‘ซั่งไห่’ ลุยบุฟเฟ่ต์อาหารจีน
“ซั่งไห่” อิงกระแสคนรุ่นใหม่ เปิดตัวบุฟเฟ่ต์ สร้างความแตกต่าง ชูจุดเด่นเป็นอาหารจีนบุฟเฟ่ต์รายเดียวในตลาด ขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มความถี่ลูกค้าเก่า เผยปีหน้าทำตลาดเชิงรุก หลังปีนี้ปรับภายในองค์กร เร่งขยายบุฟเฟ่ต์ คีออส จัดเลี้ยง เตรียมขายแฟรนไชส์
นายปฏิวัติ เรือนใจดี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ซั่งไห่ ฟู้ด จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารจีนเซี่ยง ไฮ้สไตล์โมเดิร์น ภายใต้แบรนด์ “ซั่งไห่เสี่ยวหลงเปา” เปิดเผยว่า หลังจากบริษัททำตลาดร้านซั่งไห่เสี่ยวหลงเปาตั้งแต่ปี 2546 ที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนสาขาเปิด ให้บริการอยู่ 7 สาขา แบ่งเป็นซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปา 6 สาขา และโกลด์ ซั่งไห่เสี่ยวหลงเปา 1 สาขา
ดังนั้น ในปีหน้าบริษัทจะทำตลาด ในเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากบริษัทค่อนข้างมีความพร้อมแล้ว เพราะได้มีการปรับปรุงระบบภายในองค์กร และในปีนี้ก็ได้เพิ่มการให้บริการใหม่ๆ อาทิ การจัดเลี้ยงนอกสถานที่ การปรับเปลี่ยนร้านบางส่วนบางสาขาเป็นบุฟเฟ่ต์ เนื่อง จากมองว่าเทรนด์บุฟเฟ่ต์กำลังมา และคนรุ่นใหม่นิยมทานบุฟเฟ่ต์ โดยบริษัทถือเป็นร้านอาหารรายแรก และรายเดียว ที่เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารจีน เพราะส่วนใหญ่บุฟเฟ่ต์ในตลาดจะเป็นอาหารญี่ปุ่น และตะวันตก เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพราะปัจจุบันลูกค้าของซั่งไห่จะเป็นกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ อายุ 27-35 ปี
“การให้บริการบุฟเฟ่ต์ นอกจากต้องการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แล้ว ยังต้องการให้ลูกค้าเก่าเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านให้บ่อยขึ้น ปัจจุบันลูกค้าจะมีความถี่ในการเข้าร้าน เฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อเดือน และเพื่อให้ลูกค้า ได้มีโอกาสทดลอง จึงได้ทำโปรโมชั่นร่วมกับพาร์ตเนอร์ อาทิ บัตรเครดิต เพื่อเป็นการดึงลูกค้าใหม่ที่ต้องการทางเลือก โดยในเบื้องต้นจะนำร่องก่อน 3 สาขา คือ เซ็นทรัล พระราม 3, เมเจอร์ รัชโยธิน และเดอะมอลล์ บางกะปิ แต่จะเปิดให้บริการเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์เท่านั้น โดยบุฟเฟ่ต์จะมีราคาเฉลี่ย 315 บาทต่อคน เฉพาะสาขาเมเจอร์ รัชโยธิน จะมีราคา 269 บาท เพราะกลุ่มลูกค้าจะเป็น กลุ่มวัยรุ่น โดยราคาดังกล่าวรวมค่าบริการ ทุกอย่างแล้ว”
นายปฏิวัติกล่าวต่อว่า สำหรับโปรโมชั่นจะทำร่วมกับบัตรเครดิตกสิกรไทย และไทยพาณิชย์ คือ โปรโมชั่นมา 4 จ่ายแค่ 2 เมื่อลูกค้าชำระด้วยบัตรดังกล่าว ส่วน สาขาเมเจอร์ รัชโยธินจะมีโปรโมชั่นพิเศษ คือ ตั๋วหนังเพิ่มค่า โดยตั๋วหนังทุกใบ มีมูลค่า 100 บาท สามารถนำมาเป็นส่วนลด ในบริการบุฟเฟ่ต์ และหลังจากเปิดให้บริการบุฟเฟ่ต์มากว่า 3 เดือน พบว่ายอด ขายเติบโตขึ้น 30% ทำให้ปัจจุบันยอดขายจะมาจากลูกค้าบุฟเฟ่ต์ 60% และลูกค้าทั่วไป 40%
นอกจากนี้ บริษัทได้ทดลองรูปแบบ การให้บริการในลักษณะคีออส กับทางศูนย์ราชการ โดยทดลองมาได้ 1 เดือนแล้ว เป็นลักษณะคอร์เนอร์ หรือเคาน์เตอร์ เน้นการกระจายไปตามแหล่งชุมชน และเน้นการซื้อกลับบ้านเป็นหลัก โดยใช้งบลงทุนราวๆ 1-1.5 ล้านบาท ขณะที่สาขาปกติจะอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท เพื่อให้คีออสเป็นตัวดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการร้านปกติ โดยจะใช้เมนูซั่งไห่ เสี่ยวหลงเปาเป็นตัวนำ และสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ดังนั้น ในปีหน้ามีแผนจะขยายสาขาประมาณ 5-7 สาขา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ศักยภาพของศูนย์การค้า และกลุ่มเป้าหมาย ทั้งไลน์บุฟเฟ่ต์ และคีออส
โดยในส่วนของบุฟเฟ่ต์ จะมีทั้งการปรับสาขาเดิม และสาขาใหม่ให้เป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งอาจจะให้บริการบุฟเฟ่ต์ทุกวัน หรือมีสาขาที่เป็นบุฟเฟ่ต์เพียงอย่างเดียว โดยค่าใช้จ่ายของลูกค้าทั่วไปที่ไม่ได้ทานบุฟเฟ่ต์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 220-250 บาท ขณะที่บุฟเฟ่ต์จะอยู่ที่ 315 บาท จะมีเฉพาะสาขาเมเจอร์ รัชโยธินเท่านั้น ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 269 บาท ส่วนสาขาที่เป็นโกลด์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 300-350 บาทต่อคน
“บริษัทไม่ได้ขยายสาขาใหม่มาประมาณปีกว่าๆ เนื่องจากต้องการปรับ ปรุงระบบภายในองค์กรให้มีความพร้อมก่อน เพื่อที่จะรุกตลาดอย่างจริงจังในปีหน้า เพราะปัจจุบันครัวกลางสามารถรองรับการขยายตัวได้ถึง 20-30 สาขา แต่ปัจจุบันทำเพียงกะเดียวเท่านั้น ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวได้อีกหลายปี โดยเราทำครัวกลางเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เพื่อให้ทุกสาขาได้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งในเรื่องของวัตถุดิบ และซอส ตลอดจนต้องการใช้ครัวกลางเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ปัจจุบันมีเมนูให้ลูกค้า เลือกกว่า 70-80 รายการ เพราะจะมีเมนู ใหม่เกือบทุกไตรมาส”
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจจัดเลี้ยงนอกสถานที่ บริษัทก็จะมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้กับลูกค้า และอีกบริการที่บริษัทได้ขยาย คือ ไชนีส คอฟฟี่เบรก ซึ่งทั้งธุรกิจจัดเลี้ยง และคอฟฟี่เบรกของบริษัท ค่อนข้างจะแตกต่างจากรายอื่นในตลาด เพราะให้บริการจัดเลี้ยงในลักษณะบุฟเฟ่ต์อาหารจีน เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการให้บริการในรูปแบบโต๊ะจีน ส่วนคอฟฟี่เบรกก็จะเป็นการเสิร์ฟเครื่องดื่มชากาแฟคู่กับติ่มซำ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเบเกอรี่
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนจะขยาย การลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อม โดยจังหวัดที่มองไว้ จะเป็นจังหวัดชลบุรี และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ภายในรัศมี 400 กิโลเมตร หรือประมาณ 2-3 ชั่วโมง
“โดยคาดว่าในปีนี้ยอดขายจะเติบโตราวๆ 5% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มียอดขาย 170 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 15-20% ซึ่งจะมาจากการขยายสาขาใหม่เป็นหลัก เพราะปีนี้ไม่ได้ขยายสาขา หากจะเน้นการปรับปรุงภาย ในองค์กรเป็นหลัก เพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับปีหน้า”
อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ