สมรภูมิไอศกรีม11,000 ล้านเดือด 
  

‘บีเนเชอรัล-เรดแมงโก้’เปิดศึกล่าลูกค้า

แม้ว่าในช่วงนี้จะเลยช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจไอศกรีม เพราะเข้าสู่เดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่หน้าฝน แต่จะเห็นได้ว่ามีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในตลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ ยุโรป หรือเอเชีย นั่นเป็นเพราะว่าอากาศ ของเมืองไทยยังคงร้อนอยู่ แม้ว่าจะมีฝนตกอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยเฉพาะ ในช่วงนี้ ทำให้ธุรกิจไอศกรีมยังมีแนวโน้ม การเติบโตที่ดี และมีผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการชูจุดขายที่มีวัตถุดิบหลักจากธรรมชาติ และการวางตำแหน่งทางการตลาดให้เป็น สินค้าระดับพรีเมี่ยม ทำให้ผู้เล่นหลักๆ ในตลาดต้องส่งสัญญาณ และออกโรงป้องกันส่วนแบ่งตลาด รวมถึงเพื่อรักษาฐานลูกค้าของตนเอง
 

“บี เนเชอรัล” เป็นไอศกรีมจากแดน ปลาดิบอีกแบรนด์ที่ชูจุดขายใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ และเป็นไอศกรีมระดับพรีเมี่ยม โดยแบรนด์ดังกล่าวเกิดจากการร่วมทุนระหว่างบริษัทไทยและญี่ปุ่น และเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับรสชาติ รวมถึงคุณภาพ เพราะใช้วัตถุดิบจากหลายประเทศ หลีกเลี่ยงการใช้สารปรุงแต่ง เพราะต้องการให้ลูกค้าสัมผัสรสชาติที่มาจากธรรมชาติแท้ๆ ประกอบกับการนำเสนอเมนูใหม่ๆ ความสบายของ สภาพแวดล้อมภายในร้าน และบริการที่น่าประทับใจ

เนื่องจากในปัจจุบันกระแส และพฤติกรรมการบริโภคไอศกรีมของคนรุ่นใหม่ จะบริโภคไอศกรีมรสชาติดี มีคุณภาพ และเลือกใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เป็นเพราะผู้บริโภคคำนึงถึงสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ตลาดไอศกรีมระดับพรีเมี่ยมมีแนวโน้มการแข่งขันสูง ทั้งแบรนด์จากต่างประเทศ และในประเทศ ปัจจุบันตลาด ไอศกรีมมีมูลค่ารวมประมาณ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดไอศกรีมระดับพรีเมี่ยม 25% สแตนดาร์ด 5% และแมส 70% โดยตลาดพรีเมี่ยมมีการเติบโตสูงสุด เฉลี่ย 10% ต่อปี

ทั้งนี้ ได้มีการเปิดตัวซอฟต์ครีมระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ B. NATURALE SOFT CREAM BAR TOKYO โดยจะเป็นซอฟต์ครีมที่ผลิตสดใหม่ที่ร้านอันต่ออัน เพื่อรักษาคุณภาพของซอฟต์ครีม และยึดถือตามปรัชญาของบริษัทที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีใดๆ โดยรสชาติที่นำเสนอสู่ตลาดในช่วงแรก ได้แก่ พรีเมี่ยม มิลค์, ซี ซอล์ท คาราเมล, ออร์แกนิก เมเปิล บานาน่า, สตรอว์เบอร์รี่ มิลเฟย, มัทชะ มิล เฟย และเบลเยียม ช็อกโกแลต นอกจากซอฟต์ครีมทั้ง 6 รสชาติ ยังมีเมนูพาเฟ่ ซึ่งรวบรวมของหวานไว้ในถ้วยเดียว และเมนูซอฟต์ครีมพิเศษประจำซีซั่นที่จะสลับสับเปลี่ยนปีละหนึ่งครั้ง

สำหรับการเปิดตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ บี เนเชอรัล ได้ใช้งบการตลาด กว่า 30 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์การตลาด แบบนิช มาร์เก็ต ซึ่งเป็นการตลาดแบบเจาะเฉพาะกลุ่ม เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย หลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นวัยทำงาน และนักศึกษา ที่มีรสนิยม และมีไลฟ์สไตล์ แบบอินเทรนด์ พิถีพิถันใส่ใจในสุขภาพ รวม ถึงชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ที่มีรายได้ระดับบีขึ้นไป

ในส่วนช่องทางจำหน่ายจะผ่านแฟลกชิปสโตร์แห่งแรกที่ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ด้วยการตกแต่งสไตล์ Modern Japanese เนื่องจากบริษัทแม่ในญี่ปุ่นเล็งเห็นว่าตลาดไอศกรีม และอาหาร ในประเทศไทยมีศักยภาพสูง จึงเลือกเปิด ตัวแบรนด์ดังกล่าวเป็นแห่งแรกในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนจะขยายซอฟต์ครีมบาร์แห่งที่ 2 ในกรุงเทพฯ

ขณะที่ “เรด แมงโก” ซึ่งเป็นไอศกรีมจากแดนกิมจิ จะใช้กลยุทธ์ตรึงราคาสินค้า เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเพิ่มความถี่ในการเข้ามาทานไอศกรีมภายในร้าน แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นก็ตาม เนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้บาง สาขามีจำนวนผู้บริโภคหมุนเวียนภายในร้านลดลง อย่างไรก็ตาม ทางเรด แมงโก้มีแผนจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปีนี้เตรียมขยายสาขาเพิ่มเป็น 35 แห่ง จากปีที่ผ่านมา มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั้งสิ้น 25 สาขา โดยจะเน้นการขยายใน กรุงเทพฯ เป็นหลักส่วนต่างจังหวัด จะเน้นตามหัวเมืองใหญ่ และแหล่งท่องเที่ยว โดยคาดว่าภาย ในสิ้นปีนี้ยอดขายจะเติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
 

ส่วน “สเวนเซ่นส์” ได้เตรียมงบการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท สำหรับจัดกิจกรรมการตลาด และโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย รวมถึงการ เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ เพื่อตอกย้ำแบรนด์ในกลุ่มลูกค้าครอบครัวอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ะละปีจะมีการออกไอศกรีมใหม่อย่าง น้อย 3-4 เมนูต่อ 2 เดือน เพื่อสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกใน การบริโภคไอศกรีมให้กับลูกค้าด้วย ทำให้ ปัจจุบันมีไอศกรีมให้เลือกกว่า 30 รสชาติ และเมนูไอศกรีมซันเดย์ กว่า 50 ชนิด
 

อย่างไรก็ตาม สเวนเซ่นส์ยังเดิน หน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทั้งใน และต่างประเทศ แบ่งเป็นในประเทศ 10 สาขาทั้งการขายแฟรนไชส์ และบริษัทลงทุนเอง โดยเป็นต่างจังหวัด 60% และกรุงเทพฯ 40% เนื่องจากสเวนเซ่นส์มองว่าตลาดต่างจังหวัดน่าสนใจ เพราะมีกำลังซื้อสูง และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สเวนเซ่นส์ต้องรีบสร้างแบรนด์ไปสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น จาก ปัจจุบันสเวนเซ่นส์ มีสาขาราวๆ 212 สาขา ทั่วประเทศ 
 
 อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ