|
|
12 มกราคม 2559 |
บอร์ดSMEs แต่งตั้งอนุกรรมการบริหาร สสว. พร้อมอัดฉีดงบฯ
นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2559
ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้การปฏิบัติงานของสสว. เป็นไปด้วยความคล่องตัว โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานอนุกรรมการบริหาร
ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนของสสว. จำนวน 1,977.645 ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 เพื่อบูรณาการงานส่งเสริมSMEs ของประเทศให้เติบโตได้ตามศัยภาพ โดยจัดสรรเงินกองทุนออกเป็น 6ส่วน ประกอบด้วย
1.การจัดสรรเงินกองทุน 437.17 ล้านบาท ให้กับ 3 กระทรวงดำเนินงาน 9 โครงการ ประกอบด้วย
- กระทรวงอุตสาหกรรม งบประมาณ100 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการยกระดับผลิตภัณฑ์ SMEs สู่ตลาดโลก โครงการแปลงเครื่องจักรเป็นทุน และโครงการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
- กระทรวงพาณิชย์ งบประมาณ 187.17 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการสร้างนักการค้ามืออาชีพ โครงการกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ : สร้างโอกาส SME ไทยเข้าถึงแหล่งเงินทุน และโครงการแฟรนไชส์ไทยสู่ตลาดโลก
- กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งบประมาณ 150 ล้านบาท ประกอบด้วย
- โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP)
- โครงการคูปองนวัตกรรมเพื่อพัฒนา SME สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระยะต่อเนื่อง
- โครงการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ และ
- โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
2.จัดสรรเงินกองทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งกองทุนพลิกฟื้น SME โดยให้ สสว. ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ SMEs และธุรกิจการเกษตรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ซึ่ง สสว. จะคัดเลือกจากลูกค้าธนาคารของรัฐ ซึ่งมีปัญหาในการจ่ายชำระหนี้ แต่มีความบริสุทธิ์ใจ และมีเจตนาที่จะทำกิจการต่อไป หรือ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งส่งงบการเงินให้กับกระทรวงพาณิชย์อย่างสม่ำเสมอ และมียอดขายลดลงค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปี โดยวินิจฉัยเชิงลึกเป็นรายกิจการเพื่อหาประเด็นที่จำเป็นต้องปรับปรุง ทั้งในด้านการผลิต และการจำหน่าย และหาก SMEs รายใด มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจต่อไป และยังมีศักยภาพเพียงพอ สสว. จะประสานงานกับเจ้าหนี้เดิมเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในกรณีที่ SMEs ที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จำเป็นต้องได้รับสภาพคล่องเพิ่ม สสว. จะพิจารณาให้กู้ยืมจากกองทุนพลิกฟื้นของ สสว. เป็นเงินกู้ระยะยาวและไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย
3.จัดสรรเงินถกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ (Start-up) โดยบูรณาการความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยราชมงคล 9 แห่ง ซึ่งมีศูนย์บ่มเพาะ 35 ศูนย์กระจายกันอยู่ทั่วประเทศในทุกสาขาอาชีพ เช่น เกษตรแปรรูป ออกแบบ งานด้านวิศวกรรม ฯลฯ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการใหม่ และนักธุรกิจที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์เอสเอ็มอี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รับเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการใหม่ ตั้งเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการใหม่ 3-4 หมื่นราย
4.จัดสรรเงินกองทุน 200 ล้านบาท ดำเนินโครงการส่งเสริม SME ที่ทำกิจการอยู่แล้วให้เติบโตได้ยิ่งขึ้น (SME Strong/Regular) โดย สสว. จะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และจะให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าวินิจฉัยในเชิงลึกเป็นรายกิจการและหาทางช่วยปรับปรุงการผลิต การให้บริการ และการจำหน่าย ธนาคาร SME จะให้การสนับสนุนทางด้านการเงินในกรณีที่ SMEs ต้องการปรับปรุงหรือขยายกิจการ โดยมีเป้าหมาย 10,000 ราย ภายในปี 2559
5.จัดสรรเงินกองทุน 40.475 ล้านบาท ดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร (SME One-stop Service Center : OSS) เพิ่มอีก 20แห่ง รวมเป็น 31 แห่ง เพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือนสาขาของสสว. คือ ให้คำปรึกษาแนะนำด้านธุรกิจแก่ SMEs เป็นตัวกลางประสานระหว่าง SMEsกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดูแล SMEs ที่ได้รับการส่งเสริมจากสสว.โดยตรงและจากหน่วยงานร่วมของ สสว. ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการติดต่อและให้ข้อมูลรวมทั้งสร้าง Net work ในเขตพื้นที่
และ 6.จัดสรรเงินกองทุน 100 ล้านบาท ดำเนินโครงการประชารัฐเพื่อวิสาหกิจชุมชน จัดตั้งร้านค้าประชารัฐ จำนวน 148 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตสินค้า OTOP และวิสาหกิจชุมชนให้มีที่ขายสินค้าถาวร รวมทั้งปรับมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ต้องการของตลาด ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนการสร้างร้านค้าประชารัฐ จำนวน 148แห่ง ซึ่งบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. โดยไม่คิดค่าเช่า กรมการพัฒนาชุมชน และ สสว. ร่วมกันคัดสรรสินค้าจาก OTOP และวิสาหกิจชุมชน
โดยปรับมาตรฐานและรับรองคุณภาพสินค้า รวมทั้งช่วยดูแลการบริหารจัดการของร้านค้าประชารัฐ เช่นการจัดหาบุคลากร และการขนส่งสินค้า ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ช่วยสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ชุมชนที่ส่งสินค้ามาขาย ตั้งเป้าหมายให้ชุมชนสามารถบริหารร้านค้าประชารัฐได้ด้วยตนเองภายในเวลา 3 ปี และสามารถยกระดับวิสาหกิจชุมชนขึ้นเป็นผู้ประกอบการ SMEs คาดว่า โครงการดังกล่าวจะเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2559 ซึ่งเป็นนโยบายที่นายกรัฐมนตรีมอบในที่ประชุม
นอกจากนี้ ผอ.สสว. เปิดเผยว่า ทางสสว. คาดการณ์จีดีพีเอสเอ็มอี ปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 3.7-4.8 และปี 2559 คาดว่า โตได้ประมาณร้อยละ 5 พร้อมทั้งตั้งเป้าสัดส่วนเอสเอ็มอีต่อจีดีพี ในอีก 5 ปีข้างหน้า ในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 45 % ต่อจีดีพี
อ้างอิงจาก newsplus.co.th
|
|
|