
และหนังก็จบลงเพียงเท่านั้น ปัจจุบันคริส การ์ดเนอร์ยังคงเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตาชีวิตตัวเองอย่างคริส การ์ดเนอร์ได้พิสูจน์ให้กับคนทั่วโลกเห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เขายังคงเดินหน้าไม่ยอมแพ้และจะไม่หยุดอยู่กับที่หากความฝันของเขายังไม่เป็นจริง ไม่ว่าคุณจะสิ้นหวังแค่ไหน อย่าให้ใครมาทำลาย และอย่าให้ใครมาดูถูกสิ่งที่คุณทำอยู่ เดินหน้าต่อไปนะครับ
อัพเดทและติดตามข่าวสารได้ที่
Line : @thaifranchise
Twitter : @thaifranchise
Website :
www.thaifranchisecenter.com/home.phpInstagram :
www.instagram.com/thaifranchiseYouTube :
www.youtube.com/user/ThaiFranchiseBlockdit :
www.blockdit.com/thaifranchisecenterPodcast :
www.soundcloud.com/thaifranchisecenter