|
|
|
|
22 กันยายน 2555 |
เพิ่มแบรนด์-ขายแฟรนไชส์-ส่งออก จุดเปลี่ยน เอสแอนด์พี
"เอสแอนด์พี" ผู้ประกอบการร้านอาหารยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะมีอายุครบ 40 ปีในปีข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้น และเป็นจุด "หัวเลี้ยวหัวต่อ" สำคัญในการพลิกภาพบริษัทไปสู่องค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับหมื่นล้าน พร้อมมีสาขาและธุรกิจขยายออกสู่ประเทศต่าง ๆ แบบก้าวกระโดด จากบริษัทครอบครัวก้าวสู่องค์กรมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงเวลาขวบปีจากนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่จะทำให้เอสแอนด์พีไม่เป็นเพียงแค่ธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่ในประเทศอีกต่อไป
วิทูร ศิลาอ่อน รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส-ธุรกิจอาหารในประเทศ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หัวเรือใหญ่ผู้ขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหารในเครือ ซึ่งพูดเปรียบเปรยภาพองค์กรขณะนี้ว่ากำลังอยู่ในช่วง "ทางโค้ง" ที่ต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นพิเศษ "เป็นจุดที่เข้าโค้งแล้วจะไปได้ฉิวหรือเปล่า มันอาจจะแฉลบหน่อย แต่ถ้ามันสมูทก็จะส่งผลให้เอสแอนด์พีจากนี้เติบโตแบบก้าวกระโดด ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าองค์กรครั้งใหญ่"
นั่นหมายความว่า หากเข้าโค้งครั้งนี้แล้วทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีสะดุด ก็จะเป็น "ก้าวกระโดด" ครั้งใหญ่ของเอสแอนด์พี "มี 3 สิ่งที่รอเราอยู่จากนี้ ที่เรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญขององค์กรคือ
- การเพิ่มแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะการผนึกกับบริษัทจากญี่ปุ่น ซึ่งแผนทุกอย่างจะชัดเจนจริง ๆ ในช่วงปลายปี
- การเปิดแฟรนไชส์ในต่างประเทศ ที่จะทำให้การขยายธุรกิจรวดเร็วขึ้น และสุดท้ายคือ
- โอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ซึ่งเราอยู่ระหว่างการลงทุนขยายโรงงานครั้งใหญ่"
"วิทูร" ขยายความให้ฟังว่า วันนี้เอสแอนด์พีกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยน "เส้นทาง" จากความคุ้นเคยในอดีตมาสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นการรุกร้านอาหารญี่ปุ่นที่เร็ว ๆ นี้จะมีการเซ็นสัญญากับบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นเพื่อเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย หนึ่งในความร่วมมือดังกล่าวยังหมายถึงการที่บริษัทจะนำร้านเอสแอนด์พีไปอวดโฉมในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ส่วนการขยายสาขาผ่านรูปแบบแฟรนไชส์เป็นครั้งแรก โดยเฉพาะกับตลาดต่างประเทศ ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยังต้องรอผลพิสูจน์ในอนาคตเช่นเดียวกัน
เขาเล่าว่า ที่ผ่านมาแบรนด์ร้านอาหารที่ไปเปิดในต่างประเทศจะเน้นไปที่ "ภัทรา" รวมถึงแบรนด์อื่น ๆ ทั้งที่ลงทุนเองและผ่านการร่วมทุน แต่สำหรับ "เอสแอนด์พี" ถึงวันนี้ยังเปิดให้บริการแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แบรนด์ที่เปรียบเสมือน "หัวใจ" หลักของบริษัท ที่สำคัญคือศักยภาพและตำแหน่งของแบรนด์ที่เจาะกลุ่มระดับกลางถึงบนที่จะทำให้การขยายสาขาในต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้น
"ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งคือเรื่องของเออีซีที่จะเปิดในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นตัวกระตุ้นให้เราต้องเปิดแฟรนไชส์ เราเคยทำเมื่อเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทดลองได้ 2-3 ช็อปปรากฏว่าไม่เวิร์ก แต่ขณะนี้คิดว่าเรามีความพร้อมในเรื่องระบบและรูปแบบการบริหารจัดการมากขึ้น แบรนด์ที่เราไปก็จะเน้นเอสแอนด์พี เพราะค่อนข้างแมส หรืออาจจะเป็นแบรนด์อื่น ๆ ก็ได้"
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คือหาแฟรนไชส์ในต่างประเทศที่เหมาะสมได้ แบรนด์เอสแอนด์พีจะเริ่มไปปักธงในประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
"จุดเปลี่ยน" สำคัญอีกอย่างคือ การขยายธุรกิจส่งออก ที่จะเป็นอีกปัจจัยหลักที่จะทำให้เอสแอนด์พีเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผู้บริหารหนุ่มเอสแอนด์พีระบุว่า บริษัทเตรียมลงทุนขยายฐานการผลิตครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนของโรงงานเบเกอรี่และโรงงานผลิตอาหารเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทถือเป็นการลงทุนรอบใหญ่ในรอบสิบปีของบริษัท
"วิทูร" ชี้ว่า วันนี้บริษัทมีศักยภาพในกลุ่มอาหารที่มีทั้งอาหารแช่แข็ง รวมถึงกลุ่มไส้กรอก, แฮม, เบเกอรี่, ขนมไหว้พระจันทร์ ฯลฯ ที่มีโอกาสขยายไปสู่ตลาดส่งออกอีกมหาศาล หากมองโอกาสเฉพาะในประเทศ เห็นได้จากจำนวนรีเทลเอาต์เลต ทั้งร้านสะดวกซื้อและไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
"เรามีโอกาสจะทำอีก แต่เทรดดิ้งเราต้องพร้อม รวมถึงส่งออก อนาคตถ้ายอดส่งออกเพิ่มขึ้นก็เป็นไปได้ มีการสร้างโรงงานสำหรับการส่งออกขึ้นมาโดยเฉพาะ"
เป้าหมายใหญ่ของเอสแอนด์พีวันนี้คือ การดับเบิลธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับมีแบรนด์เพิ่มปีละ 1 แบรนด์ "ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเราเติบโต 9-10% รวมถึง 8 เดือนที่ผ่านมาเราก็จะโตอยู่ในอัตรานี้ แต่หลังจากนี้ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เราก็คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 20% หรือคิดเป็น 2 เท่า"
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสมากมายที่เปิดตัว "วิทูร" ย้ำว่า เอสแอนด์พียังคงเป็นเอสแอนด์พี และไม่ได้เปลี่ยนสไตล์จากที่เป็นอยู่ นั่นคือดำเนินธุรกิจแบบไม่หวือหวา ช้าแต่ชัวร์ จริง ๆ เขายังมองแบบพอดี ๆ คือ ไม่ต้องมีแบรนด์ร้านอาหารมากมายในอนาคต สำคัญคือมี 2 แบรนด์หลัก และ 2 แบรนด์รอง "หากมีได้แค่นี้ก็สามารถทำจนเกษียณได้" วิทูรกล่าวพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดีทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
