มิสมาม่อน(Miss Mamon) เบเกอรี่แบรนด์ไทย
 

ได้เปิดตัวธุรกิจเมื่อปลายปีที่ผ่านมา วันนี้มิสมาม่อนสามารถแจ้งเกิดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดีคือกลุ่มคนวัยทำงาน โดยเฉพาะในย่านที่ตั้งหลังการบินไทยสำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต และทำให้การขยับขยายสาขาเริ่มชัดเจนขึ้น ล่าสุดเตรียมขยายสาขา 2 ที่ฝั่งตรงกันข้ามคือตึกซันทาวเวอร์ พร้อมตั้งเป้าว่าต้องมีมิสมาม่อนทุกที่ที่กลุ่มเป้าหมายไปจำจ่าย ไม่ว่าจะเป็นสีลม ซอยอารีย์ เป็นต้น
       
      "พรศรี นิสภกุลธร" และ "พรเพ็ญ รัตนพิทักษกุล" 2 พี่น้อง ในจังหวะที่ธุรกิจเริ่มมีความชัดเจนยิ่งขึ้นตลอดระยะเวลา เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นลู่ทางธุรกิจ พร้อมการต่อยอดธุรกิจไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่ริเริ่มทำธุรกิจเองและเตรียมที่จะก้าวสู่การเป็นแฟรนไชซอร์ที่เข้มแข็งในอนาคตนั้นเป็นอย่างไร

       ต่อยอด เล็งสู่แฟรนไชส์
      
       พรศรี กล่าวว่า แนวทางการขยับขยายธุรกิจในอนาคตคงใช้กลยุทธ์แฟรนไชส์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการขยายสาขาของทางร้านเอง เพื่อพื้นฐานความรู้ในการบริหารหลายๆ สาขา และยอมรับว่าธุรกิจเพิ่งเริ่มได้ไม่ถึง 1 ปี ระบบต่างๆ กับการขยายสาขาในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ และต้องการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งเสียก่อน เมื่อระบบการบริหาร ควบคู่กับแบรนด์มีความเข้มแข็งแล้วการขยายธุรกิจในอนาคตไม่ว่าจะเป็นเจ้าของทำเองหรือแฟรนไชซีที่เข้ามาซื้อธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ด้วยระบบการบริหารจัดการที่ดี
      
       หากมองถึงความพร้อม ในการต่อยอดธุรกิจของมิสมาม่อนในอนาคตนั้น อาจมองได้จากประสบการณ์จากการเป็นแฟรนไชซีของฟาสฟู๊ดส์แบรนด์ไทยรายใหญ่มานานกว่า 10 ปีกับการขยายสาขาแล้วกว่า 8-9 สาขา ในโมเดิร์นเทรดและดิสเคาท์สโตร์ ทำให้ได้ความรู้เรียนรู้ระบบการบริหารจัดการในรูปแบบแฟรนไชส์ได้เป็นอย่างดี
      
       ขณะเดียวกัน ด้วยจุดเริ่มต้นธุรกิจจากความชอบนั้น จึงให้ความสำคัญกับโปรดักส์ ทำให้ พรเพ็ญ คิดค้นสูตรต่างๆ เพื่อให้ได้รสชาติ คุณภาพที่ดี และวัตถุดิบที่ดี จนเป็นสูตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่ยากต่อการเลียนแบบ ซึ่งเป็นหลักสำคัญหนึ่งในการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ได้เป็นอย่างดี
      
       สร้างธุรกิจจากความชอบ
      
       เริ่มจาก พรเพ็ญ ชื่นชอบในการทำอาหาร ทำขนม และมีโอกาสใช้ชีวิตในช่วงเรียนที่ต่างประเทศ เข้าคอร์สเรียนการทำขนม และเดินทางบ่อยๆ แต่มาสะดุดกับมาม่อนเค้กที่ฮ่องกง แบรนด์ Maxsim จึงลองทำดู ได้หยิบเบเกอรี่เด่นตัวใดตัวหนึ่งที่ชอบ โดยเลือกมาม่อนเค้ก ซึ่งเป็นเค้กที่มีเอกลักษณ์คือชิฟฟอนและสปันเค้ก และพัฒนาสูตรจนเป็นที่ชื่นชอบของคนรอบข้าง
      
       จากนั้นเริ่มทำธุรกิจ อันดับแรกกับโจทย์ที่ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร หรือทำให้ใครซื้อ แล้วทำเลอยู่ตรงไหน ได้คำตอบคือกลุ่มคนวัยทำงาน อายุ 25-45 ปี ที่มีกำลังซื้อ สถานที่ทำเลที่พนักงานไปจับจ่ายใกล้กับสถานที่ทำงาน และใช้เวลาหาทำเลสถานที่กว่า 6 เดือน จนมาได้ที่หลังการบินไทย
      
       "แต่ระหว่างนั้นน้องสาวก็พัฒนาโปรดักส์ไป พี่มาวิ่งหาแพคเกจจิ้ง คุยกับดีไซส์เนอร์ อะไรจะเหมาะกับขนม สรุปใส่เป็นชิ้นๆ ดูสะอาด เพราะสิ่งสำคัญสุดของเบเกอรี่คือสะอาด ความสดใหม่ ดูดี ใส่ในกล่องพลาสติก" เพ็ญศรี กล่าว
      
       และการหาสัญลักษณ์ให้กับสินค้า ให้มีความโดดเด่นสะดุดตา จึงได้สัญลักษณ์เป็นการ์ตูนหน้ากลมๆ ผมหยิกก็คือกระดาษฟอยซ์ที่รองขนม เน้นสีสันที่สนใจตกแต่งร้าน แดง เขียว ส้ม
      
       ในช่วงแรก ของการเปิดตัวสินค้า เนื่องจากมิสมาม่อนยังไม่เป็นที่รู้จัก แต่สถานที่ตั้งคือตลาดช้อปปิ้งหลังการบินไทย ซึ่งอาการค่อนข้างร้อน จึงใช้โปรโมชั่น ‘ซื้อน้ำแถมขนม’ จากนั้นตามต่อมาด้วยมีพริตตี้หน้าร้าน เพื่อเชียร์ขนมโดยการให้ชิมฟรี
      
       เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูกค้า
      
       "ในช่วงแรกกลยุทธ์ที่นำมาใช้คือ 4p ทั้งหมด จนสินค้าเป็นที่ตอบรับของกลุ่มเป้าหมาย ยอมรับว่าพอออกมาทำธุรกิจเอง ต้องเรียนรู้ไปกับลูกค้าด้วย ทำให้ธุรกิจก้าวไปได้"
      
       การเรียนรู้ที่ว่า เริ่มจากประสบการณ์ในช่วงปีใหม่ มีลูกค้าจำนวนมากที่มีสั่งออร์เดอร์ ทำให้ผลิตทัน เพราะเพื่อต้องการนำไปเป็นของฝากแต่ไม่ใช่เพื่อซื้อรับประทานเท่านั้น จึงต้องออกแบบแพคเกจเพื่อสำหรับซื้อฝาก กล่องบรรจุ 6 ชิ้นและ 12 ชิ้น
      
       "ที่เน้นแพคเกจ เพราะนอกจากซื้อรับประทานเองแล้ว ยังเป็นของฝากที่ต้องดูดี เพราะวัยนี้จะเป็นคนทำงานซื้อฝากเพื่อน ฝากผู้ใหญ่ หรือแม่บ้านที่ต้องซื้อกลับไปให้คนที่บ้าน การตั้งในทำเลเช่นนี้ โจทย์ต้องตอบกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะถ้าให้วัยรุ่นซื้อเองเขาอาจไม่ซื้อ แต่ชอบทานจากรสชาติที่ทำการพิสูจน์แล้ว ฉะนั้นทำเลไม่น่าจะใช่ที่สยามสแควร์"
      
       ล่าสุดเตรียมออกแบบกล่องพิเศษ เฉพาะเทศกาลให้ดูแตกต่างจากการซื้อฝากทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลปีใหม่ วาเลนไทน์
      
       รวมทั้งการพัฒนาสูตรขนม อยู่เรื่อยๆ อย่างล่าสุดแป้งเค้กจะมีเฉพาะวนิลา แต่ได้เพิ่มใบเตยขึ้นมา และหน้าขนมที่หลากหลายขึ้น เช่น มะพร้าว และที่ตอบรับดีคือหน้าชีส โดยพยายามเพิ่มหน้าขนมให้หลากหลายมากขึ้น
      
       "ในส่วนของโปรดักส์ เริ่มแรก 1-2 หน้า ค่อยๆ พัฒนาเพราะดั้งเดิมจะมีแต่หน้าเค้กอย่างเดียว จึงค่อยๆ ปรับฝอยทอง ลูกเกด ให้เข้ากับคนไทย ปัจจุบันมี 9 หน้า และพัฒนาเนื้อขนมเป็นกลิ่นใบเตย"
      
       หรือการเพิ่มช่องทางการจำหน่าย Delivery บริการรับส่ง ซึ่งช่องทางนี้ ก็ได้เรียนรู้กับลูกค้าเช่นกัน ซึ่งบางทีลูกค้าใกล้ถึงบางนา ค่าบริการส่งบางทีพอๆ กับค่าขนมแต่ลูกค้ายอมจ่าย ทำให้เล็งเห็นช่องทางในอนาคตที่จะเพิ่มบริการในส่วนนี้โดยจัดตั้งแผนกสำหรับรับส่งขนม โดยที่ทางร้านจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้

       เปิดความภูมิใจก้าวสู่วันนี้
      
       พรศรี กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจเป็นที่น่าพอใจอย่างมากได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต โดยลงทุนเครื่อง เตาอบเพิ่ม สามารถรองรับกำลังการผลิตได้ต่อวันถึง 2,000 ชิ้น เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าต่อวัน
      
       ความสำเร็จที่ 2 พี่น้องพอใจนั้น พวกเธอให้ความสำคัญกับจุดเริ่มต้นของการคิดทำธุรกิจ อันดับแรกคือโปรดักส์หรือมาม่อนเค้กไม่ใช่เบเกอรี่แฟชั่น ซึ่งตลอดหลายเดือนที่ผ่านมายอดการจำหน่ายเพิ่มขึ้น และเป็นที่ชื่นชอบของคนหลายวัยนอกจากกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับมีคุณค่าของทางโภชนาการ ใช้แป้งเป็นส่วนผสมที่น้อย แต่วัตถุดิบต่างๆ มีคุณภาพดีไม่ใส่สารกันบูด สารฟูนุ่ม
      
       "เราใส่ใจกับทุกขบวนการผลิต เพราะลูกหลานของเราเองก็รับประทานขนมที่ร้าน เราก็รับประทาน ฉะนั้นการผลิตสินค้าภายใต้คุณภาพที่ดี ทำให้เกิดการบอกต่อได้ไม่ยาก ทุกวันนี้ไม่ได้ทำโฆษณาผ่านสื่อที่ไหน แต่เป็นลักษณะการบอกปากต่อปาก และเป็นของฝากผู้ได้รับฝากติดใจก็ติดต่อเข้ามาซื้อ"
      
       ซึ่งสิ่งที่ตั้งเป้าไว้คือมีมิสมาม่อนในทุกที่ที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายไปจับจ่าย หรือสร้างให้เกิดความรู้สึกว่ามาชอบปิ้งที่นี่ต้องแวะรับประทานมิสมาม่อนหรือมาหาซื้อเป็นของฝาก
      
       "สินค้าเราไม่เป็นแฟชั่น พัฒนาตลอด ทานได้ตลอด ไม่เลี่ยน ซื้อเป็นของฝากได้และในโอกาสต่างๆ มีโอกาสให้ซื้อได้เรื่อยๆ คุณภาพขนมเก็บได้นาน 3 วัน"
      
       และกับภาพรรวมธุรกิจเบเกอรี่ แม้การแข่งขันสูง แต่ยังมีช่องว่าง เพราะคนไทยชอบลองของใหม่ เปิดใจรับกับสิ่งใหม่ๆ เพียงแต่ว่าเมื่อลองแล้ว จะดึงเขากลับมารอบที่ 2 รอบที่ 3 อย่างไร ก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำ
   
     2 พี่น้องเผยเคล็ดความสำเร็จ
      
       ธุรกิจเบเกอรี่เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าหลายพันล้าน ที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาแชร์ตลาด แต่ต้องหาความแตกต่างโปรดักส์ให้ได้เสียก่อน เช่นเราเน้นที่มาม่อนเค้ก ซึ่งยังไม่มีรายไหนทำเป็นจริงจังชูจุดเด่นเพียงสินค้าตัวเดียว แม้จะขยายสู่เบเกอรี่ประเภทอื่นได้ก็ตาม
      
       แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการใหม่ ต้องคำนึงถึงหรือถามตัวเองให้ได้เสียก่อนคือ ชอบอะไร มีใจรักกับธุรกิจนั้นๆ อยากเข้ามาทำหรือไม่เพราะต้องอยู่กับธุรกิจนี้ไปตลอด แต่จะอาศัยเพียงความชอบอย่างเดียวไม้ได้ต้องดูตลาด ดูช่องทางตลาดด้วยว่าเป็นอย่างไร
      
       และการสร้างความแตกต่างเพื่อให้เราเข้าไปอยู่ในตลาดนั้นให้ได้
      
       "การมองตลาด ถ้าเรายังมองไม่เห็นต้องพยายามสร้าง เอาตัวเราเข้าไปในตลาดให้ได้ หาจุดเด่น หาความต่างๆ เหมือนที่เปิดร้านมิสมาม่อน ถ้านำเบเกอรี่ 10 อย่างมาวางก็ไม่แตกต่างจากร้านเบเกอรี่ทั่วไป เราเลยเน้นโปรดักส์เดียวและเน้นแพคเกจจิ้ง"
      
       และถ้าเราไม่สามารถทำอะไรได้คนเดียว ต้องมองหาผู้ช่วย ผู้ร่วมงาน ที่มีชำนาญ ความสารถมากกว่าในด้านใดด้านหนึ่ง หรือเป็นการหาผู้ช่วยมาเติมเต็มจุดอ่อน เพราะถ้าเราทำเองกว่าจะเรียนรู้ทำให้เสียเวลามาก ควรมีผู้ช่วย
      
       "อย่างพี่ทำงานที่งานโรงแรมฝ่ายเทรนนีมาก่อน ไม่มีความรู้ด้านเบเกอรี่ แต่พรเพ็ญน้องสาว ชอบทำเบเกอรี่ เราก็นำมาเสริมกัน อย่างพี่จะดูเรื่องธุรกิจการขยายสาขา การทำตลาด ส่วนน้องสาวก็จะพัฒนาหลักสูตรโปรดักส์ใหม่ ซึ่งเป็นส่วนที่เสริมกันอย่างลงตัว"
      
       "ถ้าอยากทำอะไร แต่คิดว่าไม่สามารถทำได้เองคนเดียวต้องหาหุ้นส่วน หาคนช่วยที่เติมเต็มจุดอ่อนของเรา ซึ่งตรงนี้สำคัญ เพราะไม่มีใคร ที่ทำได้ครบทุกอย่าง อาจจะทำได้ แต่เสียเวลาในการเรียนรู้ ถ้าเรามีผู้ส่วนหุ้นส่วนที่ช่วยเราในจุดที่เราไม่รู้ธุรกิจจะไปได้ดี"
 

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์