“พาณิชย์” ทำแผนเชิงรุกดัน SMEs ไทยแกร่ง
 
 

 
ก.พาณิชย์ เผยนโยบายเชิงรุกพัฒนาSMEsไทยสู่สากล เตรียมแผนพัฒนาเพียบทั้งแฟรนไชส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านอาหารไทย ก่อสร้าง สปา อู่ซ่อมรถยนต์ ค้าปลีก ค้าส่ง สิ่งพิมพ์ และโลจิสติกส์ 
       
        นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงแผนการพัฒนาธุรกิจ SMEs ไทยที่จะดำเนินการในปี 2553 ตามนโยบายของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ SMEs ว่า กรมฯ ได้จัดทำแผนในการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ไทยทั้งการพัฒนาแฟรนไชส์ ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ร้านอาหารไทย ก่อสร้าง สปา อู่ซ่อมรถยนต์ ค้าปลีก ค้าส่ง สิ่งพิมพ์ และโลจิสติกส์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ เชื่อว่าสามารถทำให้ธุรกิจ SMEs เหล่านี้แข่งขันได้ดีขึ้น
 

       
        ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจแฟรนไชส์ กรมฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาคนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วให้เข้าสู่ระบบแฟรนไชส์จำนวน 20 ราย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกธุรกิจที่จะร่วมโครงการ โดยล่าสุดมีผู้สนใจสมัครเข้ามาแล้วประมาณ 33 ราย เช่น ธุรกิจอาหาร การศึกษา และบริการความงาม เป็นต้น ขณะเดียวกัน จะพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ของไทยที่มีอยู่แล้วให้เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพไม่น้อยกว่า 50 ราย ตลอดจนได้เตรียมร่างกฎหมายแฟรนไชส์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระบบแฟรนไชส์ของประเทศ ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยสามารถเติบโตและขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ กรมฯ จะอบรมผู้สนใจที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วยการซื้อแฟรนไชส์ คาดว่าจะมีผู้สนใจประมาณ 300 รายในปีนี้

      
        สำหรับแผนส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมฯ มีแผนที่จะพัฒนาให้ผู้ประกอบการใช้การตลาดผ่านระบบไอทีเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มช่องทางการตลาดในการทำธุรกิจ โดยจะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเปิดร้านค้าในเว็บไซต์ www.DBDmart.com จำนวน 450 ราย พัฒนาให้เกิดผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่จำนวน 240 ราย และจัด e-Commerce Clinic เพื่อ SMEs จำนวน 100 ราย พร้อมกันนี้ จะจัดอบรม e-learning ให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ พัฒนาขีดความสามารถ กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าออนไลน์ และการประยุกต์ใช้ไอทีในการจัดการธุรกิจ รวมทั้งหมดจะมีผู้ได้รับความรู้ประมาณ 800 ราย
 

        
       ด้านการพัฒนาธุรกิจไทยสู่สากล กรมฯ มีแผนที่จะพัฒนาธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจก่อสร้าง สปา และอู่ซ่อมรถยนต์ โดยปีที่ผ่านมา กรมฯ ได้สร้างเกณฑ์มาตรฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ปีนี้จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจเหล่านี้เข้ามาฝึกอบรม เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจในการรับมือกับการแข่งขันที่มีมากขึ้นจากที่อาเซียนจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
       
        การพัฒนาธุรกิจสิ่งพิมพ์ กรมฯ ได้จัดทำโครงการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจสิ่งพิมพ์สู่ระดับสากล เพื่อต่อยอดและขยายกลุ่มคลัสเตอร์ธุรกิจสิ่งพิมพ์กับธุรกิจอื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและตลาดร่วมกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงาน กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มโลจิสติกส์ และกลุ่มป้ายโฆษณาซึ่งจะทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์สามารถเชื่อมโยงไปยังธุรกิจอื่นๆ และมีโอกาสในการทำธุรกิจมากขึ้น
      
        ส่วนธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง จะเป็นการพัฒนาต่อเนื่อง โดยในปีนี้ กรมฯ มีแผนที่จะพัฒนาระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง โดยพัฒนาร้านค้าส่งไม่น้อยกว่า 7 ราย ให้สามารถลดต้นทุนในการบริหารจัดการคลังสินค้าและการควบคุมปริมาณสินค้าคงคลัง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ร้านค้าส่ง ค้าปลีก และซัปพลายเออร์ ในกลุ่มจังหวัดอยุธยา สิงห์บุรี ชุมพร ลำปาง มหาสารคาม นครปฐม ชัยนาท และกาญจนบุรี ไม่น้อยกว่า 280 ราย
 

        
       ร้านค้าปลีกรายย่อย จะพัฒนาให้เข้าสู่มาตรฐานสากล มีระบบการบริหารจัดการที่ดี รวมทั้งจะช่วยฝึกพนักงานร้านค้าส่ง ค้าปลีก ให้มีความเข้าใจในการบริหารจัดการระบบหน้าร้าน หลังร้าน และทักษะในการปรับปรุงภาพลักษณ์ร้านค้า ในการสนับสนุนโลจิสติกส์ กรมฯ ได้ตั้งเป้าที่จะทำการส่งเสริมให้กลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย มีการเชื่อมโยงระบบไอทีเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อข้อมูล และเชื่อมโยงการทำธุรกิจระหว่างกันให้มากขึ้น เป็นการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
      
        สำหรับแผนแผนพัฒนาสมาคมการค้า จะผลักดันให้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจที่เป็นสมาชิกของสมาคม โดยส่วนแรกจะทำการฝึกอบรมผู้บริหารสมาคมให้มีความรู้ ความเข้าใจ ในการบริหารงานของสมาคม เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และจะได้นำไปพัฒนาสมาชิกที่อยู่ในสมาคม รวมทั้งจะผลักดันให้สมาคมต่างๆ

       มีการจัดทำยุทธศาสตร์ธุรกิจของสมาคมว่าต้องการผลักดันให้ธุรกิจของตนเองมุ่งไปทิศทางไหน ทั้งการประเมินปัญหา อุปสรรค โอกาส และความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ
 
 
 

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์