คอฟฟี่บีนเร่งขยายกาแฟพรีเมียม
เอฟโวลูชั่น วาดแผนลุยธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ทำรายได้ 3.2-3.3 ล้าน ภายใน 4-5 ปี มั่นใจศักยภาพตลาดเมืองไทย เตรียมปูพรมขยายสาขาทั้งร้านกาแฟพรีเมียม "เดอะ คอฟฟี่ บีน แอนด์ทีลิฟ" 60-70 สาขา "โดมิโนส์พิซซ่า" 60-70 สาขา ขณะที่ประเดิมปีแรกลุยเปิดร้านกาแฟระดับพรีเมียม 17-18 สาขาสร้างยอดขาย 250 -300 ล้าน
นายซานเจย์ ซิงห์ กรรมการบริหาร บริษัท เอฟโวลูชั่นแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิโก้ฟู้ดส์ จำกัด เปิดเผยว่า ภายในอีก 4-5 ปีนับจากนี้ บริษัทจะขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายจะขยายร้านกาแฟเดอะคอฟฟี่บีนแอนด์ทีลีฟ (The Coffee Bean & Tea Leaf) ให้ได้ 60-70 สาขา และร้านโดมิโนส์ พิซซ่า อีก 60- 70 สาขาเช่นกัน เพื่อสร้างรายได้ 3.2-3.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากร้านสาขาเดิมและการขยายร้านอาหารสาขาใหม่ต่อเนื่อง
"ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 6-7% ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่อง บริษัทเองก็มีแผนขยายสาขาเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของบริษัท มี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. แบรนด์เดอะคอฟฟี่บีน 2. แบรนด์โดมิโนส์ พิซซ่า และ3. กลุ่มร้านอาหารที่มีลักษณะเฉพาะในหลายๆ แบรนด์ อาทิ ร้านดิไอร่อนแฟรี่ส์ ร้านแฟตกัตซ์ ร้านมิสเตอร์โจนส์ และร้านคลาวส์ เป็นต้น" นายซานเจย์ กล่าวและว่า
ด้านแผนการขยายธุรกิจสำหรับปีนี้ บริษัทวางแผนขยายสาขาร้านเดอะคอฟฟี่บีน เพิ่มขึ้นเป็น 17-18 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 7 สาขา ร้านโดมิโนส์ พิซซ่า เพิ่มขึ้นเป็น 12-15 สาขา จากปัจจุบันเปิดบริการแล้ว 1 สาขา ส่วนกลุ่มร้านดิไอร่อนแฟรี่ส์ ปัจจุบันเปิดบริการแล้ว 5 สาขา จะเปิดเพิ่มเป็น 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้ โดยจะมีร้านแบรนด์ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 1 แบรนด์ ภายใต้ชื่อร้านแม็กกี้ ชู
ส่วนร้านแมกโนเลียเบเกอรี่ที่บริษัทเพิ่งได้รับลิขสิทธิ์แฟรนไชส์มาเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 และเตรียมเปิดสาขาแรกที่ประเทศญี่ปุ่นช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทยังไม่มีแผนที่จะนำเข้ามาเปิดในประเทศไทยในขณะนี้
นายซานเจย์ กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้น่าจะทำรายได้รวม 700-800 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 450-500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 60% ที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจดิจิตอลมีเดียและธุรกิจที่ปรึกษา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ทำรายได้ 300 ล้านบาทโดยปีนี้เป็นปีแรกที่รับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเฉพาะร้านเดอะคอฟฟี่บีน คาดว่าจะทำยอดขายได้ 200-250 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจร้านกาแฟเดอะคอฟฟี่บีน บริษัทได้เตรียมงบลงทุนในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้มูลค่า 250-300 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาครบ 50 สาขา โดยธุรกิจร้านกาแฟในประเทศไทยยังมีโอกาสการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเพราะอัตราการดื่มกาแฟของคนไทยมีเพียง 130-150 แก้วต่อคนต่อปีเท่านั้น
ขณะที่ธุรกิจร้านกาแฟระดับพรีเมียมปัจจุบันมีผู้ทำธุรกิจเพียงรายเดียว คือ สตาร์บัคส์ ซึ่งตลาดกาแฟระดับพรีเมียมในต่างประเทศทั้งสตาร์ บัคส์และเดอะคอฟฟี่บีน จะสลับกันครองตำแหน่งเบอร์ 1 หรือเบอร์ 2 ขึ้นอยู่กับการทำตลาดในแต่ละประเทศด้วย
"ในด้านคุณภาพกาแฟเดอะคอฟฟี่บีน ถือเป็นผู้นำตลาด เพราะมีการคัดสรรเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพด้วยมือแบบดั้งเดิม เพื่อเลือกกาแฟที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพียง 1% เท่านั้น และการชงกาแฟทุกขั้นตอนจะต้องดีที่สุดและมีมาตรฐาน รวมถึงแหล่งผลิตเมล็ดกาแฟทางบริษัทก็มีส่วนในการส่งเสริมการปลูกเพื่อให้ได้คุณภาพของกาแฟที่ดีที่สุดด้วย และบริษัทยังมีทีมพัฒนาสินค้าใหม่ที่จะคอยคิดสูตรเครื่องดื่มที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศด้วยเช่นกัน" นายซานเจย์ กล่าวและว่า
ส่วนในปี 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ เออีซี จะถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากจะเกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้บริษัทมีโอกาสจ้างแรงงานที่มีทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดี เช่น ชาวเมียนมาร์หรือ ฟิลิปปินส์ เพื่อมาทำงาน
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางสำหรับภูมิภาค เพื่อการจัดส่งสินค้าหรืออาหารบางประเภท เช่น เค้ก หรือเบเกอรี่ เพื่อออกไปจำหน่ายในประเทศในภูมิภาคได้ด้วยเช่นกัน
อ้างอิงจาก หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ