'พิซซ่า ทูเดย์' เข็นทัพ 200 สาขา ลั่น: คน- เงิน -ผลิต พร้อม ! 
 
 

       "เราสามารถสร้างโอกาสจากความว่างเปล่าได้ ถ้าหากรู้จักคิดและพยายามคิดต่างจากคนอื่น" เป็นแนวคิดของ "ศุภกิจ รุ่งโรจน์" ซีอีโอ บริษัท พิซซ่าทูเดย์ จำกัด ที่ได้กล่าวไว้ในช่วงเริ่มต้นของการเข้ามาทำธุรกิจพิซซ่า
      
       ความแตกต่างที่ว่าคือการทำพิซซ่าแบบบางและขายเป็นชิ้น แทนการขายแบบแพนเหมือนที่พิซซ่ายักษ์ใหญ่ในตลาด 2 รายนำเสนอในรูปแบบนี้ ซึ่งความแตกต่างที่ว่าจะทำให้เขาสามารถแข่งขันในตลาด ด้วยมองเป็นโอกาสและช่องว่างทางธุรกิจที่ตลาดพิซซ่ามีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท
      
       ตลอดระยะเวลา 8 ปีนับจากเริ่มธุรกิจพิซซ่าทูเดย์ในช่วงปลายปี 2543 และเริ่มขายแฟรนไชส์ในปี 2544 "ศุภกิจ" ได้วางด้วยคอนเซ็ปต์ชอป take away ขยายผ่านช่องทางดิสเคาท์สโตร์และเติบโตไปพร้อมกับการขยายสาขาซึ่งในขณะนั้นยังคงกระจุกตัวกรุงเทพฯ
      
       ด้วย "ศุภกิจ" เป็นผู้บริหารที่มุ่งพัฒนาศักยภาพคน ทีมงาน เรียกว่าเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจตัวยง จนชื่อเสียงขจรไกลสู่ภายนอก ทำให้เขาได้แตกไลน์ธุรกิจตั้งบริษัทจัดสัมมนาปลุกพลังทางความคิด "The Power of Change" ขึ้นมา
      
       ซึ่งยังคงควบคู่การขยายธุรกิจที่มีด้วยกัน 3 แบรนด์ พิซซ่าทูเดย์ ชูการ์บัน (Snacks) และเบเกอรี่ทูเดย์ ที่มีสาขาพิซซ่าทูเดย์ 52 สาขา เป็นของบริษัท 42 สาขาและแฟรนไชส์ 10 สาขา ชูการ์บัน 8 สาขาและเบเกอรี่ทูเดย์อีก 2 สาขา
      
       ในช่วงที่ผ่านข่าวคราวของพิซซ่าทูเดย์ โดยเฉพาะการขยายสาขาเงียบหายไป แต่บทบาทของนักสร้างแรงบันดาลใจกลับเด่นชัดกว่า ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว "ศุภกิจ" ได้ออกมาบอกว่า อยู่ระหว่างการหันกลับไปดูความพร้อมธุรกิจว่ามีมากน้อยแค่ไหน ด้วยเชื่อว่าการ "คิดใหญ่" ทัพต้องพร้อมทั้งเรื่องคน เงินและการผลิต พร้อมย้ำว่าในปี 2550 นี้จะเป็นปีที่พิซซ่าทูเดย์รุกตลาดอย่างหนักเพื่อขยายสาขาไปทั่วประเทศ
 

      ล่าสุด เข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี 2550 "ศุภกิจ" ได้แถลงข่าวปรับโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ใหม่ พร้อมกับพันธมิตรบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) เริ่มจากลุคของคีออสที่ดูสดใส ทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม กับ 2 รูปแบบการลงทุน 1. Kiosk พื้นที่ 15 ตร.ม. งบประมาณลงทุน 1.5 ล้านบาท เน้นทำเลดิสค์สโตร์ เช่น บิ๊กซี คาร์ฟู โลตัส 2. Stand alone ลงทุนประมาณ 1.3 ล้านบาท เน้นทำเล ปั๊มน้ำมัน ย่านชุมชน โรงเรียน มหาวิทยาลัย สถานีรถไฟฟ้า
      
       ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบนี้ 3 ปีแรกไม่เรียกชำระมาร์เก็ตติ้งฟีและรอยัลตี้ฟี

       ทั้งนี้ "ศุภกิจ" ตั้งเป้าว่าภายในปี 2551 นี้จะมีร้านสาขาของทั้ง 3 แบรนด์รวมกัน 200 สาขา และเติบโตต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 15%
      
       ปัจจุบันหากมองถึงภาพรวมของธุรกิจพบว่ามีการเติบโตต่อเนื่องไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่การรู้จักพิซซ่าของผู้บริโภคมากขึ้น เพียงแต่ยังเข้าไม่ถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ซึ่งมองว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มาก หากมีการกระจายสินค้าและบริหารช่องทางการจำหน่ายที่ดี มูลค่าตลาดรวมสามารถเติบโตได้ถึงหมื่นล้านบาท
      
       ย้อนกลับมามองถึงความพร้อมของคนหรือทีมงานนั้น มีโครงสร้างการบริหารงานเป็น 4 ด้าน การตลาด การเงิน การพัฒนาธุรกิจและปฏิบัติการ ซึ่งว่าจ้างระดับผู้บริหารเข้ามาดูแลตามงานแต่ละด้าน โดยเฉพาะด้านการตลาดมีการผู้บริหารระดับ CMO ดูแลการตลาดทั้งหมด เพื่อทำให้ทั้ง 3 แบรนด์มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ขณะที่ระดับพนักงานขายได้มีคอร์สฝึกอบรมความพร้อมด้านการบริการ
      
       ขณะเดียวกัน ได้จัดตั้งทีมงานเพื่อดูแลแฟรนไชซีด้วยระบบ Franchise relationship management ซึ่งเป็นระบบการให้บริการแฟรนไชซี ในด้านต่างๆ ทั้งงานเอกสาร การสนับสนุน การฝึกอบรม ซึ่งระบบดังกล่าวนี้จะทำให้เกิดความใกล้ชิดทั้งในแง่ของข้อมูล ซึ่งทำให้เพิ่มความมั่นใจต่อนักลงทุนมากยิ่งขึ้น
      
       ด้านการผลิตนั้น ในปี 2548 "ศุภกิจ" ได้ลงทุนสร้างโรงงานบนพื้นที่ 5 ไร่ที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับแผนการขยายงานอย่างเต็มสูบ เพื่อรองรับร้านสาขาทั้ง 3 แบรนด์ OEM และส่งผ่านโมเดิร์นเทรด ส่วนการเงินนั้น ทางบริษัทได้ระดมทุนจากกองทุนร่วมลงทุน เปิดรับพันธมิตรเข้าร่วมถือหุ้นจำนวน 40% และผู้ถือหุ้นรายย่อย
      
       ด้วยข้อมูลเชิงธุรกิจดังกล่าว จะเป็นโอกาสให้กับธุรกิจพิซซ่าและผู้สนใจ ตราบใดที่ราคา โลเคชั่น ยังเป็นตัวดึงดูผู้บริโภค
      
       แต่อย่างไรก็ตาม "ศุภกิจ" แนะว่าความสำเร็จของธุรกิจจะเกิดขึ้นได้นั้น ผู้ลงทุนควรเข้ามาศึกษาธุรกิจด้วยตนเอง เพื่อเกิดความเข้าใจและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่สามารถควบคุมได้เกือบทุกจุดเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน
 
อ้างอิงจาก  ผู้จัดการออนไลน์