MK Suki กับแคมเปญ “สุ(ข)กี้” ความสุข ความอร่อย ไม่มีที่สิ้นสุด
![](https://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/star_231_p6_20211210165457.jpg)
ภาพจาก www.facebook.com/mkrestaurants
ฤทธิ์ ธีระโกเมน ความสุขที่ไม่สิ้นสุดต้องการเติบโตแบบธรรมชาติ แผนของเราจึงไม่ซับซ้อน จากก้าวแรกของธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ ของครอบครัว ต่อยอดสู่ธุรกิจ “เอ็มเค สุกี้” ที่เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ จนขยายไปแล้วกว่า 300 สาขา ครองใจคนรักสุขภาพ และประชาชนทุกเพศทุกวัย จนกลายเป็นร้านอาหารยอดฮิตที่อยู่คู่กับคนไทยในทุกช่วงเวลาแห่งความสุข.....
ฤทธิ์ ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ จำกัด เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าว
เขาบอกว่า ที่เอ็มเค สุกี้เติบโตมาได้อย่างยั่งยืน และอยู่ในตลาดมากว่า 25 ปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแผน ของเอ็มเคเองที่ไม่ซับซ้อน เพราะเอ็มเคต้องการเติบโต แบบธรรมชาติ ไม่ได้เร่งรีบอะไร หรืออย่างที่เรียกว่า Organic Growth
อย่างการบริหารงานก็เหมือนกับการลอกคราบ เราจึงต้องมีการทำรีออแกไนเซชั่น เพื่อจัดการองค์กรของเรา ซึ่งต้องทำตลอดเวลา เพราะการทำงานแบบสมัยใหม่ทำยากขึ้น ต้องมีความโปร่งใส และมีธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อให้เติบโตแบบมั่นคง
![](https://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/star_231_p9_20211210165423.jpg)
ภาพจาก www.facebook.com/mkrestaurants
และอย่างปัจจุบันกระแสของโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ก มาแรง ทำให้เราต้องเปิดตัวเอ็มเค เฟซบุ๊ก www.facebook.com/mkrestaurants เพราะเรามีความทันสมัย อยู่เสมอ
ฤทธิ์ บอกว่า ในโอกาสที่เอ็มเคครบรอบ 25 ปี จึงต้องการส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ “สุ(ข)กี้” ความสุข ความอร่อย ไม่มีที่สิ้นสุด โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกด้วยการส่งเคล็ดลับว่า สุ(ข)กี้ ของคุณเป็นแบบไหน ผ่านทางเอ็มเค เฟซบุ๊ก
นอกจากการเชิญชวนลูกค้าร่วมสนุกด้วยการส่งเคล็ดลับแล้ว ยังเตรียมแจกหนังสือ ซึ่งเป็นคู่มือโหราศาสตร์ ประมาณ 5 แสนเล่ม เพียงลูกค้าทานอาหารครบทุก 500 บาท ก็จะได้รับหนังสือดังกล่าวฟรี 1 เล่ม โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 20 ธันวาคม 2553-7 มกราคม 2554 คาดว่าไม่เกิน 3 สัปดาห์จะแจกหมด
และอีกสิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเอ็มเคไปแล้ว เห็น จะเป็นเอ็มเค แดนซ์ ซึ่งมีมานานแล้วกว่า 20 ปี แต่ตอนแรก เราไม่ได้เต้นให้ลูกค้าดู จะเป็นการเต้นตอนเช้าๆ แต่เพราะเราต้องการเห็นคนกินมีความสุข นอกจากการกินอาหารอร่อย
“ประมาณ 3 เดือนจะเปลี่ยนท่าเต้น โดยลูกค้า 80-90% จะมีความสุขจากการดูเอ็มเค แดนซ์ จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของเอ็มเคไปแล้ว” และเพราะเรามีความทันสมัยอยู่เสมอ จึงได้เปิดตัวหุ่นยนต์ เพื่อนำมาต้อนรับ และเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้า ประมาณ 10 ตัว
การที่นำโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ก มาเป็นสื่อกลางระหว่าง ลูกค้ากับเอ็มเค เพราะมองว่าหากนำมาใช้ในทางที่ดี ก็จะเป็นผลทางด้านบวก เลยคิดว่าจะได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการแชร์สูตรอาหาร หรือบริการ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง
![](https://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/star_231_p8_20211210165423.jpg)
ภาพจาก www.facebook.com/mkrestaurants
“เฟซบุ๊กจะกลายเป็นเครื่องมือที่ประมวลความต้องการของลูกค้าได้”
นอกจากการขยายตลาดในประเทศแล้ว ยังเน้นการ ขยายลงทุนในต่างประเทศควบคู่ไปด้วย โดยขณะนี้ลงทุน ไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่นกับเวียดนาม ซึ่งรูปแบบการลงทุน จะมีทั้งแบบแฟรนไชส์และร่วมลงทุน นอกจากทั้ง 2 ประเทศ แล้ว ยังมองประเทศอื่น แต่ยังคงเป็นแถบเอเชีย อาทิ อินโดนีเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน
แต่เราจะไปแบบค่อยเป็น ค่อยไป ไม่ได้เร่งร้อนอะไร ไป แบบออร์แกนิก แต่คงจะเน้น แฟรนไชส์เป็นหลัก คาดว่าภายใน 5 ปี จะเห็นภาพชัดเจนว่าเราไปเพาะเมล็ดไว้ เนื่องจากเราไม่ได้ขยายตลาดใหญ่โต โดยจะใช้อาหารกับบริการเจาะเข้าไป เพราะทั่วโลกกำลังนิยมอาหาร เพื่อสุขภาพ
ฤทธิ์ บอกว่า แต่อย่างไรก็ยังให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าภายใน 5-7 ปี เอ็มเคจะมีสาขาเปิดให้บริการกว่า 500 สาขา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ละสาขาของเอ็มเคจะใช้งบ ลงทุนราวๆ 8-12 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดสาขา
“ยอดขาย 10 เดือนแรกของเรา เติบโต 3-5% ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะปีนี้เศรษฐกิจไม่ดีนัก ทั้งการเมือง และภัยธรรมชาติ และเรามีสาขาอยู่เกือบทุกที่ คาดว่าสิ้น ปีจะปิดรายได้ที่กว่า 9,000 ล้านบาท เฉพาะในประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท”
ก้าวต่อไปของเอ็มเค ฤทธิ์บอกว่า รีจินัลแบรนด์ คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี จึงจะพูดได้ว่าเป็นรีจินัลแบรนด์ เพราะเอ็มเคยังถือเป็นน้องใหม่ในตลาดโลก ต้องมีสัก 500 สาขา ใน 6-7 ประเทศก่อน และต้องมีสัดส่วนรายได้ 25%
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ เอ็มเคแล้ว หากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ สิ่งที่ฤทธิ์จะต้องทำเป็น ประจำ นั่นก็คือ การอ่านหนังสือ เพราะถือเป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเอง จึงไม่จำกัดอยู่ที่หนังสือประเภทใดประเภทหนึ่ง สามารถอ่านได้ทุกแนวและยังสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานได้อีกด้วย
อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ