'Dog2Home Beauty' บุกแฟรนไชส์ รับกระแสธุรกิจสุนัขรุ่ง
ธุรกิจสุนัขคึกคักแต่ต้นปี สถาบันสอนตัดแต่งขนสุนัขด็อกทูโฮม ขยายสู่แฟรนไชส์เปิดตัว ‘Dog2Home Beauty' เกาะเทรนด์เสริมความงามเป็นจุดขายใหม่ อาศัยประสบการณ์ในวงการกว่ากว่า 10 ปี ผลิตบุคลากรป้อนธุรกิจ ตั้งราคาลงทุน 180,000 บาทคืนทุนเดือนครึ่ง
ระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเกี่ยวกับสุนัขมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งเพาะพันธุ์สุนัข อาหารสุนัขที่มีการนำเข้าแบรนด์ใหม่ๆ จากต่างประเทศ และงานบริการอาบน้ำตัดแต่งขนสุนัขหรือกรูมมิ่ง
จะเห็นภาพการเข้ามาลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่และ รายเก่าที่เสริมสินค้าและบริการต่างๆ ให้ครบวงจร ตอบสนองความต้องการของผู้เลี้ยงสุนัขมากยิ่งขึ้น
อนุพันธ์ บุญชื่น เจ้าของสถาบันสอนตัดแต่งขนสุนัขด็อกทูโฮม (Dog2Home) เผยว่า ภาพการเข้ามาลงทุนธุรกิจสุนัขจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดใหญ่มากมีการประมาณกันคร่าวๆ ต่อปีประมาณ 5,000 ล้านบาท
ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีพัฒนาการที่ต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่อาหารเม็ด บริการอาบน้ำตัดแต่งขน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ โรงแรม สปา เป็นต้น โดยเฉพาะในปี 2549 บริการด้านเสริมความงามของสุนัขจะเป็นธุรกิจที่มาแรงมาก
ประกอบกับพฤติกรรมของผู้เลี้ยงสุนัข จะเปลี่ยนไปจากการเข้าใช้บริการร้านที่ครบวงจร เปลี่ยนมาเป็นร้านที่ให้บริการเฉพาะด้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบริการที่สุนัขจะได้รับมากกว่า
รุกเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์
จากภาพดังกล่าวของธุรกิจ จึงเล็งเห็นโอกาสการขยายธุรกิจของสถาบันสู่รูปแบบแฟรนไชส์ เสนอบริการเสริมความงามหรือบิวตี้เป็นตัวนำ เน้นบริการนวดสปา กดจุด ทำสีขนสุนัข เพ้นเล็บสุนัข กำจัดเห็บหมัดและอาบน้ำ ตัดแต่งขน
ด้วยอาศัยจุดแข็ง คือมีสถาบันสอนตัดแต่งขนสุนัขและสปา จึงสามารถผลิตบุคลาการหรือช่างฝีมือได้ เป็นจากประสบการณ์ของตนในอาชีพมานานกว่า 10 ปี ที่จะถ่ายทอดทักษะการตัดแต่งขนสุนัขและบริการต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพ
“ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันช่างฝีมือขาดแคลนมากในตลาด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงานบริการ บางรายไม่สามารถทำกิจการต่อไปได้เมื่อช่างลาออกหรือถูกซื้อตัว การที่มีสถาบันของตนเอง สามารถป้อนช่างสู่ธุรกิจแฟรนไชส์ได้”
ระบุแบรนด์ดังการันตีน่าเชื่อถือ
อนุพันธ์ กล่าวต่อไปอีกถึงความแตกต่างของการซื้อแฟรนไชส์กับการลงทุนเองนั้น มีข้อแตกต่างเรื่องคุณภาพการให้บริการ ที่จะเน้นเรื่องความสะอาด รวดเร็วเป็นสำคัญ เพราะงานบริการต้องสร้างความประทับให้เกิดแก่เจ้าของสุนัข รวมถึงเทคนิคบริการเสริมความงาม และการตัดแต่งขนในแบบฉบับที่มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา
และที่สำคัญ จากนี้ไปเมื่อการแข่งขันสูงขึ้น สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือมาตรฐานการบริการ โดยแบรนด์จะเป็นเครื่องการันตีคุณภาพได้เป็นอย่างดี
"ต่อไปงานบริการอยู่ได้ เจ้าของสุนัขจะดูแบรนด์ แบรนด์เป็นเรื่องสำคัญ ในไทยยังไม่ชัดเจน ต่างคนต่างเปิดในชื่อตัวเอง ก็ไม่แข็งแรง แต่เมื่อมีแบรนด์จะเน้นที่ความสะอาด เอาใจใส่ บางร้านมีกลิ่น เพราะมีสุนัขหลายพันธุ์เข้าไปใช้บริการ และการซื้อแบรนด์ย่อมสร้างความเชื่อถือ และเข้มแข็งให้กับธุรกิจได้ เพราะงานบริการไม่เหมือนขายของ ที่ต้องอาศัยความเชื่อมั่น"
กับงบประมาณการลงทุนแฟรนไชส์ดอกทูโฮมบิวตี้ นั้น อนุพันธ์ กล่าวว่า ค่าแฟรนไชส์ฟี 180,000 บาท รวมค่าอบรมเทคนิคการเรียนให้กับผู้ประกอบการและพนักงานจำนวน 3 ราย แบบแปลนร้าน เป็นการจ่ายเงินก้อนเดียวสัญญาแฟรนไชส์ 3 ปี ซึ่งจะไม่มีมาร์เก็ตติ้งฟี โรยัลตี้ฟี
ขณะเดียวกันยังอำนวยความสะดวกแก่แฟรนไชซี โดยมีเมนูกำหนดราคาค่าบริการแต่ละประเภท เฉลี่ยค่าบริการ ราคาถั่วเฉลี่ย 350-550 บาท ทำให้สามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายได้ง่ายกรณีที่เจ้าของกิจการไม่ได้คุ้มร้านทุกวัน และการเสนอบริการเสริมความงามสามารถสร้างรายได้จากสุนัขทุกพันธุ์ ซึ่งแตกต่างจากร้านตัดแต่งขนสุนัขเพียงอย่างเดียวที่การ เข้าใช้บริการเฉพาะสุนัขพันธุ์ขนยาวเท่านั้น
ฟุ้งรายได้เดือนละแสน
อนุพันธ์ ยกตัวอย่างการสร้างรายได้ว่า รายได้ต่อขนาดพื้นที่ 1 คูหา 150,000 บาทต่อเดือน หักต้นทุน ค่าน้ำ ไฟฟ้า เงินเดือนพนักงาน รวมประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน ฉะนั้นกำไรต่อเดือนคาดไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท เขาให้เหตุผลของการสร้างกำไรที่ดีของธุรกิจนี้ว่า เป็นธุรกิจที่ไม่มีต้นทุนนอกจากค่าแรงเท่านั้น เช่น บริการตัดแต่งขนสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล 1 ตัวราคา 350 บาท ต้นทุนค่าแรง 50 บาท ที่เหลือเป็นกำไร จากการประเมินกำไรธุรกิจเฉลี่ยสูงถึง 300%
นอกจากนี้ ยังเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้า สั่งซื้อจัดส่งสินค้า สามารถลดต้นทุนบริหารในส่วนนี้ลงไปได้มาก
"เบื้องต้น จะเน้นทำเลใน กทม.และปริมณฑลก่อน เพราะทุกจังหวัด อำเภอ ต่างมีกรูมมิ่งกันหมดแล้ว ร้านตัดขนสุนัขมีทุกตรอกซอกซอย ฉะนั้นเราเน้นบิวตี้ ที่จะเป็นเทรนด์ต่อมา โดยใช้กรูมมิ่งเป็นตัวนำ เราจะเป็นมืออาชีพสำหรับเรื่องบิวตี้ ทำอย่างเดียวดูแลเขาอย่างดี"
อนุพันธ์ ตั้งเป้าการขยายสาขาในช่วง 6 เดือนจากนี้ว่า น่าจะขยายสาขาได้ถึง 20 สาขา เพราะการจัดระบบการบริหารจัดการร้านที่ไม่ซับซ้อน ความต้องการของตลาดและตลาดที่กว้างทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวอย่างรวดเร็ว
และสำหรับการสร้างรายได้ในอนาคตนั้น อนุพันธ์ กล่าวว่า รายได้หลักจะยังคงด้านบิวตี้เป็นหลัก แต่จะขยายสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น รับฝากสุนัข โรงแรมสุนัข
ส่วนภาพรวมของสถาบันในอนาคตนั้น นอกจากการขยายธุรกิจสู่แฟรนไชส์แล้ว ยังอยู่ระหว่างการเข้าสู่ธุรกิจสุนัขที่ครบวงจร เช่น ผลิตโปรดักส์แชมพู ของใช้สุนัขภายใต้แบรนด์ของสถาบันต่อไป
อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์