เมื่อราคาของน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ราคาข้าวของเครื่องใช้ก็ขึ้นราคาตามไปด้วย ส่งผลในยุคนี้หลายคนต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้น ซื้อของเท่าที่จำเท่านั้น หรือสิ่งไหนพอซ่อมได้ไม่ต้องซื้อใหม่ก็ใช้ไปก่อน ซึ่งธุรกิจอย่าง “Mr. Bag-Fix” ของนายพิเชษฐ์ เศรษฐี เจ้าของร้านแฟรนไชส์รับซ่อมกระเป๋า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทางบริษัทมีอะไหล่ก็รับซ่อมหมดทุกอย่าง จึงถือเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคนยุคนี้ 

 

นายพิเชษฐ์ เศรษฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิสเตอร์ แบ็คฟิกส์ จำกัด เล่าว่า การดำเนินธุรกิจนี้ ได้เริ่มจากความไม่มีความรู้ในเรื่องของการซ่อมแซมกระเป๋าเลย แต่ชีวิตของตนเองจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นคนชอบเดินทาง และมักจะเจอปัญหาในเรื่องของกระเป๋าอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับหาที่ซ่อมกระเป๋าที่มีคุณภาพดียาก ซึ่งก็มักจะนำกระเป๋ากลับมาซ่อมกับร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งที่คุ้นเคยและเชื่อมั่นในเรื่องของฝีมือมายาวนาน หลังจากนั้นจึงได้เริ่มมองเห็นลู่ทางของธุรกิจนี้ จึงได้เริ่มจากการไประสานงานให้กับงานนั้นในเรื่องการประชาสัมพันธ์ โดยการแจกใบปลิวในหมู่บ้านของซ.พัฒนาการ 29 ซึ่งผลตอบรับก็ดีเกินคาด ทำให้นายพิเชษฐ์คิดที่จะลงทุนในธุรกิจนี้เอง 

 

 

“หลังจากที่เราได้เริ่มมองเห็นแนวโน้มความเป็นไปได้ของธุรกิจนี้ จึงคิดลงทุนเอง โดยได้เริ่มเปิดร้านที่ห้างเซ็นทรัล พระราม 3 ซึ่งผลตอบรับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คนรู้จักมากขึ้น และ เราก็สามารถแตกไลน์นอกเหนือจากการรับซ่อมกระเป๋าด้วย จากคำแนะนำของลูกค้า ที่มักจะเอาข้าวของเครื่องใช้ที่เห็นว่าเราอาจซ่อมได้มาให้ซ่อม อย่างถุงใส่ไม้กอล์ฟ, รถเข็นเด็ก, ตู้อบไอน้ำ ก็มีมาให้ซ่อม ซึ่งตรงจุดนี้เราไม่ได้คิดไว้ในช่วงแรกว่าเราสามารถซ่อมได้” 

 

ระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผ่านทางบริษัทฯ ได้ขยายสาขาไปแล้วถึง 13 สาขา โดยเป็นเจ้าของเองทั้งหมด โดยขณะนี้นายพิเชษฐ์ คิดว่า การดำเนินธุรกิจของตนเองเริ่มอยู่ตัวแล้ว จึงคิดที่จะธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ โดยได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองก่อนที่จะขายแฟรนไชส์ ด้วยการไปอบรมในโครงการพัฒนาผู้ประกอบการแฟรนไชส์ เพื่อการบริหารจัดการได้อย่างมีระบบ และมีแบบแผน โดยขณะนี้ก็มีผู้สนใจจะซื้อแฟรนไชส์หลายราย แต่ทางบริษัทฯ ยังขอเวลาอีกระยะ เนื่องจากต้องการปรับมาตรฐานให้ระบบแฟรนไชส์มีความเข้มแข็งก่อน
 

 
 
 

“การขยายแฟรนไชส์ ตอนนี้เรายังไม่รีบ คือเราต้องการเตรียมความพร้อมทั้งฝ่ายเรา และผู้ที่จะซื้อแฟรนไชส์ให้เข้มแข็งก่อน ซึ่งการขายแฟรนไชส์เราตั้งใจจะเปิดสาขาในต่างจังหวัดโดยเน้นตามจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนในกทม.เรามีสาขาที่เป็นของเราเองครบทั้ง 4 มุมเมืองแล้ว แต่ในต่างจังหวัดยังไม่มี ซึ่งเราต้องการสร้างแบรนด์ของ Mr. Bag-Fix ให้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ โดยเรามองไว้ที่ จ.นครสวรรค์ และพิษณุโลก ส่วนในปีหน้าก็จะขยายไปตามจังหวัดในภูมิภาคอื่นบ้าง ซึ่ง เงินลงทุนเริ่มต้นอยู่ที่ 400,000 บาท สัญญา 4 ปี และเก็บค่ารายเดือน 10,000 บาท/เดือน ทำเลจะเน้นตามย่านชุมชน และห้างสรรพสินค้าก่อน ”

 

นอกจากทาง “Mr. Bag-Fix” จะรับซ่อมกระเป๋าทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์นอกแล้ว ยังรับตัดกระเป๋าชนิดต่างๆ ตามความต้องการของลูกค้าอีกด้วย ซึ่งการแตกไลน์ธุรกิจนี้ถือว่าเป็นการเพิ่มยอดให้กับทางร้านได้อีกทางหนึ่ง โดยการสั่งตัดส่วนใหญ่จะเป็นการออกแบบของลูกค้าเองทั้งหมด เช่น การทำกระเป๋าใส่ดาบสำหรับนักกีฬาฟันดาบ ที่นอกจากจะทำเป็นกระเป๋าเพื่อการห่อหุ้มแล้ว ทางลูกค้ายังออกแบบให้มีล้อลากเพิ่มอีกด้วยเพื่อสะดวกในการเดินทาง หรือบางครั้งลูกค้าก็นำกระเป๋าที่ตนเองมีอยู่เดิม มาดัดแปลงหรือต่อเติมเพื่อความสะดวกให้กับตนเอง เช่น การเพิ่มล้อลากกระเป๋า, การเพิ่มช่องในกระเป๋าเพื่อสะดวกในการค้นหาสิ่งของในกระเป๋า 

 

 

ส่วนเรื่องอะไหล่เพื่อใช้ซ่อมแซมของแบรนด์ต่างๆ นั้น นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะที่ผ่านมาบริษัทที่ผลิตกระเป๋าแบรนด์ดังๆ ยินดีที่จะขายอะไหล่ให้ เพื่อตัดปัญหาการซ่อมแซมที่เป็นเรื่องจุกจิกของลูกค้า และบางครั้งก็ช่วยลดการส่งกระเป๋าซ่อมกลับไปโรงงานผลิตในต่างประเทศ
  

“ธุรกิจเราถือว่าเป็นการช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ให้กับลูกค้าของบริษัทผู้ผลิตกระเป๋าแบรนด์ใหญ่ๆ เพราะ เราจะใช้เวลาซ่อมเฉลี่ยไม่เกิน 7 วัน ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าก็พอใจในคุณภาพและฝีมือการซ่อม และเรายังเพิ่มความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพให้กับลูกค้าอีกด้วย คือการรับประกันคุณภาพ หากลูกค้านำกระเป๋าไปใช้แล้ว เกิดมีปัญหาบริเวณที่ทางเราซ่อมไปให้ เรายินดีซ่อมให้ฟรี ภายในระยะเวลาประกัน 2 เดือน”
 

 

สำหรับในเรื่องของคู่แข่งหลังจากที่นายพิเชษฐ์ ได้ดำเนินธุรกิจมาถึง 5 ปี ในเรื่องของคู่แข่งนั้นยังน้อยมาก ทั้งในและต่างประเทศ แต่ก็สอดรับกับความต้องการของตลาด เพราะกว่าคนที่ใช้กระเป๋าแล้วเกิดความเสียหายจะใช้เวลาหลายปี ยกเว้นผู้ที่เดินทางบ่อยเท่านั้น ซึ่งการเติบโตของธุรกิจนี้ถือว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีก แต่ก็ไม่มากนัก เนื่องจากตลาดเริ่มอิ่มตัวแล้ว

 

ส่วนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ นายพิเชษฐ์ได้มองประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง หวังให้เป็นประเทศนำร่อง คาดจะสามารถเปิดได้ในปีหน้า แต่ในปีนี้จะเน้นในเรื่องของแฟรนไชส์ในต่างจังหวัดก่อนเพื่อศึกษาปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมรับสถานการณ์การขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ 

 

 

สนใจติดต่อ 0-2717-1849-50

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์