|
|
|
|
17 มกราคม 2559 |
แบรนด์นอกโดดลุยเอง บ.แม่ยึดไทย บุกตลาดCLMV
แบรนด์นอก "เครื่องสำอาง-แฟชั่น-ร้านอาหาร" ปรับแผนบุกเมืองไทย บริษัทแม่มาเองไม่ผ่านตัวแทนจำหน่าย-ดิสทริบิวเตอร์ หลังเห็นเทรนด์โอกาสตลาดใหม่ขยายตัวไม่หยุด พร้อมเล็งปั้นไทยเป็น "ฮับ" สปริงบอร์ดบุกตลาด "ซีแอลเอ็มวี"
แม้เศรษฐกิจและกำลังซื้อจะยังคงมีปัญหา แต่ดูเหมือนว่าเมืองไทยจะยังเนื้อหอมไม่หยุด ไม่เพียงแบรนด์แฟชั่น-เครื่องสำอาง-ร้านอาหารจากต่างประเทศที่ต่างเคลื่อน ทัพเข้ามาต่อเนื่อง แต่รูปแบบการเข้ามาลงทุนก็เปลี่ยนไปจากเดิมผ่านระบบตัวแทนจำหน่ายหรือดิสทริ บิวเตอร์ กลายเป็นโมเดลที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนด้วยตัวเอง จากโอกาสทางธุรกิจและตลาดที่เปิดกว้าง โดยเฉพาะเมืองไทยสามารถเป็นศูนย์กลางของการบุกตลาด "ซีแอลเอ็มวี"
โมเอ็ด เฮนเนสซี่ หลุยส์ วิตตอง ที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนเอง กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนธุรกิจเองจะทำให้มาตรฐานในการบริหารงานเป็นแบบ เดียวกันทั่วโลก และส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และสามารถทำตลาดได้เข้มข้น เนื่องจากการลงทุนจะเต็มที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างแบรนด์อะแวร์เนส รวมถึงการบริหารสต๊อกสินค้าแบรนด์ลักเซอรี่ เมื่อขายออกไปแล้วต้องสั่งเข้ามาเติมทันทีภายใน 1-2 อาทิตย์ ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้หากบริหารโดยดิสทริบิวเตอร์ อาจทำได้ไม่เต็มที่นัก
"ถ้าบริษัทแม่มาเอง การจัดกิจกรรมกับลูกค้าก็สามารถจัดในสเกลใหญ่ และเหมาะสมกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้แต่หากจัดโดยดิสทริบิวเตอร์จะต้องคำนึง ถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายเป็นหลัก หลาย ๆ เรื่องดิสทริบิวเตอร์อาจทำได้ไม่เท่าบริษัทแม่"
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า บริษัทแม่แบรนด์แฟชั่นหรู "อีฟส์ แซงต์ โลรองต์" ได้จัดทัพใหม่ลุยตลาดเองหลังหมดสัญญากับ "พีพี กรุ๊ป" ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทยมานานกว่า 5 ปี ช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยบริษัทแม่ในฝรั่งเศสตกลงใจเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับแบรนด์หรู "เบอร์เบอรี่"จากอังกฤษ หลังหมดสัญญากับกลุ่ม บี.กริมฯ ที่เป็นตัวแทนจำหน่ายได้ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมาเช่น กัน
ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับภาพการเติบโตของตลาดแฟชั่นลักเซอรี่ เมืองไทยได้เป็นอย่างดี แหล่งข่าวระดับสูงในวงการพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าขยายความกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเข้ามาลงทุนด้วยตัวเองของบริษัทแม่ สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของเมืองไทยและกำลังซื้อกลุ่มใหม่ ๆ ที่ขยายตัว แบรนด์เหล่านี้มองการเติบโตในอนาคต การมาก่อนย่อมได้เปรียบทั้งในแง่ของการจับจองพื้นที่และทำเลทองในศูนย์การ ค้าหลัก ด้วยทำเลเมืองไทยจะเป็นฮับของภูมิภาคที่ดึงดูดคนเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก
"ขณะนี้ยังมีอีกหลาย ๆ แบรนด์ที่ยังไม่เคยมาและต้องการที่จะเข้ามาเมืองไทย เพราะเห็นศักยภาพการเติบโตของหลาย ๆแบรนด์ที่เข้ามาเปิดก่อนแล้ว และที่ผ่านมาแบรนด์หลักๆ ทั่วโลกที่เข้ามาเมืองไทย อาทิ หลุยส์ วิตตอง, ชาแนล, ดิออร์, ปราด้า,ทอดส์, อิสเซ มิยาเกะ และบาลองเซียก้า เป็นต้น ล้วนเติบโตได้ดีและต่อเนื่อง" แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายโมริโอะ ซาเสะ ประธาน บริษัท ฮอตแลนด์ จำกัด เจ้าของแบรนด์ครัวซองต์ไทยากิจากญี่ปุ่น กล่าวว่า จากการตอบรับที่ดีของธุรกิจครัวซองต์ไทยากิที่เปิดในเมืองไทยร่วมกับ าร์ตเนอร์ บริษัท สเพลนดิด จำกัด ที่ได้รับสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ในเมืองไทย จึงได้จับมือร่วมทุนกันต่อเพื่อขยายธุรกิจไปยังประเทศในอาเซียนร่วมกัน รับโอกาสการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีโดยระยะแรกจะเริ่มจาก ประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
จากนั้นจะขยายตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็ม ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม ในระยะถัดไป ขณะที่การบริหารงานในไทยยังคงเป็นสิทธิ์ของบริษัทสเพลนดิด จำกัด ซึ่งได้เริ่มขยายซับแฟรนไชส์ไปตามหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด โดยตั้งเป้าจะเปิดให้ครบ 35 สาขาภายใน 6 ปีต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของดิสทริบิวเตอร์ นางสาวชัญญาพัชญ์ ณัฐจีราวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลเล่ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ได้รับสิทธิ์นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์มิลเล่ และเดอะ ฮิสทรี ออฟ ฮูว์ เครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี ฉายภาพว่า การมีพันธมิตรที่เป็นโลคอลจะช่วยในเรื่องการทำตลาดและการจัดจำหน่าย เพราะพาร์ตเนอร์ท้องถิ่นจะรู้จักตลาด และรู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร หรือมีรสนิยมแบบไหนได้ชัดเจนกว่า ดังนั้น ในระยะแรก ๆ ของการเข้ามาทำตลาดของแบรนด์ใหม่ ๆ จะขยายธุรกิจผ่านดิสทริบิวเตอร์ก่อน แต่เมื่อดำเนินธุรกิจไปได้สักระยะ และธุรกิจไปได้ดีก็มักต้องการเข้ามาทำตลาดเอง
"การเป็นดิสทริบิวเตอร์ไม่ง่าย เราต้องหาจุดบาลานซ์ระหว่างราคาที่ผู้บริโภคคาดหวัง และการทำตลาดเพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่อง เพราะดิสทริบิวเตอร์ต้องบริหารเรื่องของการตลาดและราคาให้มีความเหมาะสม"
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
