โออิชิชี้ลงทุนเมียนมาร์ยังเสี่ยงก.ม.ไม่นิ่ง
กลุ่มทุนแบรนด์อาหารไทยโอด กฎหมายลงทุนเมียนมาร์สุดเข้มและไม่นิ่ง กระทบธุรกิจปรับแผนอุตลุดแนะลดความเสี่ยงหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นร่วมทุน "โออิชิ" เผยดีเลย์จากเปิดไตรมาส 4 เป็นต้นปีหน้า พร้อมปรับแผนมาร่วมมือกับนักธุรกิจท้องถิ่นผุดร้านชาบูชิ
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (บมจ.) ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มและร้านอาหารในเครือโออิชิ อาทิ โออิชิ แกรนด์, ชาบูชิ, โออิชิราเมน ฯลฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทมีแผนเข้าไปลงทุนทำธุรกิจร้านบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น "ชาบูชิ" ในประเทศเมียนมาร์ โดยตั้งเป้าที่จะเปิดให้บริการภายในสิ้นปีนี้ แต่ด้วยข้อกฎหมายของเมียนมาร์ที่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และยังไม่นิ่งเท่าที่ควร ทำให้บริษัทต้องปรับรูปแบบการลงทุนใหม่ ด้วยการร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นชาวเมียนมาร์ ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเปิดให้บริการออกไปเป็นไตรมาส 1 ในปี 2557
นอกจากนี้จากการศึกษาตลาดยังพบว่า เมียนมาร์ยังมีข้อกำหนดในหลายด้าน อาทิ โครงสร้างการจ่ายภาษี , การอนุญาตให้นำเงินออกนอกประเทศ รวมไปถึงการเช่าหรือการลงทุนในเชิงธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ
ทั้งนี้การร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับนักธุรกิจท้องถิ่น ถือเป็นการลงทุนตามเงื่อนไขสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาร์ ทำให้สามารถทำตลาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากนักธุรกิจท้องถิ่นจะมีความเชี่ยวชาญในตลาดมากกว่า
"แม้จะมีความยากลำบากอยู่บ้างในการเข้าไปทำธุรกิจจากนโยบายที่ทางเมียนมาร์ไม่อนุญาตให้ต่างชาติก่อตั้งบริษัทเพื่อลงทุนในประเทศ แต่เราปรับรูปแบบเป็นการร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยประเดิมที่แบรนด์ชาบูชิ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว อีกทั้งบวกกับศักยภาพของโออิชิกรุ๊ปเองมั่นใจว่าจะสามารถทำตลาดเมียนมาร์ได้ไม่ยาก แม้จะมีข้อกำหนดต่างๆมากมาย"
สำหรับกลุ่มนักธุรกิจร้านอาหารที่สนใจเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมาร์ปัจจุบันมองว่า อยากให้ศึกษาตลาด รวมถึงรูปแบบกฎหมายให้ดี แม้ตลาดเมียนมาร์จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีการเติบโตสูงแต่ขณะเดียวกันด้วยข้อกำหนดหลายๆอย่างบวกกับกลุ่มทุนที่ต่างเข้าไปทำตลาด ทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเติบโตเช่นกัน จึงควรมีการศึกษารายละเอียดและโครงสร้างตลาดให้ดีเสียก่อน นอกจากนี้ยังต้องมองเรื่องของการหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการช่วยทำตลาด นายไพศาลกล่าว
![](https://www.thaifranchisecenter.com/info/franchise/oishi0-0.jpg)
ด้านม.ล. ลือศักดิ์ จักรพันธุ์ ผู้อำนวยการเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านอาหาร "เอส แอนด์ พี" กล่าวว่า นโยบายของบริษัทมุ่งขยายตลาดในกลุ่มประเทศ "ซีแอลเอ็มวี" ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม รวมถึงประเทศมาเลเซีย เป็นครั้งแรกภายใต้แบรนด์ เอส แอนด์ พี ในภูมิภาคนี้ ภายใต้แผน 5 ปีนับจากนี้
จากที่ผ่านมาธุรกิจอาหารในเครือเน้นขยายการลงทุนในต่างประเทศ อาทิ อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้แบรนด์ "ภัทรา" เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันได้เปิดให้บริการในประเทศกัมพูชา และมีแผนจะขยายไปยังเมียนมาร์และเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาด โดยมีแผนระยะยาวคือการขยายสาขาให้ครบในภูมิภาคอาเซียน
เบื้องต้นสำหรับตลาดประเทศเมียนมาร์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบตลาด รวมถึงข้อกฎหมายที่แน่ชัด และการหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นในการทำตลาดร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากว่า 10 ราย เพื่อดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยขั้นตอนของการทำตลาดในเมียนมาร์ เบื้องต้นจะค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากกฎหมายยังไม่นิ่งพอสมควร จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษารายละเอียดให้ถี่ถ้วน ทั้งข้อกำหนดและการบังคับใช้ โดยคาดว่าจะได้เห็นการเปิดบริการของเอส แอนด์ พี ในเมียนมาร์ ได้เร็วสุดช่วงปลายปี 2557-2558
- ค่าเช่าที่ดินไม่สมเหตุสมผล
ม.ล.ลือศักดิ์ยังระบุอีกว่า ความยากในการทำตลาดธุรกิจร้านอาหารในเมียนมาร์ นอกจากเรื่องของการซื้อขายแล้ว ปัจจัยที่สำคัญคือต้องศึกษาโครงสร้างตลาดให้ละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของค่าเช่าที่ดิน ในศูนย์การค้า หรืออาคารสำนักงาน ซึ่งมีราคาค่าเช่าสูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ที่เข้ามา ทำให้อาจไม่สมเหตุสมผลเท่าที่ควร ซึ่งจะแตกต่างจากตลาดประเทศไทยที่มีรายรับกับค่าเช่าที่สมเหตุสมผลมากกว่า จึงทำให้ต้องมีการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบก่อนที่จะมีการตัดสินใจ
"ตลาดเมียนมาร์ยังคงต้องมีการศึกษาให้ดี เนื่องจากข้อกฎหมายข้อบังคับต่างๆค่อนข้างละเอียด ดังนั้นเราจึงต้องมีการคิดให้รอบคอบก่อนจะเข้าไป แม้ในเรื่องของกำลังซื้อจะดีอยู่ ขณะเดียวกันก็อยากเตือนนักธุรกิจชาวไทยว่า หากแบรนด์ยังไม่มีความแข็งแกร่งและศักยภาพเพียงพอ ยังไม่อยากให้กระโจนเข้าทำตลาดในเมียนมาร์ เพราะยังมีความเสี่ยงอยู่ ซึ่งผู้ประกอบการที่จะเข้าไปต้องมีศักยภาพที่ดีและเป็นกลุ่มทุนที่แข็งแกร่งในประเทศไทยให้ได้เสียก่อน"
- กำลังซื้อเมียนมาร์ทะยานพุ่ง
ทั้งนี้ศูนย์ข้อมูลการตลาดเพื่อการส่งออกและการลงทุนต่างประเทศ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ระบุว่า การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลเมียนมาร์ ส่งผลให้เมียนมาร์กลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพ มีการเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการทั่วโลก
โดยThe Economist Intelligence Unit (EIU) คาดว่าเศรษฐกิจเมียนมาร์จะขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 2555 เป็น 5.5% ในปี 2556 และ 6.2% ในปี 2557 ขณะที่กำลังซื้อของเมียนมาร์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยนักลงทุนไทยสามารถเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์และอาศัยประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในการดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ นักลงทุนไทยควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในเชิงลึก รวมไปถึงกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการลงทุน , สิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่มีต่อนักลงทุนต่างชาติ , ข้อกำหนดในการเช่าที่ดิน และข้อกำหนดเงื่อนไขการจ้างแรงงาน เป็นต้น
อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ