สะปิคคิโอ (Spicchio) พิซซ่าน้องใหม่สไตส์อิตาเลี่ยน เพิ่งเปิดตัวขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เมื่อไม่นานมานี้ ชูคอนเซ็ปต์ "New ltalian life style" 

 

ฌานิน เลาทองดี Vice CEO บริษัท เจียนนี่ เอ็นเตอร์ไพร์ซ จำกัด เล่าถึงจุดเริ่มต้นก่อนว่า เดิมพี่เขยเปิดร้านอาหารอิตาเลี่ยน Gianni Ristorante ที่ซอยต้นสน ตนเล็งเห็นช่องว่างว่ายังมีผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับหนึ่ง แต่ไม่กล้าเข้ามาใช้บริการภายในร้านเพราะมองว่าราคาสูง 

 

จึงได้หันมาพัฒนาอาหารอิตาเลี่ยนในรูปแบบคีออส เพื่อรองรับตลาดกลุ่มนี้ซึ่งเป็นกลุ่มระดับบีบวกและดำเนินการมาประมาณ 2 ปีกว่าแล้ว ปัจจุบันมี 16 สาขาซึ่งเป็นการลงทุนของบริษัท 

 

โดยวางเป้าว่าถึงสิ้นปีนี้น่าจะขยายสาขาได้ทั้งหมด 35 สาขาทั้งในรูปแบบแฟรนไชส์และของบริษัท ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้หันมาขายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เนื่องจากตนเชื่อว่าคนที่มาซื้อ แฟรนไชส์หรือแฟรนไชซีจะมีความตั้งใจในการเข้ามาทำงาน และดูแลร้านได้ดีกว่าผู้จัดการสาขา
 

 

ในปีนี้จะเน้นการขยายสาขาในกรุงเทพฯ และพัทยาเป็นหลักก่อน ส่วนสาขาต่างจังหวัดอาจจะเป็นการขยายสาขาในรูปแบบมาสเตอร์แฟรนไชส์แทน ซึ่งขณะนี้มีผู้ที่สนใจเปิดคีออสสะปิคคิโอถึง 30-40 ราย อยู่ระหว่างการสรุปโลเคชั่น 

 

นอกจากการเปิดสาขาในรูปแบบคีออสแล้วบริษัทมีโครงการที่จะขยายรูปแบบ ของสะปิคคิโอในรูปแบบของร้านอาหารด้วยซึ่งขณะนี้มีร้านต้นแบบอยู่ที่นานาสแควร์ โดยจะใช้พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร เล็งทำเลต่างจังหวัดในเมืองใหญ่ เช่น ภูเก็ต เชียงราย อุดรธานีและขอนแก่น 

 

พร้อมทั้งเตรียมที่จะเปิดบริการเดลิเวอรี่ในเดือนกรกฎาคม โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมความพร้อมไปได้ 60-70% เพราะการทำเดลิเวอรี่เป็นเรื่องใหญ่ถ้าลูกค้าไม่สามารถ ได้สินค้าตามสั่งได้เขาจะกลับไม่สั่งสินค้าของบริษัทอีก นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการแคเธอริ่งหรือบริการเลี้ยงนอกสถานที่ด้วย 
  

 
 

ฌานิน กล่าวต่อว่า ยังมีกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่ให้ความสนใจด้วย โดยเป็นประเทศในแถบเอเชียทั้งหมดอย่าง สิงคโปร์ เขมร ลาว เวียดนาม และจีน ฯลฯ ซึ่งตนคาดว่าหากมีการขยายไปทั่วเอเชียน่าจะมีสาขาทั้งหมด 200 สาขาเป็นสาขาในไทยไม่เกิน 50 สาขา 

 

"ตอนนี้เราค่อนข้างพร้อมที่จะขยายสาขาไปต่างประเทศเพราะเรากำลังจะย้ายฐาน กำลังการผลิตไปอยู่แจ้งวัฒนะซึ่งจะมีพื้นที่พันกว่าตารางเมตร จะทำให้เราเพิ่มกำลังการผลิตได้ครบคลุมเอเชีย จากตอนนี้ที่เราสามารถผลิตวัตถุดิบรองรับได้แค่ 35 สาขาแต่ถ้าเราย้ายไปอยู่โรงงานเราคงผลิตรองรับได้ 200 สาขา" 

 

นอกจากนี้ ในอนาคตมีโครงการผลิตสินค้าอาหารอิตาเลียนรองรับตลาดแมส ผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อหรือดิสเคาร์สโตร์ ซึ่งขณะนี้เทสโก้ โลตัสได้ติดต่อให้บริษัทผลิตสินค้าให้แล้ว 

 

ฌานิน ยังกล่าวถึงความโดดเด่นสะปิคคิโอ ที่ให้บริการภายในร้านทั้ง 2 รูปแบบว่า มีความหลากหลายเมนูให้เลือก โดยบริษัทได้มีการปรับเรื่องของรสชาติให้ถูกปากคนไทย แต่ยังคงความเป็นรสแบบอิตาเลียนถึง 99% นอกจากความอร่อยในสไตส์ของอาหารอิตาเลี่ยน ซึ่งบริษัทจะมีการควบคุมคุณภาพของแฟรนไชส์มีหน่วยตรวจสอบ คุณภาพทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้ แต่วัตถุดิบส่วนใหญ่จะถูกผลิตมาจากครัวกลางจึงไม่น่ามีปัญหาเรื่องของรสชาติ 

 

 

สำหรับตลาดอาหารอิตาเลียนนั้นตนมองว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม เพราะคนไทยส่วนใหญ่มองว่าแพง แต่คาดว่าในอนาคตแนวโน้มอาหารอิตาเลียนน่าจะมีการเติบโตได้เกือบ 100% เห็นได้จากร้านสาขาของบริษัทช่วงหลังผู้บริโภค หันมานิยมทานอาหารอิตาเลียนมากขึ้น 

 

ส่วนเรื่องของราคาก็มีการปรับราคาให้สมเหตุสมผลด้วยการให้สาขาคีออสเน้น การทำตลาดแบบซื้อกลับบ้านมากกว่าการเป็นร้านอาหาร เพราะการทำตลาดแบบร้านอาหารจะต้องเสียค่าใช้จ่าย เรื่องของการบริการทำให้ราคาสูง ประกอบกับทำคอนเซ็ปท์การขายพิซซ่าอิตาเลียนแบบเป็นชิ้นซึ่งทำให้ผู้บริโภค สามารถเลือกรสชาติพิซซ่าได้หลายรูปแบบแทนที่จะต้องซื้อพิซซ่าได้เพียงหน้าเดียว หรือสองหน้า 

 

ทางด้านการแข่งขันนั้นบริษัทมองว่ามีลูกค้า กลุ่มเป้าหมายคนละกลุ่มกันอยู่แล้วแต่ระดับราคา น่าจะไม่แตกต่างกันซึ่งคนที่อยากทานพิซซ่าสไตล์อิตาเลียนแบบบางกรอบ จะต้องมาที่สะปิคคิโอเท่านั้น ซึ่งการสร้างความรับรู้ในเรื่องของรสชาตินี้คงต้องให้ผู้บริโภค ได้เกิดจากทดลองชิมเพื่อให้เห็นถึงความแตกต่าง

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์

ขอขอบคุณรูปภาพจาก  https://www.facebook.com/SpicchioLovers