ส.อ.ท. เปิดตัวโครงการ 'SMEs We Care'รับมือค่าแรงขั้นต่ำ300บาท
สภาอุตสาหกรรมฯ เผยแนวทางช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้รับมือการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ทั่วประเทศ ด้วยโครงการ “SMEs We Care”
ยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SMEs พร้อมเดินหน้าผลักดันข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการปรับค่าขึ้นค่าแรง 300 บาท ทั่วประเทศ ที่มีผลไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SMEs ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถแบกรับภาระต่อไปได้เนื่องจากต้นทุนการประกอบการที่สูงขึ้น
อาทิ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นในกระบวนการผลิต จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนลดลง เนื่องจากไม่สามารถขึ้นราคาขายได้ กอปรกับราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งแรงงานขาดทักษะ (แรงงานยังด้อยฝีมือไม่เหมาะสมกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น) รวมถึงการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกปรับขึ้นราคาได้ยากกว่า ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเกิดข้อได้เปรียบเนื่องจากไม่ได้มีต้นทุนแรงงานที่สูงเท่าประเทศไทย ซึ่งค่าแรงไทยสูงกว่าเวียดนามประมาณ 1.5 เท่า และสูงกว่าประเทศกัมพูชาประมาณ 3.1 เท่า
ด้วยเหตุดังกล่าว สภาอุตสาหกรรมฯ ซึ่งได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2555 ก่อนการปรับขึ้นค่าแรงครั้งแรก โดย ส.อ.ท. ได้จัดระดมความคิดเห็นในส่วนของผู้ประกอบการ SMEs ที่จะได้รับผลกระทบหลังการปรับขึ้นค่าแรง ซึ่ง ส.อ.ท. ได้จัดทำข้อแสนอการบรรเทาผลกระทบเพื่อเสนอต่อภาครัฐผ่านการผลักดันของ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร.พร้อมประชุมหารือร่วมกับกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะถูกนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ซึ่งมาตรการที่ได้รับการอนุมัติจากภาครัฐจำนวน 5 มาตรการนั้น ยังเป็นมาตรการที่ยังไม่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด อาทิ มาตรการทางด้านภาษี และสินเชื่อที่ออกมานั้น ให้ประโยชน์เพียงผู้ประกอบการที่สามารถผ่านวิกฤติได้ด้วยตนเอง โดยที่มาตรการภาษีจะส่งเสริมให้มีความสามารถในการทำกำไรได้เพิ่มขึ้น มีรายได้มากขึ้น หรือหากสามารถกู้ยืมเงินเพื่อขยายงาน ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เช่น การเปลี่ยนเครื่องจักร เปลี่ยนอุปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งไม่ตรงกับเป้าหมายที่
สภาอุตสาหกรรมฯ เสนอไป คือ ต้องการให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลาง และเล็ก หรือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งอาจจะเกิดจากการมองเห็นปัญหาในมุมมองที่แตกต่างกัน โดยภาครัฐอาจเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันเรื่อง การชดเชยส่วนต่างค่าแรง ที่เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งสภาอุตสาหกรรมฯ จะร่วมกับ กกร. ผลักดันอย่างต่อเนื่อง
นายพยุงศักดิ์ กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมฯ เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว และมีความประสงค์ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จึงได้จัดทำโครงการ “SMEs We Care” เพื่อช่วยยกระดับผู้ประกอบการ ให้สามารถต่อสู้กับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำผ่านการพัฒนาศักยภาพและการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆ
โดยโครงการ “SMEs We Care” เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นภายใต้การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานเอกชน และภาครัฐ ซึ่งมีแนวคิดร่วมกันในการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยให้สามารถยืนหยัดแข่งขันในตลาดต่อไปได้
รายละเอียดกิจกรรมภายใต้โครงการ “SMEs We Care” มีดังนี้
- ส่งเสริม SMEs เพื่อพัฒนานวัตกรรม Creative SMEs
- โครงการเพิ่มผลิตภาพและพัฒนาประสิทธิภาพในธุรกิจ SMEs ด้านการผลิต (ProductivityImprovement)
- โครงการลดต้นทุนทางด้านโลจีสติกส์ภานในองค์กร Internal Logistic Improvement
- ส่งเสริมพัฒนาและผลิตเครื่องจักรในประเทศลดการนำเข้า
- การสร้างความรู้กับความเข้าใจด้าน Productivity Improvementกับผู้ประกอบการ
- การจัด Focus Group เพื่อรับฟังประเด็นปัญหา/ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs
- พัฒนาสินค้า SMEs ให้ได้มาตรฐาน
- เพิ่มศักยภาพฝีมือแรงงาน
- ส่งเสริม Venture Capital ซึ่งเป็นแหล่งทุนที่สำคัญของ SMEs อีกทางหนึ่ง
- ผลักดันรูปแบบความช่วยเหลือทางด้านการเงินต่างๆ สำหรับ SMEs (Financial Package) อาทิ Productivity Improvement Loan
- การสร้างเครือข่ายในกลุ่ม ASEAN และ สนับสนุนการการค้า / ลงทุนระหว่าง SMEs ไทยกับ SMEs ASEAN
- F.T.I Factory Outlet ส่งเสริมช่องทางการตลาดสำหรับผู้ประกอบการ SMEs
- ให้คำปรึกษาสร้างยุทธศาสตร์เชิงรุก AEC ให้กับผู้ประกอบการ
นอกเหนือจากโครงการ “SMEs We Care” ที่จะช่วยเหลือ SMEs ไทยโดยตรงแล้ว สภาอุตสาหกรรมฯ ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผลักดันมาตรการที่เหลืออยู่ต่อภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังดำเนินการหาแนวทางการช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาศักยภาพเพิ่มประสิทธิภาพให้สามารถปรับตัว อีกทั้งมีภูมิคุ้มกัน และยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการได้
อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ