คิง หมี่ฮ่องกง สูตรเส้นสด อร่อยจุใจในแบบต้นตำรับ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-1.jpg)
สำหรับคนเอเชีย โดยเฉพาะคนจีน การกินบะหมี่ไม่ได้เป็นเพียงอาหารประทังชีวิต แต่ยังแฝงไปด้วยวัฒนธรรมที่สืบทอดภูมิปัญญามานับพันปี จนเลื่องชื่อถึงความอร่อยชวนลิ้มลอง ทำให้คนยุคนี้อยากลองสัมผัสบ้าง
ร้าน “คิง หมี่ฮ่องกง” เข้ามาเติมเต็มความต้องการดังกล่าว เพราะเป็นบะหมี่เส้นสดสูตรต้นตำรับ มาพร้อมรูปโฉมภายนอกที่ชวนให้ย้อนถึงกลิ่นอายแห่งวันวาน ผ่านการตกแต่งร้าน และภาชนะชามโตที่เสิร์ฟปริมาณอิ่มจุใจ แต่ขายราคาที่ควักกระเป๋าจ่ายได้ง่ายๆ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-2.jpg)
ร้าน“คิง หมี่ฮ่องกง” เปิดมาประมาณ 3 ปีแล้ว เจ้าของ คือ อรัญ เรืองรอง และดลยา รักวิชา จากแรงบันดาลใจที่อยากให้คนไทยได้กินบะหมี่ดีๆ เหมือนต้นตำรับ
อรัญ เล่าว่า เรียนจบด้านศิลปะ แต่พลิกชีวิตไปทำงานเป็นเชฟอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์ 4 ปี จากนั้น ไปเป็นเชฟอยู่บนเรือท่องเที่ยวสตาร์ครูส อีกราว 4-5 ปี แล่นเส้นทางประจำโซนเอเชีย โดยเฉพาะฮ่องกง ซึ่งไปบ่อยครั้งที่สุด จนรับรู้ได้ถึงความผูกพันของคนเอเชียที่มีต่อการกินบะหมี่ และสังเกตได้ว่า ทุกร้านบะหมี่ที่ฮ่องกงจะพิถีพิถันในการทำบะหมี่มาก ทำเส้นสดใหม่วันต่อวัน และเอาใส่ใจในทุกรายละเอียด ซึ่งสะท้อนถึงความเคารพต่อผู้กินอย่างสูง
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-3.jpg)
“จากที่เห็นความเอาใส่ใจ ในการทำบะหมี่ของร้านที่ฮ่องกง ทำให้ผมคิดอยากทำเหมือนเขาบ้าง แล้วขายให้คนไทยได้กิน ผมจึงเริ่มศึกษาวิธีทำเส้นบะหมี่แบบต้นตำรับจริงจัง จากทั้งตำรา สอบถามผู้รู้ และตระเวนกินบะหมี่อย่างเดียว 2 สัปดาห์ เพื่อให้เข้าใจถึงแก่น แล้วทดลองทำด้วยตัวเอง ตั้งแต่นวดแป้งด้วยมือ จนค้นพบส่วนผสมที่ลงตัว ซึ่งมีเพียงแป้ง ไข่ น้ำ และเกลือเท่านั้นเอง ไม่มีการใส่สารปรุงรสใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับให้รสชาติที่นุ่มเนียน ซึ่งผมเชื่อว่า ใกล้เคียงกับรสชาติดั้งเดิมอย่างแท้จริง” เชฟหนุ่ม เผย
นอกจากเส้นบะหมี่แล้ว เขายังคิดค้นสูตรเกี๊ยว หมูแดง รวมถึง น้ำซุปที่เป็นแบบน้ำตุ๋น ที่ปรับรสชาติจากต้นตำรับเล็กน้อยให้ถูกปากคนไทย
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-4.jpg)
ด้านรูปลักษณ์ภายนอกให้ความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงบรรยากาศแบบต้นตำรับแท้ๆ ผ่านการแต่งร้านในสไตล์ร้านจีนโบราณ ไม่ ว่าจะตู้โชว์ โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ พร้อมเสิร์ฟในชามขนาดใหญ่ บรรจุบะหมี่และเครื่องมาปริมาณจุใจ ให้ลูกค้าอิ่มและรู้สึกคุ้มค่า คล้ายกับไปกินที่ร้านบะหมี่ในต่างประเทศจริงๆ
อีกทั้ง หน้าร้านยังมีการโชว์ลีลารีดเส้นบะหมี่สดๆ ให้ลูกค้าได้ชม ช่วยเพิ่มความสนใจ และยังตอกย้ำให้เห็นถึงความเอาใจใส่ที่มีต่อลูกค้า เปรียบเป็นบะหมี่ที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้าน “คิง หมี่ฮ่องกง”
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-5.jpg)
อรัญ เผยว่า ใช้เงินลงทุนเปิดร้านเบื้องต้นกว่า 7 หลัก สาขาแรกอยู่ที่ สายไหม ซ.10 จากนั้นขยายสาขา 2 ที่ ถ.สีลม ซ.10 โดยขายชามละ 30-40 บาท (แล้วแต่เมนู) ซึ่งเป็นระดับราคาที่เชื่อว่า คนทั่วไปตัดสินใจกินได้ง่ายๆ โดยเฉลี่ยยอดขายทั้ง 2 สาขา อยู่ที่ 150-200 ชามต่อวัน
ไม่เท่านั้น เชฟหนุ่มยังสร้างสรรค์เมนูแปลกใหม่ไว้บริการในร้านกว่า 30 รายการ เช่น บะหมี่ส้มตำ ข้าวมันไก่สมุนไพรจีน เส้นบะหมี่ยำ ข้าวหมูย่างนมสดโรยงา ลูกชิ้นเกี๊ยวลวกจิ้ม ฯลฯ อีกทั้ง ยังจัดชุดคอกเทลบะหมี่เกี๊ยว สำหรับบริการงานจัดเลี้ยงนอกสถานที่ด้วย
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-6.jpg)
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ (2554) ดลยา อธิบายว่า เนื่องจากพร้อมด้านการผลิตวัตถุดิบ โดยมีโรงงานทำเส้นบะหมี่ขนาดย่อมของตัวเอง จึงอยากเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าในรูปแบบขายอาชีพกึ่งแฟรนไชส์ แบ่งรูปแบบลงทุน 2 ลักษณะ คือ ชุด 1. ลงทุน 150,000 บาท เน้นทำเลในฟู้ด คอร์ต ตามห้างสรรพสินค้า และโมเดิร์นเทรดต่างๆ โดยได้รับอุปกรณ์และวัตถุดิบพร้อมเปิดร้าน และ ชุด 2. ลงทุน 300,000 บาท เป็นรูปแบบร้านห้องแถว เน้นทำเลย่านสถานศึกษา ชอปปิ้งพลาซ่า และชุมชน โดยได้รับอุปกรณ์และวัตถุดิบพร้อมเปิดร้าน รวมถึง อุปกรณ์เครื่องเก็บเงิน และกล้องวงจรปิด 4 ตัวเพื่อดูแลร้าน
สำหรับเงื่อนไขแฟรนไชส์ ผู้ลงทุนต้องรับวัตถุดิบหลักจากส่วนกลางเท่านั้น เพื่อควบคุมรสชาติให้ได้มาตรฐานเดียวกัน ประกอบด้วย เส้นบะหมี่ หมูแดง เกี๊ยวชนิดต่างๆ และหัวเชื้อน้ำซุป โดยได้รับสิทธิฝึกอบรมที่ร้านต้นแบบ 7 วัน และมีทีมงานพร้อมบริการส่งวัตถุดิบ และแนะนำการตลาดให้อย่างสม่ำเสมอ
![](http://www.thaifranchisecenter.com/starfranchise/picstar/kik-7.jpg)
ดลยา เผยว่า ต้นทุน ก๋วยเตี๋ยวต่อชาม รวมค่าใช้จ่ายทุกด้านแล้ว เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่า ค่าพนักงาน ฯลฯ เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 40-50% จากราคาขายปลีก ดังนั้น หากขายได้ประมาณ 50 ชามต่อวัน จะมีกำไรสุทธิอย่างต่ำประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ทำให้อัตราคืนทุนอยู่ 6-15 เดือน (แล้วแต่รูปแบบลงทุน) อย่างไรก็ตาม หากยอดขายสูงขึ้น ระยะเวลาคืนทุนจะสั้นลงตามไปด้วย
โทร.08-1827-0709
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์