‘พาสต้า ชาลี' อาหารอิตาเลียนสัญชาติไทย รุกตลาดแฟรนไชส์ ชูจุดขายจับช่องว่างตลาดระดับกลาง ระบบบริหาร นำข้อมูลลูกค้าส่งเสริมการตลาด ด้วยเงินลงทุน 2.5 ล้านบาท คืนทุนใน 2.5 ปี ตั้งเป้าก่อนสิ้นปี 48 เปิด 5 สาขา ก่อนพัฒนาธุรกิจลักษณะคอนเนอร์รับทัพนักลงทุน 

 

ยงยุทธ นิลเปล่งแสง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สินสงวนวัฒนา จำกัด ผู้ให้บริการร้านอาหารอิตาเลียนพาสต้า ชาลี เปิดเผยว่า ได้ขยายธุรกิจสู่รูปแบบแฟรนไชส์ ในช่วงเดือนมิถุนายน 2548 หลังจากที่ขยายสาขาของบริษัทปัจจุบัน 4 สาขา (ห้างสรรพสินค้าเซ็ลทรัลพระราม 2 เซ็นทรัลพระราม 3 เซ็นทรัลปิ่นเกล้าและเซ็นทรัลเวิล์ดพลาซ่า) และประสบความสำเร็จจากการบริหารจัดการร้านสาขา ขณะเดียวกันเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ 

 

ด้วยจุดเริ่มต้นของธุรกิจ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เล็งเห็นช่องว่างและโอกาสการเติบโตของอาหารอิตาเลี่ยน ที่ส่วนใหญ่เปิดให้บริการจำนวนมากนั้น ยังคงกระจุกตัวโดยเฉพาะย่านถนนหลังสวน กลุ่มลูกค้าระดับเอ และค่าใช้จ่ายต่อคนตัวหัวเฉลี่ย 500-600 บาท แต่ขณะที่การให้บริการในห้างสรรพสินค้า จับกลุ่มลูกค้าระดับบียังไม่มีคู่แข่งโดยตรง และสามารถบริหารต้นทุนราคาใช้จ่ายต่อคนต่อหัว 160-180 บาทเท่านั้น เสนอราคาขายต่อจาน เช่น พาสต้าเริ่มต้นที่ 85 บาท สเต็ก 99 บาท จับกลุ่มลูกค้านักธุรกิจ ผู้บริหาร พนักงานบริษัท ครอบครัวและนิสิตนักศึกษา 
 

 
 

“ปัจจุบันมีผู้นักลงทุนสนใจติดต่อเข้ามาจำนวนมาก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ นักลงทุนรายใหม่ นักลงทุนที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารหรืออาหารอิตาเลี่ยนอยู่แล้ว แต่ต้องการแบรนด์และนักธุรกิจที่เลือกลงทุนเฉพาะรูปแบบแฟรนไชส์เท่านั้น และที่มีศักยภาพ ประมาณ 50 ราย แต่ในปี 2548 นี้ จะขยาย 5 สาขา ทำเลถนนรัตนาธิเบศ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ลาดพร้าวและรังสิต และขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ลักษณะคอนเนอร์ เพื่อตอบสนองกลุ่มนักลงทุนที่มีเงินลงทุนไม่สูงมากนัก คาดว่าภายในปี 2549 จะสามารถเปิดขายแฟรนไชส์ได้” ยงยุทธกล่าว 

 

ขณะที่โอกาสการในการประสบความสำเร็จของแฟรนไชชีจากการลงทุนพาสต้า ชาลี ยงยุทธกล่าวว่า ได้ใช้หลักการเดียวกับร้านสาขาของบริษัท ด้วยการนำระบบบริหารการจัดการภายในร้านว่า ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในการสั่งออร์เดอร์ และฐานข้อมูลดังกล่าวจะส่งตรงมาแต่ละฝ่ายของบริษัท เพื่อฐานข้อมูลในการบริหารสต๊อกสินค้าแต่ละสาขา พฤติกรรมผู้บริโภค โดยจะวิเคราะห์ข้อมูลเป็นรายวัน ทำให้แต่ละสาขาสามารถบริหารสต๊อกสินค้า และจัดทำการตลาดจัดโปรโมชั่นเพิ่มยอมขายให้แต่ละสาขาได้ 

 

นอกจากนี้ กระตุ้นการบริโภคซ้ำ ด้วยลบแนวคิดและความเชื่อเดิมที่ว่าอาหาร ยุโรปรับประทานบ่อยครั้งไม่ได้จะเกิดความเบื่อ จึงได้พัฒนาเมนูให้หลากหลาย ด้วยผู้บริโภคสามารถเลือกเครื่องปรุง เส้น เนื้อสัตว์ เองได้ ในรูปแบบการให้บริการ 2 เมนู 1.desing your own pasta manu ลูกค้าสามารถเลือกเส้น ซอสกว่า 12 ชนิดเองได้ และ your staek your style สามารถเลือกเนื้อสัตว์ หมู ไก่ ปลา กุ้ง เนื้อแกะ เนื้อวัว กับซอสกว่า 10 ชนิด รวมถึงซอสรสชาติไทยอย่างจิ่มแจ่ว พร้อมเครื่องเคียงที่หลากหลาย 
 

 

 

2.เมนูทั่วไป ซึ่งจะมีเมนูที่เชฟแนะนำและ kid manu สำหรับเด็ก รวมถึงของหวานชาลีช็อคโกแลตและทีรามิสุ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของร้าน 

 

“ซึ่งการให้เสนอสินค้าและบริการภายในร้านนั้น จะยึดคอนเซ็ปต์ที่ว่า พาสต้าชาลี อร่อยได้ทุกครอบครัว ซึ่งคำว่าครอบครัว ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกช่วงวัย โดยอาหารที่นำเสนอนั้น จะตอบสนองและเทรนด์การบริโภคในช่วงนั้นๆ ด้วย เช่น กระแสรักสุขภาพ จะมีสลัดบาร์ ทั้งนี้เปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการทานสลัดอย่างดียวในราคา 88 บาท กรณีสั่งคู่กับเมนคอร์สในราคา 30 บาท” ยงยุทธกล่าวและว่า 

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังได้จัดทำ KPI หรือการคิดยอดขายต่อตารางเมตร เพื่อคำนวนระยะเวลาคืนทุน สำหรับการลงทุนของพาสต้า ชาลี พื้นที่ 100 ตารางเมตร จำนวน 50 ที่นั่ง ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อหัว 180 บาท คาดสร้างรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 625,000 บาท ฉะนั้นด้วยเงินลงทุน 2.5 ล้านบาท จะคืนทุนภายใน 2.5 ปี 

ยงยุทธ กล่าวถึง การลงทุนว่า ใช้เงินลงทุน 2.5 ล้านบาท พื้นที่ 100 ตารางเมตร จำนวน 50 ที่ ใช้เงินลงทุน 2.5 ล้านบาท รวมการตกแต่งร้าน เครื่องครัว ค่าแฟรนไชส์ฟี 300,000 บาท สัญญา 5 ปี รอยัลตี้ฟี 4% ค่าการตลาด 2% ระยะเวลาคืนทุน 2.5 ปี อบรม 1 เดือนด้านการตลาด การบริหารจัดการธุรกิจ การประกอบอาหารและการบริการ 

 

จัดหาบุคลากรให้ ด้วยการประสานกับสถานบันการศึกษาและเปิดรับสมัครพนักงาน ด้วยอาหารที่เตรียมจากครัวกลาง กว่า 60% และที่ปรุงจากหน้าร้าน 40% ทำให้ไม่มีปัญหากับบุคลากรหากเกิดการลาออก 

 

อ้างอิงจาก: ผู้จัดการออนไลน์