ก๋วยเตี๋ยวแซ่ซ้อง เย็นตาโฟเจ้าดัง ซ.อารีย์ ลุยแฟรนไชส์ขยายตำนาน 40 ปี
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny.jpg)
ใน ซ.อารีย์ มีร้านอาหารเจ้าดังอยู่หลายราย แต่หากเจาะจงก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟแล้ว ต้องยกให้เจ้า “นายฉุ่ย” ที่อยู่คู่ย่านนี้มานานกว่า 40 ปี แทบทุกเที่ยงวันลูกค้าจะแน่นร้าน จนเป็นภาพชินตา
จากความสำเร็จดังกล่าว หนึ่งในทายาทร้าน คิดต่อยอดกิจการครอบครัว โดยขายอาชีพรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อ “เย็นตาโฟแซ่ซ้อง” หวังเพิ่มช่องทางตลาดเข้าหาลูกค้าได้กว้างและทั่วถึงยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยสร้างโอกาสแก่คนอยากมีอาชีพ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny1.jpg)
วีรวิชญ์ เลิศสิริวิไล ผู้ดูแลกิจการ เล่าว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวนายฉุ่ย บุกเบิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 หรือกว่า 40 ปีที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้พ่อของเขา เปิดร้านเล็กๆขายก๋วยเตี๋ยวหมู อยู่ที่ ซ.อารีย์ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก วันหนึ่งขายได้แค่ 10 กว่าชาม แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกๆ จำนวน 11 คน จนเมื่อพี่ชายคนที่ 2 หรือนายฉุ่ย (นันทวัฒน์ เลิศสิริวิไล) เสนอความคิดให้เปลี่ยนมาขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและเย็นตาโฟแทน เนื่องจากในเวลานั้น ใน ซ.อารีย์ ยังไม่มีร้านใดขายเมนูดังกล่าวเลย
ผลตอบรับกลับมาดีเกินคาด โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟสูตรเข้มข้นที่นายฉุ่ยคิดขึ้นเอง ได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างมาก เมื่อประกอบกับทำเลใน ซ.อารีย์ฯ มีชุมชน คอนโดมิเนียม สำนักงาน และหน่วยงานราชการ เกิดใหม่จำนวนมาก ยิ่งส่งให้ร้านได้รับความนิยมเป็นทวีคูณ จนกลายเป็นร้านดังประจำย่านนี้ และกระจายไปทั่วประเทศ
ในฐานะเป็นหนึ่งในทายาทที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว วีรวิชญ์ เผยว่า อยากให้ธุรกิจแตกแขนงออกไปให้กว้างขึ้น โดยอาศัยชื่อเสียงร้านที่สะสมมานานกว่า 40 ปีเป็นใบเบิกทาง ด้วยการเปิดขายธุรกิจสร้างอาชีพ รูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ เพื่อให้ร้านมีช่องทางกระจายวัตถุดิบมากขึ้นแล้ว และยังช่วยสร้างโอกาสให้คนอยากมีอาชีพได้ด้วย
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny2.jpg)
“ในปัจจุบัน มีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการหาโอกาสสร้างฐานะ ซึ่งผมเข้าใจความรู้สึกนี้อย่างดี เพราะครอบครัวผมเคยลำบากมาก่อน แต่ก็ได้อาชีพก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลามากอบกู้ฐานะ ดังนั้น ผมจึงคิดว่าด้วยชื่อเสียงของร้านที่ยาวนาน ผ่านการพิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว รสชาติเป็นที่ยอมรับ และที่สำคัญไม่ต้องกังวลว่าเจ้าของแฟรนไชส์จะเลิกหนี เพราะนี่เป็นอาชีพของตระกูลผม ซึ่งจากจุดเด่นต่างๆ เหล่านี้ คิดว่าน่าจะเหมาะที่จะช่วยสร้างโอกาสให้คนอื่นๆได้ โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่อย่างไร้ทิศทาง” วีรวิชญ์ ระบุ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny3.jpg)
สำหรับเหตุที่ใช้ชื่อแฟรนไชส์ “ลูกชิ้นปลาแซ่ซ้อง” แทนที่ “นายฉุ่ย” นั้น เจ้าของกิจการบอกว่า ต้องการให้สื่อถึงความเป็นคนจีน และมีความหมายที่อยากให้ลูกค้านิยมกล่าวขวัญถึงความอร่อย นอกจากนั้น ต้องการใช้แบรนด์นี้สำหรับลูกค้าระดับล่างถึงกลาง ส่วนชื่อ “นายฉุ่ย” จะเก็บไว้ทำตลาดในอนาคต สำหรับมุ่งตลาดบน
ในส่วนรูปแบบลงทุนนั้น แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.ลงทุน 15,000 บาท เหมาะ สำหรับมีร้านอาหารหรือหน้าร้านของตัวเองอยู่แล้ว อยากนำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและเย็นตาโฟไปเสริมหรือต่อยอด โดยรูปแบบนี้จะได้รับป้ายแบรนด์ และสูตรก๋วยเตี๋ยว และ 2.ลงทุน 45,000 บาท ได้รับสูตรพร้อมอุปกรณ์ครบชุด เช่น รถเข็นพร้อมป้าย และอุปกรณ์การขายพื้นฐาน 44 รายการ
ทั้งนี้ ข้อกำหนดในการร่วมธุรกิจกัน คือ ต้องรับวัตถุดิบหลัก 10 ชนิด ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของความอร่อยในก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม เช่น ลูกชิ้นชนิดต่างๆ (ราคาส่ง 100 ลูกต่อ 120-140 บาท แล้วแต่ชนิดลูกชิ้น) และ ซอสเย็นตาโฟ เป็นต้น ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องมาซื้อวัตถุดิบต่างๆ ด้วยตัวเองที่ร้านนายฉุ่ย สาขา 1 ที่ ซ.อารีย์ หรือที่สาขา 2 ย่านนวมินทร์ หรือกรณีจะให้จัดส่ง คิดค่าบริการขนส่งตามจริง ส่วนวัตถุดิบพื้นฐานอื่นๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก เครื่องปรุง ฯลฯ ให้ผู้ลงทุนจัดหาเอง
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny4.jpg)
วีรวิชญ์ เผยว่า คนที่สนใจทำอาชีพนี้ ควรจะเป็นผู้ลงทุนไปสร้างอาชีพของตัวเอง ไม่เหมาะสำหรับคนมีทุนซื้อแฟรนไชส์แล้วจ้างพนักงานมาขาย เพราะความเอาใจใส่และความขยันอดทนจะแตกต่างกันมาก โดยสิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ คือ ให้มาฝึกฝนเรียนรู้วิธีการทำก๋วยเตี๋ยวอย่างมืออาชีพ ทั้งสูตรและวิธีทำก๋วยเตี๋ยว การบริหารวัตถุดิบ และคำนวณต้นทุน เป็นต้น โดยเรียนรู้ที่ร้านต้นตำรับใน ซ.อารีย์ฯ โดยตรง 3-5 วัน หรือหากยังไม่มั่นใจ สามารถอยู่เรียนรู้ต่อได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม จนกว่าจะพร้อมไปขายด้วยตัวเอง นอกจากนั้น ยังได้รับการส่งเสริมการตลาดร่วมกันผ่านสื่อต่างๆ เช่น ลงโฆษณาในนิตยสาร และเว็บไซต์เกี่ยวกับสร้างอาชีพ เป็นต้น
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny5.jpg)
ทั้งนี้ เริ่มเปิดขายแฟรนไชส์มาประมาณ 4-5 ปี ปัจจุบันมีสาขาประมาณ 14 แห่ง รายได้เฉลี่ยต่อร้านอยู่ที่ 60,000-100,000 บาทต่อเดือน (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่า และค่าพนักงาน) ส่วนอัตราร้านที่เปิดแล้วต้องปิดตัวลงมีอยู่ 3 ราย ด้วยเหตุผลหลัก คือ ทำเลไม่เอื้อ
สำหรับราคาขายปลีกของก๋วยเตี๋ยว กำหนดที่ชามละ 30-35 บาท ผู้ขายจะมีกำไรหลังหักค่าวัตถุดิบแล้ว ต่อหน่วยประมาณ 50% ตัวอย่างหากขายได้วันละ 60 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 21,000 บาทต่อเดือน หากขายได้วันละ 100 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 36,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ขายควรมีเงินสำรองสำหรับใช้หมุนเวียนประมาณ 30% ของยอดขาย
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/ny6.jpg)
จากประสบการณ์คลุกคลี ในอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวมายาวนาน วีรวิชญ์ ทิ้งท้ายฝากข้อคิดสำหรับผู้กำลังจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารว่า ปัญหาที่ทุกรายจะเจอเหมือนกัน คือ คำตำหนิด้านรสชาติ เพราะแต่ละคนจะมีรสนิยมต่างกัน ดังนั้น ขอให้ยึดเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ส่วนราคาต้องสมเหตุสมผล และควรจะลงมือทำด้วยตัวเอง หรือถ้าจะจ้างต้องควบคุมเงินรั่วไหลให้รอบคอบที่สุด ส่วนคนงานถ้าเป็นไปได้ควรเลือกวัยผู้ใหญ่ เพื่อลดปัญหาเข้าออกบ่อย และสำหรับคนเริ่มต้นใหม่ต้องอดทนอยู่กับธุรกิจให้ได้ อย่างน้อย 6 เดือน เพราะช่วง 1-3 เดือนแรก ลูกค้าส่วนใหญ่จะกินเพื่อทดลอง ช่วง 3-6 เดือนจะกลับมากินซ้ำเพราะติดใจ และถ้าผ่าน 6 เดือนไปแล้ว ลูกค้ายังกลับมากินซ้ำ แสดงว่า รสชาติเป็นที่ยอมรับ และมีขาประจำ ซึ่งจะช่วยให้ร้านอยู่ได้อย่างยั่งยืน
โทร.08-1456-3030 หรือ www.yentafothai.com
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์