16K
23 ตุลาคม 2555
บิวตี้บุฟเฟต์ ชูโมเดลต้นแบบหนุนแบรนด์ไทยสร้างดีเอ็นเอกรุยโกอินเตอร์



ถอดรหัส "บิวตี้บุฟเฟต์" เครื่องสำอางสายพันธุ์ไทยแท้  ประกาศสร้างแบรนด์เทียบชั้นแบรนด์นอก  ชี้กระแสเมกอัพเกาหลีกระฉ่อน ดันยอดขายพุ่ง พร้อมระดมทุนตลท. หวังเดินหน้าขยายสาขาในอาเซียนเป็นต้นแบบแบรนด์ไทยโกอินเตอร์

น.พ.สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง บิวตี้ บุฟเฟต์ (Beauty Buffet) , บิวตี้ คอทเทจ (Beauty Cottage) และ เมด อิน เนเชอร์ (Made in Nature)  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจเครื่องสำอางทั้งในและต่างประเทศ

พร้อมเดินหน้าสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่ง มีศักยภาพในประเทศรองรับการแข่งขันจากอินเตอร์แบรนด์ และแบรนด์จากเกาหลีที่มาแรง ที่สำคัญบริษัทต้องการผลักดันร้านจำหน่ายและแบรนด์เครื่องสำอางของคนไทยให้ก้าวเป็นรีจินัลแบรนด์ภายใน 5 ปีข้างหน้า

              
หลักการสร้างแบรนด์ของบริษัท เน้นการสร้างแนวคิดของแบรนด์ให้แข็งแรงก่อนพัฒนาและผลิตสินค้าไปตอบสนองความต้องการผู้บริโภค เพื่อเป็นการรักษาแบรนด์ดีเอ็นเอ ปัจจุบันบริษัทมีการผลิตสินค้าเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของตนเองได้แก่ Gino McCray,  The Bakery, Scentio และ Lanley และจำหน่ายภายในร้านกว่า 400 รายการ แต่ละแบรนด์จะมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป ขณะที่ร้านเครื่องสำอางนั้นจะมีคอนเซ็ปต์เป็นมัลติแบรนด์ มัลติแชนเนล เพื่อเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม

              
"บริษัทพิจารณาจุดอ่อนแบรนด์ไทยในอดีตมักคิดว่าจะขายสินค้าอะไรให้กับผู้บริโภค แต่เราคิดต่างคือวางคอนเซ็ปต์แบรนด์ให้แข็งแรงก่อนแล้วค่อยผลิตสินค้าตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป บริษัทเสียเวลาในการคิดคอนเซ็ปต์แบรนด์นานมาก พอสร้างได้ก็จะขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น โดยคอนเซ็ปต์ของร้านบิวตี้ บุฟเฟต์และบิวตี้ คอทเทจเป็นมัลติแบรนด์ซึ่งทั้งหมดคือไพรเวตแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาขึ้นมา เช่น Gino McCray จะเป็นโปรเฟสชันนัลเมกอัพ The Bakery จะจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นเป็นต้น ที่สำคัญร้านจะเป็นเหมือนคอมมิวนิตีที่ลูกค้าเข้ามาทดลองแต่งหน้า ลองสินค้าได้โดยไม่เน้นว่าต้องเป็นการซื้อขายสินค้าเท่านั้น ส่วนมัลติแชนเนล คือการขยายช่องทางขายให้หลากหลายในห้างค้าปลีกทุกรูปแบบ" น.พ.สุวิน กล่าว  

              
ด้านแผนธุรกิจระยะยาว 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทจะใช้งบลงทุนประมาณ 125 ล้านบาท เพื่อเปิดร้านบิวตี้ บุฟเฟต์ไม่ต่ำกว่า 30 สาขาต่อปี และบิวตี้ คอทเทจ 20 สาขาต่อปี โดยคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเปิดเออีซีแล้วบริษัทจะมีสาขาในประเทศเปิดให้บริการราวรวม 330 สาขา แบ่งเป็นบิวตี้ บุฟเฟต์ 240 สาขา จากเดิมมีอยู่ 136 สาขา ส่วนบิวตี้ คอทเทจจะมี 90 สาขา จากที่มีอยู่ 31 สาขา ส่วนการบุกต่างประเทศตั้งเป้าเปิดสาขาบิวตี้ บุฟเฟต์และบิวตี้ คอทเทจไม่ต่ำกว่า 15 สาขาภายในปี 2558 และเพิ่มเป็น 20 สาขา ภายในปี 2563
              
ปัจจุบันได้เข้าเปิดร้านบิวตี้ บุฟเฟต์ที่ประเทศกัมพูชา 1 สาขา และจะขยายเพิ่มเป็น 6 สาขา ในปี 2556 บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดในลาว เวียดนาม เพื่อเปิดสาขาเพิ่ม โดยคอนเซ็ปต์ร้านจะยึดโมเดลจากประเทศไทยทั้งหมด แต่รูปแบบการลงทุนเปิดสาขาในต่างประเทศจะใช้ผ่านระบบแบบแฟรนไชส์ เพื่อเร่งสปีดของธุรกิจและสร้างแบรนด์ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว

              
"บริษัทอยู่ระหว่างการวางระบบและปรับเงื่อนไขของธุรกิจแฟรนไชส์ให้สอดคล้องกับการขยายการลงทุน เปิดสาขาของร้านเครื่องสำอางในภูมิภาคอาเซียน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปีหน้า ซึ่งแผนดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้บิวตี้ บุฟเฟต์ก้าวสู่การเป็นรีจินัลแบรนด์ได้ภายใน 5 ปี เพราะการเปิดเออีซีถือเป็นโอกาสของแบรนด์สินค้าไทยอย่างมาก ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและน่าเชื่อถือของภูมิภาค

ขณะที่กลยุทธ์ในการทำตลาดและสร้างแบรนด์นั้นจะเน้นใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น ลดการใช้เทรดดิชันนัลมีเดียซึ่งมีต้นทุนสูง โดยปีหน้าบริษัทจะใช้งบประมาณ 30 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดและเพิ่มสัดส่วนนิวมีเดีย สื่อออนไลน์จากปัจจุบันอยู่ที่ 20%" น.พ.สุวิน กล่าว
              
สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยถือว่ามีอินเตอร์แบรนด์ เข้ามาทำตลาดนานแล้วเช่น แบรนด์เกาหลี  และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีจะทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะไม่ส่งกระทบต่อบริษัทมากนัก แต่กลับมองว่าจะส่งผลบวก โดยเฉพาะกระแสเกาหลีซึ่งบริษัทมีสินค้าอย่าง เมด อิน เนเจอร์ที่ผลิตจากเกาหลีตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วย ขณะที่ราคาสินค้าต่ำกว่าคู่แข่งประมาณ 35%


โดยตลาดเครื่องสำอางมีการเติบโต 11% และมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท แบ่งตามช่องทางจำหน่ายเป็นขายตรง 2 หมื่นล้านบาท เคาน์เตอร์แบรนด์ 1.2 หมื่นล้านบาท และผ่านห้างสรรพสินค้า 8 พันล้านบาท โดยบริษัทอยู่ในเซ็กเมนต์ดังกล่าวและเป็นเบอร์ 3 ที่มีส่วนแบ่งตลาดราว 7.7% เบอร์ 1 ยังเป็นโอเรียนทอล ปริ๊นเซส และคิวท์เพรส
              
น.พ.สุวิน กล่าวว่า ในปี 2556 บริษัทจะเพิ่มสินค้าแบรนด์ใหม่ในกลุ่มเพอร์ซันนัลแคร์ เพื่อรองรับลูกค้าในตลาดแมส จากปัจจุบันที่แบรนด์ เมดอิน เนเจอร์ มีสินค้า 2 รายการ ได้แก่ ครีมอาบน้ำ และโลชัน เจาะตลาดพรีเมียมแมส และวางจำหน่ายในช่องทางห้างโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก

โดยปลายปีนี้จะขยายช่องทางจำหน่ายไปยังท็อปส์ จากแผนดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้สิ้นปีนี้ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนมีรายได้ 615 ล้านบาท และปีเพิ่มขึ้นแตะหลักพันล้านบาทในปี 2556

อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
อากิโกะที เปิด 2 สาขาใ..
5,821
สเต็กเด็กแนว สร้างรายไ..
2,696
ซอห์น ฟู้ด จัดโปรแรง! ..
1,184
ก๋วยเตี๋ยวเรือปัญจะรส ..
779
“THE GRAND MALL” ทำเลด..
638
ธงไชย ผัดไทย ร่วมกับคน..
616
ข่าวแฟรนไชส์มาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด