ดาวเด่นแฟรนไชส์    Jubilee อมตะความงามแห่งแบรนด์
15K
5 มกราคม 2554

‘Jubilee’ อมตะความงามแห่งแบรนด์

 

สำหรับการทำธุรกิจอะไรสักอย่างคงจะให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนยาวนาน คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก และถ้ายิ่งเป็นธุรกิจที่ได้ทำกันมาโดยสืบทอดส่งต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า มาตั้งแต่บรรพบุรุษจนมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ยิ่งยากกว่า ที่จะคงให้ธุรกิจยังดำเนินไปได้อย่างสวยงาม มั่นคง และคงเอกลักษณ์ คุณภาพ มาตรฐานไว้ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ เพื่อให้ยังคงครองอยู่ในใจผู้บริโภคที่มีมาดั้งเดิมและเพิ่มฐานลูกค้า ใหม่ๆ ในรุ่นที่ตนเองได้ทำคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แต่ทว่า คุณ “อัญรัตน์ พรประกฤต” ทายาทสาวคนสวยรุ่นที่ 4 ที่ได้เข้ามาบริหารงาน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ เพชรยูบิลลี่ (Jubilee Diamond) ต่อจากรุ่นคุณพ่ออย่าง คุณวิโรจน์ พรประกฤต ที่ได้ รับสืบทอดธุรกิจมาจากรุ่นคุณปู่นั้น เธอก็ไม่ได้ทำให้วงศ์ตระกูล ผิดหวังแต่อย่างไร เพราะสามารถมาบริหารธุรกิจที่มีมาตั้งแต่ รุ่นบรรพบุรษได้อย่างดี จนสามารถพัฒนาทำให้บริษัทได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ หรือ (mai) เรียบร้อยแล้ว จากจุดนี้จะยิ่งทำให้ธุรกิจเพชรยูบิลลี่ในอนาคตคาดว่าจะพัฒนาและโตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
 

 

โดย อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือเพชรยูบิลลี่ เล่าให้ฟังต่อว่า จากการ ที่ปีนี้บริษัทได้ทำการพัฒนาในหลายส่วนของแบรนด์ไปแล้วทั้งภายนอกและภายในอย่างที่บอกไป ส่วนในปีหน้าที่จะมาถึงนี้ปี 2554 ทางบริษัทได้วางแนวทางการดำเนินธุรกิจไว้แล้ว ว่าจะต่อยอดการพัฒนาจากปีนี้ต่อไป แต่จะเน้นหนักมากขึ้น ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในเรื่องของผลิตภัณฑ์จะมีคอนเซปต์ และความเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะเราจะทำการ วางโพสิชันนิ่งของสินค้าให้แตกต่างไปจากตลาดอื่นๆ อีกทั้ง ในเรื่องการสร้างแบรนดิ้งเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ ให้ดูทันสมัยอยู่เสมอนั้น ปีหน้าจะเน้นทำต่อยอดไปด้วย

“ในส่วนของเคาน์เตอร์ จะมีการปรับปรุง 2 แบบคือจะทำการปรับแบบไมเนอร์เชนจ์ คือ บางที่จะทำการปรับปรุง ให้อยู่ในสภาพให้สดใส ทันสมัยอยู่เสมอ และอีกส่วนที่สอง คือปรับแบบเมเจอร์เชนจ์ คือการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ใหม่ ไปเลยอย่างที่เราได้บอกไปว่าได้ทำไปในปีนี้บ้างแล้วคือปรับเปลี่ยนรูปแบบของแบรนด์เคาน์เตอร์ที่จากสีน้ำเงิน ให้เป็นสีดำมันเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น พรีเมี่ยมมากขึ้น และแบรนด์ดูมั่นคงมากขึ้นโดยปีหน้าคาดว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนเคาน์เตอร์ที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ 78 เคาน์เตอร์ได้หมด จากปีที่แล้วเรา มีเคาน์เตอร์เพียง 72 สาขา ซึ่งสิ้นปีนี้คาดว่าจะขยายเพิ่มและปิดอยู่ที่ 80 สาขา

เธอบอกต่อว่า ตอนนี่แบรนด์ของเราไม่ได้มีแค่เคาน์เตอร์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เรายังมีช็อปร้านเพชรอยู่ด้วย จำนวน 5 ร้าน ซึ่งมีสาขาอยู่ที่ แพนแปซิฟิก, สีลม, สะพานเหล็ก, เซ็นทรัลพัทยา และสมุย โดยปีหน้าบริษัทวางแผนว่าจะทำร้านแบบแฟล็กชิฟสโตร์อีกประมาณ 10 สาขา ซึ่งสถานที่คาดว่าจะอยู่ในห้างสรรพสินค้าเป็นหลักที่มีทราฟฟิกดี และพื้นที่อำนวยให้เราเข้าไปลงร้านแบบแฟล็กชิฟสโตร์ได้
 

 

“การขยายสาขาปีหน้าหลักๆ บริษัทจะทำการขยายจัด การเองมากกว่า ซึ่งปัจจุบันนี้เรามีสาขาทั้งหมดอยู่ 78 สาขา เป็นของบริษัทเองมีอยู่ 62 สาขา ในส่วนของเป็นแฟรนไชส์อีก 16 สาขา ในส่วนของแฟรนไชส์นั้นยังมีลูกค้าใหม่ติดต่อมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าแฟรนไชซีเดิมของเราที่ต้องการขยาย สาขาเพิ่ม ซึ่งทางเราจะพิจารณาให้สิทธิ์กับแฟรนไชซีเดิมก่อน”

ทั้งนี้ สาเหตุที่ลูกค้าแฟรนไชซีเดิมของเราที่ต้องการ ขยายสาขาเพิ่มขึ้น นั้นเนื่องมาจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่ลงทุนแฟรนไชส์กับเราเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะเขาลงทุนไปแล้วได้ผล ตอบแทนดี อีกทั้งลูกค้าทำแฟรนไชส์กับบริษัทมานานกว่า 10 ปี และได้เห็นพัฒนาการของบริษัทเรามาเรื่อยๆ ทั้งระบบการจัดการการซัพพอร์ตในเรื่องการตลาด จึงทำให้บริษัทกับพันธ มิตรแฟรนไชซีเติบโตไปด้วยกัน

นอกจากนี้ ในปีหน้าจะทำการเน้นในเรื่องของโปรดักต์ และการทำแบรนดิ้งแล้วนั้น บริษัทก็จะเน้นในการพัฒนาบุคลากรภายใน ในส่วนของพัฒนาพนักงานขาย หรือที่เรียกว่า “ไดมอนด์แอดไวเซอร์” ให้มีความรู้ในเรื่องของสินค้าคือเพชรให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อจะได้ตอบทุกความต้องการของ ลูกค้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

และอีกสิ่งหนึ่งคือ การบริการหลังการขายบริษัทเน้นให้ความสำคัญมาตลอด แต่ปีหน้าจะเน้นมากขึ้น โดยจะเน้น ให้ในส่วนของภายในที่ทำการซัพพอร์ตการบริการหลังการ ขายให้ลูกค้าเฉพาะ ให้บริการหลังการขายให้ลูกค้าได้พึงพอใจ มากขึ้น โดยจะมีการจัดแคมแปญในแบบ 3R ได้แก่ R1-Renew คือการซื้อเครื่องประดับไปแล้ว ใช้ไประยะเวลาหนึ่ง มันอาจจะเก่าแล้ว อยากจะมีขัด ล้าง ซึ่งตรงนี้บริษัทจะมีการบริการให้ตลอด


ต่อไป R2-Re design คือ การที่เคยซื้อเครื่องประดับ ไปแล้วใส่นานๆ หลายครั้งแล้วรู้สึกเบื่อ อยากเปลี่ยนแบบใหม่ ตรงนี้บริษัทก็จะทำการปรับเปลี่ยนให้ ด้วยการเอาเพชรเก่ามาปรับเปลี่ยนไปตามที่ต้องการของลูกค้า อาทิ จากเดิมอาจ จะเป็นสร้อย อยากมาทำนาฬิกา ทำแหวน บริษัทก็ทำให้ได้ และอีกตัวสุดท้ายคือ R3-Reward คือบริษัทจะทำเหมือนเครดิตการ์ด คือใช้สเปนดิ้งที่ร้านเราเท่ากับหนึ่งบาท เท่ากับหนึ่งคะแนน และก็สะสมแต้มแลกกับเป็นเพชรได้ด้วย และบริษัทจะทำการออกบุ๊กรีวอร์ดเล่มใหม่ปีหน้าให้เพื่อไว้ทำการ สะสมแลกเพชรในร้านของเรา

ปัจจุบันนี้เรามีฐานลูกค้าสมาชิกตอนนี้ประมาณ 9,000 รายแล้ว และมีลูกค้าที่แอ็กทีฟอยู่ประมาณ 4 หมื่นราย ซึ่งส่วนใหญ่ฐานลูกค้าของเรานั้นจะอยู่ในกลุ่มคนวัยทำงาน เจ้าของกิจการ sme และจะเป็นผู้หญิง 80% ดังนั้น บริษัทจึงไม่เคยละเลยฐานลูกค้าตรงนี้ เราจึงพยายามที่จะจัดแคมแปญ กิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการจะคอนแท็กลูกค้าตรงส่วนนี้อย่าง สม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าของเราให้ยังคงภักดีต่อแบรนด์ พร้อมทั้งสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย”
 
อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ

ขอขอบคุณรูปภาพจาก  www.facebook.com/Jubilee Diamond (Thailand)

ดาวเด่นแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
รวบรวมขนมปัง 20 บาท มาเอาใจคนอยากมีร้าน
157,522
ชานมไข่มุกปลุกตลาด 7 พันล้าน เทรนด์‘ไต้หวันกลับซ..
99,645
กาแฟสด ชาวดอย ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ความคล่องต..
81,650
เนสท์เล่ ปูพรมร้านไอศกรีมลงทุนเอื้ออาทร สานฝันคน..
77,808
ปั่นแหลก น้ำผลไม้สด แซงโค้งเข้าวินสร้างอาชีพ
76,558
“เคพีเอ็นพลัส” แฟรนไชส์อะไหล่มอ’ไซด์ ลั่นขยาย100..
55,082
ดาวเด่นแฟรนไชส์มาใหม่
ดาวเด่นแฟรนไชส์อื่นในหมวด