|
|
|
|
3 มิถุนายน 2558 |
สำรวจแฟรนไชส์ 3 เดือนแรกปีนี้ ยอดขายหด-ดิ้นเพิ่มฝากขาย
สถานการณ์แฟรนไชส์ปีนี้แค่ไตรมาสแรกยอดขายก็วูบเสียแล้ว ผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ต่อเนื่อง แต่สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์แนะ แนวทางให้กับสมาชิกปรับกลยุทธ์ร่วมมือกันสร้างแบรนด์ใหม่ รวมทั้งตลาดเออีซีก็ยังมีหนทางที่สดใส
สินค้าเกษตรหด ทำยอดหาย
นายสวาสดิ์ มิตรอารี นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และไลเซนส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เบรน จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์แฟรนไชส์ในปีนี้ว่า จากการสำรวจจากสมาชิกของสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์เองจำนวน 250 ราย และแฟรนไชส์ที่จดทะเบียนการค้ากับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์อีกกว่า 1,500 ราย
พบว่าโดยรวมมียอดการขยายแฟรนไชส์ตกลงไปกว่า 15% หรือ 1.85 หมื่นล้านบาท ของมูลค่าตลาดที่มีอยู่ 1.25 แสนล้านบาท สาเหตุหลักก็มาจากสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทำกำลังซื้อหดตัวอย่างเห็นได้ชัด
ภูมิภาคที่กระทบหนักคือ ภาคใต้ เนื่องจากราคายางพาราตกต่ำ ผู้บริโภคตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะธุรกิจแฟรนไชส์การศึกษาลูกค้าหาย 50% ส่วนภูมิภาคอื่น ๆ ยอดขายยังนิ่ง
ส่วนสถานการณ์ในครึ่งปีหลังนายสวาสดิ์มองว่า จะยังคงไม่ดีขึ้นเพราะราคาสินค้าเกษตรมีผลมาจากเศรษฐกิจโลก ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัว ส่วนตลาดด้านการท่องเที่ยวยังไม่มีความแน่นอน จึงเน้นแนะนำสมาชิกให้มีการจับมือกันเอง รวมทั้งลุยตลาดเออีซี
หาตลาดใหม่-ขายทิ้ง-ร่วมทุน
แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการแฟรนไชส์มีหลายรูปแบบ แบบแรก ตัดสินใจขายกิจการไปเลย ในกลุ่มแฟรนไชส์รถเข็น ขณะนี้มีราว 2 ราย ที่มีการติดต่อกับรายใหญ่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการร่วมทุนกันโดยนำสินค้าสองแบรนด์มาร่วมจำหน่ายโดยเฉพาะแบรนด์ด้านอาหาร เช่น แบรนด์ "แม่ศรีวรรณ" ที่เป็นร้านอาหาร เริ่มนำแบรนด์ขนมหวาน "ไทยริช" มาจำหน่ายในร้าน การฝากขายหน้าร้านที่เป็นสมาชิกสมาคม เช่น แฟรนไชส์ โฟตรอน ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ที่เป็นธุรกิจคาร์แคร์ สนใจนำสินค้าอาหารไปวางจำหน่ายยังหน้าร้านของตนเองเพื่อขยายตลาดให้แก่สินค้าอื่น เป็นต้น
ส่วนแฟรนไชส์ที่มีรายได้ระดับพันล้านอย่าง The Waffle ก็หันมาสู่ทำเลในปั๊มน้ำมัน ที่ขณะนี้มีสาขาใน ปตท. และบางจากจำนวน 12 สาขา มียอดจำหน่ายได้ 80,000 ชิ้น/เดือน ตั้งเป้ายอดจำหน่ายไว้ที่ 100,000 ชิ้น/เดือน ภายในสิ้นปีนี้ และมองเห็นการเติบโตของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เดินทางและแวะเติมน้ำมัน พักผ่อน บวกกับสินค้าราคาซื้อง่าย เหมาะกับกลุ่มตลาดแมสอยู่แล้ว
เดอะวอฟเฟิลปรับแผนลุยเออีซี
การเตรียมตัวสำหรับตลาดใหม่อย่าง CLMV เพื่อเป็นโอกาสใหม่โดยเร่งศึกษาระเบียบระบบต่าง ๆ และเรื่องการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลังจากการถูกก๊อบปี้หรือชิงจดทะเบียนก่อน รวมทั้งทางสมาคมเองก็ได้มีการรวบรวมคัมภีร์สำหรับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ เพื่อเป็นความรู้แก่ผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ให้ทราบถึงกฎระเบียบ วิธีการบริหารจัดการระบบไว้แล้ว
นายสุทธิชัย พนิตนรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลาย จำกัด ซึ่งไปเปิดตลาดเออีซีมาปีกว่า แนะแฟรนไชส์หน้าใหม่ที่สนใจตลาดนี้ว่าให้เน้นการขายเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีความรู้ในการทำตลาดของตนดีกว่าเรา แต่เราต้องมีกฎที่แน่นหนา ทั้งในการเลือกทำเล คือต้องเป็นพื้นที่ที่มีคนผ่านไม่ต่ำกว่า 800 คน/วัน เป็นห้างสรรพสินค้า, ออฟฟิศที่เป็นย่านธุรกิจ, สถานที่ท่องเที่ยว รวมทั้งปรับให้ขยายสาขาแบบตูมเดียว
จากประสบการณ์ไปลุยมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ที่ผ่านมา และให้มาสเตอร์แฟรนไชส์ไปทำตลาดตามระยะสัญญา 5 ปี พบว่าในช่วงปีแรกมาสเตอร์แฟรนไชส์ในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์ติดปัญหาเรื่องกฎหมายแฟรนไชส์ที่ระบุให้ต้องทำธุรกิจครบ 1 ปีจึงจะสามารถขยายสาขาได้ ทำให้ 1 ปีแรกยอดขายนิ่ง ทำให้กลยุทธ์ที่จะใช้ขยายไปตลาดใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซียในเดือนกรกฎาคมนี้ ได้มีการปรับแผนโดยเจรจากับมาสเตอร์แฟรนไชส์ในประเทศอินโดนีเซียให้เพิ่มการเปิดสาขานับตั้งแต่ครั้งแรกอย่างน้อย4 สาขา
รวมทั้งมาสเตอร์แฟรนไชส์ต้องส่งทำเลที่ตั้งมาให้แบรนด์เป็นคนตรวจสอบว่าผ่านหรือไม่ก่อน โดยทำเลนั้นต้องมีจำนวนคนผ่านไปมาอย่างน้อย 800 คน/วัน ให้มาสเตอร์แฟรนไชส์ส่งคนไปนับเลยเพื่อความชัวร์ คาดสร้างยอดขายแป้งปีแรกอยู่ที่ 1,200-2,400 ชิ้น/เดือน จากเดิมเฉลี่ย 300-600 ชิ้น/เดือน/สาขา สำหรับประเทศอินโดนีเซียจะใช้รูปแบบนี้ในการขยายสาขาในต่างประเทศต่อไปไม่ว่าจะเป็นตลาดจีน อินเดีย
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และแนวทางในการช่วยเหลือกันระหว่างรายใหญ่กับรายเล็ก รวมทั้งการมองหาโอกาสใหม่ๆ ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้เป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
