โดยเฉพาะธุรกิจที่ดำเนินการแบบแฟรนไชส์ ที่แห่เข้าไปลงทุนในดินแดนแห่งนี้ เพราะหวังจะเก็บเกี่ยวประโยชน์จากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของมังกรน้อยแห่งเอเชีย 

"ตันห์เหนียน นิวส์" สื่อเวียดนาม รายงานว่า เชนฟาสต์ฟู้ดของสหรัฐอย่างเคเอฟซีเข้าไป เปิดสาขาในเวียดนามแล้ว 38 แห่ง และมีแผน จะเปิดสาขาเพิ่มราวๆ 13-15 สาขาต่อปี เพื่อให้ มีสาขาได้ถึง 100 แห่งภายใน 3 ปีข้างหน้า 

ส่วนเชนฟาสต์ฟู้ดจากเกาหลี "ลอตเตอเรีย" ที่เน้นลงหลักปักฐานในเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ก็เข้าไปเปิดสาขาในเวียดนาม รวม 35 แห่งแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับการ ขาดทุนในการขยายเครือข่ายสาขา 

ขณะที่เคเอฟซีสามารถทำกำไรได้แล้ว หลังจากต้อง รอคอยถึง 8 ปี กว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคนเวียดนามให้หันมา สนใจอาหารฟาสต์ฟู้ดได้ 

เชนร้านอาหารอีกราย "พิซซ่า ฮัท" ก็ไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ โดยในปีนี้เพิ่งเปิดสาขา 2 แห่ง ในเวียดนาม ซึ่งทั้งสองสาขาตั้งอยู่ในเมือง โฮจิมินห์ซิตีทั้งสิ้น และบริษัทยังมีแผนจะขยายสาขาอีก 20 แห่งภายในปี 2553 โดยเน้นทำเล ในโฮจิมินห์ซิตีเป็นหลัก 

 

ไม่เพียงแต่เชนฟาสต์ฟู้ดและร้านอาหารเท่านั้น แต่บริษัทต่างชาติที่ทำธุรกิจอื่นๆ ก็สนใจเข้ามาดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ในเวียดนาม เช่นกัน  อาทิ "กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่" เชนร้านกาแฟชื่อดังจากออสเตรเลียก็เพิ่งมาเปิด 2 สาขาแรก ในฮานอยและโฮจิมินห์ซิตีในปีนี้ 

"เวิรลด์ ออฟ สปอร์ต" แบรนด์เสื้อผ้าแนวกีฬาจากสิงคโปร์ก็มาเปิดสาขาในเวียดนามแล้ว 6 แห่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา 

ยังไม่นับรวม "เบสต์ เดนกิ" ร้านค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่น รวมถึง "วอลต์ ดิสนีย์" ของสหรัฐ และ "แอลเจ ฮูเกอร์" บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากออสเตรเลีย ที่เข้าไปเปิดแฟรนไชส์ในเวียดนามกันถ้วนหน้า 

น่าสังเกตว่าเชนฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่อีกราย "แมคโดนัลด์" กลับยังไม่มีสาขาในเวียดนาม เนื่องจากยังไม่สามารถหาหุ้นส่วนที่เหมาะสมในการขยายแฟรนไชส์ได้ แต่ล่าสุดแว่วข่าวมาว่า แมคฯกำลังจะเปิดสาขาแรกในฮานอยภายใน สิ้นปีนี้ 

แต่แม้แฟรนไชส์ต่างชาติจะพาเหรดเข้ามา ในเวียดนามอย่างไม่ขาดสาย แต่กลับมีบริษัทเวียดนามเพียงไม่กี่รายที่สามารถซื้อสิทธิแฟรนไชส์ของแบรนด์ดังๆ เหล่านี้ได้ 

ขณะที่แฟรนไชส์ใหญ่ๆ อย่างเคเอฟซี และพิซซ่า ฮัท กลับเลือกที่จะขายสิทธิดำเนินการแฟรนไชส์ ให้กับบริษัทจากสิงคโปร์ และ มาเลเซียแทน 

 

"เหงียน พี วาน" กรรมการผู้จัดการ ของกลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่ ในเวียดนาม กล่าวว่า สาเหตุที่บริษัทเวียดนามเมินที่จะเข้าร่วมกระแสแฟรนไชส์บูม เนื่องจากบริษัทท้องถิ่นเหล่านี้ขาดแคลนเงินทุน และประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการที่ดี ทำให้เป็นเรื่องยากที่บริษัทเวียดนามจะเข้าไปร่วมกับแบรนด์อย่าง แมคโดนัลด์ สตาร์บัคส์ หรือเคเอฟซี 

 

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจแฟรนไชส์อีกรายที่มองว่า บริษัทเวียดนามไม่มีเงินมากพอ ที่จะเสียค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการอื่นๆ 

เพราะการเปิดแฟรนไชส์แต่ละสาขา ต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย อย่างร้านแมคโดนัลด์ ต้องใช้เงินทุนสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์จึงจะเปิดได้ ส่วน พิซซ่า ฮัท มีต้นทุนอยู่ที่ 500,000 ดอลลาร์ 

ขณะที่ลอตเตอเรียต้องใช้เงินทุนราว 300,000-400,000 ดอลลาร์ และเคเอฟซี มีต้นทุนในการเปิดสาขาอยู่ที่ 200,000 ดอลลาร์ต่อแห่ง ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่ไกลเกินเอื้อมของบริษัทเวียดนาม แม้จะรู้ว่ามีโอกาสประสบ ความสำเร็จรออยู่ก็ตาม 

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเชี่ยวชาญ ในการบริหารจัดการ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ สำหรับบริษัทเวียดนามและตลาดแฟรนไชส์ เพราะบริษัทเวียดนามไม่ได้เอาใจใส่ที่จะ ปฏิบัติตามมาตรฐานการบริหารจัดการของเจ้าของแฟรนไชส์อย่างเคร่งครัด ทั้งในเรื่อง การควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานการให้ บริการ 

 

นอกจากนี้ เรื่องทำเลยังมีส่วนอย่างมาก ในการจะทำให้ธุรกิจรุ่งหรือร่วง ซึ่งคาดกันว่า ศึกแย่งชิงทำเลดีๆ จะปะทุดุเดือดในเร็ววันนี้