บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2532 เพื่อดำเนินธุรกิจในการให้บริการเกี่ยวกับการสื่อสารโทรคมนาคมทั่วประเทศ บนความถี่ขนาด 28 เมกกะเฮิร์ซ ในระบบอนาล็อก และความถี่ขนาด 100 เมกะเฮิร์ซในระบบดิจิตอล
แรกเริ่มบริษัทได้รับสัมปทาน การให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบ BTO เป็นระยะเวลา 15 ปี จาก การสื่อสารแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 โดยได้รับการขยายอายุสัมปทานถึง 2 ครั้ง ทำให้ปัจจุบันบริษัทสามารถดำเนินการตามสัมปทานได้จนถึงปี 2561
ไฮไลท์สำคัญของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เกิดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน 2534 บริษัทเริ่มเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ AMPS 800 แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในนามของ WorldPhone 800
กันยายน 2537 เริ่มเปิดใช้บริการดิจิตอลเซลลูล่าร์ในย่านความถี่ 1.7 - 1.9 Ghz. ในนามของ WorldPhone 1800
กุมภาพันธ์ 2544 เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ต้องบันทึกเป็นหน้าประวัติศาสตร์การตลาดเมืองไทย เมื่อบริษัทประกาศเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรใหม่ ภายใต้ชื่อ DTAC และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันได้เปิดให้บริการ Mobile Internet อย่างเป็นทางการในชื่อของ Djuice
ธันวาคม 2546 DTAC ประกาศร่วมมือกับ 6 บริษัท สร้างกลุ่มพันธมิตร The Asia Mobility Initiative (AMI) มุ่งเน้นให้ผู้ใช้บริการมีความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อการสื่อสารข้ามประเทศ
กระทั่งในเดือนมกราคม 2004 DTAC เริ่มต้นกลยุทธ์การแจกซิมการ์ดฟรีแก่ลูกค้าทั่วไป ลูกค้าองค์กร
พร้อมการรุกตลาด Non Voice และผลักดันแคมเปญเพื่อต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์
จุดเด่นของ DTAC คือการวางกลยุทธ์ Re-branding ที่สามารถทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์ใหม่ในชั่วเวลาเพียงแค่ข้ามคืน ผนวกกับการรุกตลาดในแบบ Underdog Marketing ที่คิดต่างในหลากหลายมุม ทำให้ปัจจุบัน DTAC มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน DTAC มีจำนวนผู้ใช้บริการประมาณ 12.2 ล้านเลขหมาย ครองส่วนแบ่งตลาดมือถือประมาณ 30% เป็นผู้ใช้ในระบบจดทะเบียน (Post-paid) กว่า 2 ล้านเลขหมาย และเป็นผู้ใช้บริการประเภทเติมเงิน (Pre-paid ภายใต้แบรนด์ Happy) กว่า 10.2 ล้านเลขหมาย มีสถานีเครือข่ายทั้งสิ้น 4,524 สถานี
แพ็กเกจที่มีให้บริการสำหรับลูกค้า Post-paid สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม ได้แก่ Maximize, Work More, Work, ZAD และ O (โอ)
ล่าสุด DTAC ยังคงยึดหลัก Care และ Convenience ออกอาวุธสำคัญทางการตลาดให้กับกลุ่ม Post-paid ด้วยการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าผ่าน Privilege on Mobile หรือ P.O.M. เพื่อเพิ่มความสะดวก ตัดความยุ่งยากให้กับลูกค้ารายเดือน
ขณะที่แพ็กเกจสำหรับลูกค้า Pre-paid จะเปลี่ยนไปตามรูปแบบของโปรโมชั่น และการแข่งขันในแต่ละเทศกาล โดยกลยุทธ์การทำตลาดจะถูกกำหนดขึ้นภายใต้แบรนด์ Happy