ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ‘ซุปเปอร์หมู' แฟรนไชส์ยกระดับเมนูริมทาง
แฟรนไชส์ “ซุปเปอร์หมู” นำอาหารริมทางง่ายๆ อย่าง “ข้าวเหนียว-หมูปิ้ง” มายกระดับสร้างรูปแบบใหม่ ด้วยจุดเด่น 3 รสชาติ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวสูตรใบเตย บุกตลาดแฟรนไชส์ลงทุนต่ำ ในทำเลย่านชุมชน มุ่งเจาะตลาดผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว
จุดกำเนิดของแฟรนไชส์ข้าวเหนียว – หมูปิ้ง “ซุปเปอร์หมู” มาจากแนวคิดของ “สวลี ตั้งธนวัฒน์” สาวเมืองขอนแก่น ที่หลังจากจบปริญญาโท บริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำอาหารใกล้ตัว มาเพิ่มค่าในรูปแบบแฟรนไชส์
เธอ เล่าว่า ส่วนตัวเป็นคนชอบกินหมูปิ้ง และเห็นว่า เป็นอาหารกินง่าย ได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่จำกัดกลุ่มอายุ สถานที่ รวมถึงทำได้ง่าย มีศักยภาพทำในรูปแบบแฟรนไชส์ได้ ดังนั้น จึงตระเวนศึกษา และทดลองหมูปิ้งจากเจ้าต่างๆ แล้วคิดค้นสูตรเฉพาะด้วยตัวเอง จุดเด่นอยู่ที่เนื้อหมูนุ่ม ไม่มีมันเยิ้ม มี 3 รสชาติ ได้แก่ “หมูยากิ” เน้นรสออกหวาน “หมูกะเพรา” เน้นรสเผ็ด และ “หมูกระเทียมพริกไทย” เน้นรสออกเค็มพร้อมกับกลิ่นหอม ประกอบกับ “ข้าวเหนียวใบเตย” ซึ่งมีกลิ่นหอมของใบเตย กินคู่กับหมูปิ้งได้ลงตัว
สวลี อธิบายว่า ลงทุนเบื้องต้นด้วยเลขหกหลัก ส่วนใหญ่ใช้ไปกับการทำโรงงาน และซื้อเครื่องจักร เริ่มธุรกิจดังกล่าวเมื่อปี 2546 โดยวางการตลาด เป็นหมูปิ้งรูปแบบใหม่ สะอาด ในราคาถูก ไม้ละ 5 บาท ข้าวเหนียว ห่อละ 5 บาท วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ผู้บริโภคที่ต้องการอาหารที่สะดวก รวดเร็ว อาทิ นักเรียน นักศึกษา พนักงานบริษัท
ด้านแฟรนไชส์ มีทางเลือกลงทุน 3 แบบ ตามความเหมาะสม ได้แก่ 1. แบบเคาน์เตอร์ ลงทุน 15,000 บาท 2. แบบรถเข็น ลงทุน 18,000 บาท และ 3. แบบรถพ่วง นำไปประกอบกับรถจักรยานยนต์ ลงทุน 21,000 บาท ทุกแบบจะได้อุปกรณ์การขายครบชุด
“ดิฉันตั้งว่า ให้เป็นแฟรนไชส์ลงทุนต่ำ โดยเราไม่ได้อะไรเลยจากค่ารถขายและอุปกรณ์ แต่เราหวังผลระยะยาวจากค่าส่งวัตถุดิบหมูสำเร็จรูป ในราคาไม้ละ 3.50 บาท ผู้ซื้อแฟรนไชส์นำไปขายปลีกไม้ละ 5 บาท ส่วนข้าวเหนียว จะสอนสูตรให้ไปทำเอง ซึ่งผู้ขายจะทำกำไรจากส่วนนี้ได้มาก”
นอกจากนี้ ยังเพิ่มเอกลักษณ์ด้วยไม้ปิ้งรูปแบบใหม่ๆ คำนึงถึงผู้กินจับได้สะดวก ส่วนการส่งวัตถุดิบหมูนั้น ใช้ส่งทางรถทัวร์ กำหนดอย่างต่ำสั่งครั้งละ 1,000 ไม้ สามารถเก็บไว้ได้กว่า 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องแช่แข็ง
ส่วนการควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์ จะบังคับว่า ทุกสาขาต้องรับวัตถุดิบหมูจากส่วนกลางเท่านั้น เพื่อให้รสชาติเหมือนกันทุกแห่ง และจะให้ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเวลานี้ มีอยู่ 2 ราย คอยเข้าไปตรวจสอบ อีกทั้งจะมีคู่มือปฏิบัติเกี่ยวกับคุณภาพการบริการ และอบรมพนักงานให้แก่ผู้ลงทุน รวมถึงมีการส่งเสริมการตลาดเป็นระยะ
หลังจากเริ่มสาขาแรกในตัวเมืองขอนแก่น ถึงกลางเดือนมกราคม 2549 นี้ ขยายไปจำนวน 56 สาขา ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดในภาคอีสาน และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีอัตราล้มเหลวประมาณ 20% ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากผู้ลงทุน มีปัญหาพนักงานขายไม่รับผิดชอบ กับปัญหาทำเลขายไม่เหมาะสม
สวลี ระบุว่า ปัญหาของธุรกิจเวลานี้ คือ ต้นทุนค่าขนส่งสูง จึงไม่สามารถขยายสาขาไปยังจังหวัดไกลๆ ได้ ซึ่งกำลังจะแก้ไขด้วยการหาพันธมิตรตามภาคต่างๆ ร่วมเป็นมาสเตอร์แฟรนไชส์ เพื่อกระจายสินค้าได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น
ปัญหาอีกประการ เนื่องจากเป็นแฟรนไชส์เงินลงทุนต่ำ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะคัดสรรผู้เหมาะสมจริงๆ มาร่วมทำธุรกิจ ทว่า พยายามพิจารณาจากความตั้งใจจริง มนุษย์สัมพันธ์ และทำเลที่ตั้ง โดยกำหนดว่า ต้องห่างจากร้านเดิมไม่ต่ำกว่า 500 เมตร
ส่วนเรื่องราคาหมูสดขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนจริงต่อไม้สูงอยู่แล้วถึงประมาณ 50% ของราคาส่ง แต่ยืนยันว่า จะยังไม่ขึ้นราคาขาย เพราะยึดหลักกำไรต่อหน่วยน้อย แต่ขายได้ในปริมาณมาก และเชื่อโดยส่วนตัวว่า อาหารประเภทนี้ จะกำไรได้ในระยะยาวอย่างยั่นยืน เพราะเป็นอาหารที่ไม่ต้องอิงกระแส
“ตลาดข้าวเหนียว-หมูปิ้ง ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะกินได้ทุกเพศทุกวัน ทุกเวลา ทุกโอกาส และราคาไม่แพง ส่วนคู่แข่งของเราเวลานี้ ก็จะเป็นรถเข็นขายหมูปิ้งทั่วไป ซึ่งกลุ่มลูกค้าก็เป็นคนละกลุ่มกันด้วย”
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์